บัลลังก์ชายาหมอเทวดา - บทที่ 45 กลืนกินหลอมรวมเพลิงพิลึก
บทที่ 45 กลืนกินหลอมรวมเพลิงพิลึก
เย่จายซิงและน้องชายกลับมาที่ลานบ้าน
เหยียนเฟิงได้เฝ้ารักษาการณ์อยู่ที่ทางเข้าลานบ้านแล้ว สวมใส่หน้ากากสีดำอยู่ราวกับคนอำพรางตัวก็ไม่ปาน
ตอนที่นางเดินผ่านก็ได้กลิ่นเลือดจางๆ จากตัวเขา
“เจ้าถูกลงโทษงั้นหรือ?”
นางขมวดคิ้วถามขึ้น
“เรียนพระชายา ข้าน้อยไม่ได้ปกป้องอยู่ข้างกายของพระชายาได้ทันการณ์ เป็นความละเลยในหน้าที่ของข้าน้อย ควรแล้วที่จะได้รับโทษ”
เหยียนเฟิงกล่าว
เย่จายซิงไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อ นางสามารถได้กลิ่นเลือดจางๆได้ แสดงว่าบาดแผลที่ได้รับนั้นต้องไม่เบาเลย จวินหยวนก็เหลือเกินช่างไม่มีความเห็นอกเห็นใจถึงได้ลงโทษหนักเช่นนี้
“ขอโทษด้วยที่ข้าทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน”
เหยียนเฟิงคิดไม่ถึงว่านางจะกล่าวคำขอโทษ จากนั้นก้มหน้ากล่าวว่า
“พระชายาไม่ต้องโทษตัวเอง ข้าน้อยละเลยต่อหน้าที่เองก็ควรได้รับโทษ”
“ข้าแค่ไม่อยากให้ความเป็นส่วนตัวเล็กน้อยของข้าก็ไม่มี ถ้าเช่นนั้นเจ้ากลับไปเถอะ ที่นี่ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาเฝ้าไว้”
เย่จายซิงกล่าวกับเขา
“พระชายา นายท่านบอกกับข้าว่า ต่อจากนี้ท่านอยากจะไปที่ใด หากจำเป็นต้องให้ข้าน้อยติดตามไป ข้าก็จะตามไป หากไม่ต้องการข้าน้อยก็จะไม่ล้ำเส้นท่าน ดังนั้นต่อจากนี้ให้ท่านวางใจได้ นายท่านให้ข้าน้อยมาที่นี่ไม่ใช่เพราะว่าจะเฝ้าดูความเคลื่อนไหวพระชายา แต่เพื่อปกป้องพระชายาขอรับ”
เหยียนเฟิงกล่าว
เย่จายซิงประหลาดใจจนปากค่อยๆ อ้าออก จวินหยวนเป็นคนที่บ้าอำนาจเช่นนั้นคิดไม่ถึงว่าจะทำเรื่องที่อ่อนข้อเช่นนี้ได้!
ในจุดนี้นางคิดไม่ถึงเลยแม้แต่นิด
นางมักจะคิดว่าเขาเลือดเย็นไร้ความรู้สึกอีกทั้งยังเต็มไปด้วยความมุ่งหมาย แต่กลับไม่เคยคิดว่าเขาส่งเหยียนเฟิงมาไม่ใช่เพื่อเฝ้าจับผิดนาง
ผ่านไปชั่วครู่แล้วนางก็ยังไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี นิ่งอึ้งไปหลายวินาทีนางจึงกล่าวว่า
“ข้ารู้แล้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะหลอมรวมเพลิงพิลึก ไม่ว่าใครก็ตามห้ามให้เข้ามาเด็ดขาด”
นางหมายถึงคนอื่นๆ ที่อยู่ในจวนแม่ทัพ
นางรู้ดีว่าจิ้งจอกน้อยไม่อาจรับเย่เจียหยูเป็นนายหญิงได้อยู่แล้ว ไม่แน่ว่าที่เรือนคงจิตในตอนนี้ชุลมุนไปหมดแล้ว นางไม่ต้องการให้มีใครมารบกวนนางในช่วงเวลาสำคัญแห่งการหลอมรวมเพลิงพิลึก
“พระชายาวางใจได้ขอรับ”
พูดจบเหยียนเฟิงก็หยิบเอากล่องที่ห่อมิดชิดด้วยผ้าสีดำกล่องหนึ่งออกมา
“พระชายา นี่เป็นสิ่งที่นายท่านมอบให้ท่าน เขาบอกว่าท่านจำเป็นต้องได้ใช้มันแน่นอน”
“ไม่ต้อง ข้ายอมรับอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่เขามอบให้แล้ว……”
เย่จายซิงปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว
“นายท่านบอกว่าหากท่านบอกว่าไม่เอาก็ให้ข้าน้อยกำจัดทิ้งซะ”
นาง: …….
นี่มันเป็นหลักการใดของเจ้านายจอมเผด็จการกัน
นางทำได้เพียงรับเอากล่องข้ามมือมา กล่องเบามาก ไม่มีความหนักอะไรเลย ผ้าสีดำห่อมิดชิดจนอากาศผ่านเข้าไปไม่ได้ แยกออกจากตัวสำนึก แต่ก็ไม่รู้ว่าด้านในคือสิ่งใดกัน
เข้ามาในลานบ้านแล้ว เย่ยู่หยางลังเลที่จะพูด
“ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร เสี่ยวยู่ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าพี่เจ้าไม่ทำเรื่องอะไรที่ข้าไม่แน่ใจหรอก”
เย่จายซิงมองไปที่เขา ภายในดวงตาสีดำนั้นเต็มไปด้วยพลัง
เย่ยู่หยางรู้สึกว่าในดวงตาของท่านพี่มีพลังที่ทรงพลังอยู่อย่างหนึ่ง ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างในสายตาของนางต่างเป็นเรื่องเล็กไปหมด
เขาพยักหน้าอย่างหนักหน่วงแล้วกล่าวว่า “ท่านพี่ ข้าเชื่อในความสามารถของท่าน แต่ท่านจะต้องเอาความปลอดภัยในชีวิตวางไว้เป็นอันดับแรก”
“แน่นอน ข้ารับปากเจ้าเสี่ยวยู่”
นางยื่นมือออกไปหยิกแก้มของน้องชาย แก้มที่อ่อนนุ่มทำให้ได้ความสัมผัสที่นุ่มนวลจึงหยิกอยู่ชั่วครู่ หน้าของเขากลายเป็นสีแดงระเรื่อไปหมด และขนตาที่ทั้งยาวและหนาก็กระพือสองสามครั้งราวกับปีกผีเสื้อ
น้องชายน่ารักน่าชังมากทีเดียว!
มีน้องชายเช่นนี้คนหนึ่งช่างดีจริงๆ เลยเชียว!
เย่จายซิงแอบยิ้มอยู่ในใจ อาศัยจังหวะที่น้องชายกำลังเขินอายอยู่และยังไม่ได้รู้สึกตัวอะไร ก็เลยหยิกไปอีกสองสามที จากนั้นก็รีบเผ่นหายไปเลย
“ไป๋จู๋ว วันนี้เจ้าไม่ต้องอยู่ปรนนิบัติข้าแล้ว เจ้าไปดูว่าอ๋องน้อยมีอะไรให้เจ้าต้องปรนนิบัติดูแลหรือเปล่า หากไม่ต้องเจ้าก็กลับไปพักเร็วหน่อยละกัน”
หลังจากสั่งการหญิงรับใช้เสร็จแล้ว นางก็เข้าไปในห้องปิดล็อกประตูให้สนิท เตรียมที่จะหลอมรวมเพลิงพิลึก
“ข้า……ข้าก็ไม่ต้องให้เจ้าปรนนิบัติแล้วล่ะ”
เย่ยู่หยางหน้าแดงแล้วรีบเดินกลับเข้าห้องไป
เขาเป็นถึงสุภาพบุรุษคนหนึ่ง จะให้คนภายนอกเห็นตอนที่ท่านพี่หยิกแก้มเขาได้อย่างไรกัน ดีที่ฟ้ามืดแล้ว หญิงรับใช้เห็นสีหน้าของเขาไม่ชัดเท่าไรนัก
พอเย่จายซิงเข้ามาในห้วงสมาธิของตน เจ้าไป๋ก็พูดอย่างตื่นเต้นว่า
“นายหญิง!ข้ารับรู้ถึงกลิ่นอายของเพลิงพิลึกแล้วล่ะ!”
นางหยิบเอาเพลิงลึกลับที่บริสุทธิ์ที่จวินหยวนเคยประมูลให้นางครั้งก่อนออกมาด้วยรอยยิ้ม
“โห!คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพลิงพิลึกขั้นห้า!ยอดเยี่ยมจริงๆ เลย!”
เจ้าไป๋เดินวนรอบเพลิงพิลึกอยู่หลายรอบ ทันใดนั้นกล่าวด้วยท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวดว่า
“แต่ว่านายหญิงไม่มีผลการฝึกตนแม้แต่นิดเลย อีกทั้งเพลิงเทวจิ่วโยของท่านก็กลายเป็นเพลิงพิลึกขั้นแรกไปตั้งนานแล้ว ไม่ทรงพลังอีกแล้ว ยังไงก็ไม่มีทางหลอมรวมกลืนกินเพลิงพิลึกขั้นห้าได้หรอก”
เห็นได้ชัดว่าเย่จายซิงคิดถึงจุดนี้ไว้นานแล้ว จากนั้นกล่าวว่า
“ไม่ลองดูจะไปรู้ได้อย่างไรว่าไม่ได้น่ะ ถ้าในความเป็นจริงไม่มีทางกลืนกินได้ ข้าค่อยคิดหาหนทางอื่น”
การหลอมรวมเพลิงพิลึกเดิมทีแล้วก็เป็นเรื่องที่เจ็บปวดอย่างหนึ่ง แต่สิ่งที่นางไม่กลัวก็คือความรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้แหละ ตอนนั้นที่นางเริ่มทำหน้าที่เป็นทหารก็ผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาไม่รู้กี่หน นางก็ชินนานแล้วล่ะ
“ไม่ได้ นายหญิง เพลิงพิลึกขั้นห้าเทียบไม่ได้กับเพลิงพิลึกขั้นต่ำ มันอันตรายอย่างหาที่เปรียบมิได้ หากไม่ระวังเพียงนิดเดียวก็จะกลายเป็นอาหารของเพลิงพิลึกไปได้ และจะไม่ได้กลับคืนร่างอีก แม้แต่โอกาสที่จะถอยหลังก็ไม่มี นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยนะ”
เจ้าไป๋กล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึม
คิ้วของนางขมวดเข้าหากัน สามารถอธิบายได้ว่าหากเพียงนางลองแค่นิดเดียวก็สามารถถูกเพลิงพิลึกเผาไหม้จนแม้แต่เถ้าธุลีก็ไม่เหลือ
“งั้นควรทำอย่างไรดี?”
“นายหญิงเคยบอกว่ายังมีเพลิงพิลึกขั้นสามไม่ใช่หรือ? หากให้เพลิงเทวจิ่วโยของนายหญิงกลืนกินเพลิงพิลึกขั้นสามไปก่อน แล้วให้ปรับเข้าสู่เพลิงพิลึกขั้นสี่ จากนั้นค่อยกลืนกินเพลิงล้างโครต เช่นนั้นแล้วก็น่าจะมีความเป็นไปได้มากเกินครึ่งแล้วล่ะ”
“ข้าไม่ได้คิดอะไรมากมายเช่นนี้ จะว่าไปข้าก็มองโลกในแง่ดีเกินไป ตอนนี้จะไปถามหาที่สำนักประมูลก็น่าจะช้าเกินไปแล้ว อีกทั้งไม่แน่ว่าเหยียนเฟิงสืบข่าวมาผิดหรือเปล่าว่าไม่มีเพลิงพิลึกขั้นสาม มีเพียงเพลิงพิลึกขั้นห้า”
เย่จายซิงกดที่หว่างคิ้วไปมา เพราะฉะนั้นท้ายที่สุดแล้วก็จำเป็นต้องใช้เพลิงพิลึกขั้นสามถึงจะได้
“เอ๊ะ นายหญิง ด้านในนี้คือสิ่งใดกัน?”
เจ้าไป๋ชี้ไปยังกล่องที่ห่อด้วยผ้าสีดำที่นางหยิบเข้ามาเมื่อครู่ด้วยความสงสัย
“จวินหยวนมอบให้ข้าน่ะ ไม่รู้ว่าคือสิ่งใดกัน”
นางกำลังจะเอาวางไปด้านข้าง ตอนนี้ไม่มีอารมณ์ที่จะเปิดออกดู
เจ้าไป๋มือไวแกะผ้าสีดำออก ปรากฏออกเป็นกล่องสีดำในขณะเดียวกัน กลิ่นอายที่ร้อนแรงแพร่ออกมา
“นายหญิง!มันคือเพลิงพิลึก!ดูเหมือนว่าจะเป็นเพลิงพิลึกขั้นสาม!”
เจ้าไป๋กล่าวด้วยอาการตื่นเต้น
เย่จายซิงถลึงดวงตาอันกลม กล่องนี้เป็นกล่องหินเหล็กที่เห็นในงานประมูลเมื่อครั้งก่อน เป็นอาวุธฝึกตนชั้นดีและหาได้ยากมาก ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือแค่นี้ก็มีค่ามากมายมหาศาลแล้ว
แต่ทว่าที่นางยิ่งแปลกใจไปมากกว่านั้นคือคิดไม่ถึงว่าเจ้าไป๋จะบอกว่าของที่บรรจุอยู่ด้านในนั้นคือเพลิงพิลึกขั้นสาม!
เป็นไปได้ไหมว่า……ของที่บรรจุอยู่ด้านในก็คืออัคคีผนึกนภากาฬเพลิงพิลึกขั้นสามที่จะประมูลในงานประมูลตั้งแต่แรก?
เจ้าไป๋เปิดกล่องออก
“เป็นอัคคีผนึกนภากาฬที่อยู่ในขั้นสามจริงด้วยนายหญิง! คนที่ชื่อจวินหยวนผู้นั้นช่างรู้ใจนายหญิงเสียจริงเชียว!”
ในใจลึกๆ ของนางก็ค่อยๆ หวั่นไหวบ้างเล็กน้อย
เขาไม่ได้มีความดีความชอบอะไร มอบของกำนัลก็มอบได้เรียบง่ายมาก ราวกับว่ามอบแค่เพียงผักกาดขาวไม่กี่ต้นก็ไม่ปาน
ของที่มอบให้นั้นใจของนางกลับรับรู้ได้ ไม่รับก็ไม่ได้ประมาณนั้นก็ว่าได้
ไม่รู้ว่าเขาโน้มน้าวใจผู้อื่นเป็นจนเกินไป หรือว่าเป็นอย่างที่เจ้าไป๋บอกว่าเขารู้ใจนางจริงนะ?
ของที่ได้มามันยิ่งทำให้นางติดหนี้บุญมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปนางจะใช้คืนไหวหรือ
ก็อย่างที่ว่ามันเป็นน้ำใจคน ใช่ว่าจะคืนก็คืนกันได้หมดเสียที่ไหนกัน
“ไม่สนแล้ว กลืนกินหลอมรวมเพลิงพิลึกก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
นางไม่ได้ลืมที่รับปากกับชายผู้นั้นที่ตลาดมืดเรื่องขายยาขั้นหกหนึ่งเม็ดให้เขา
รอนางฝึกปรุงยาขั้นหกได้อย่างสบายๆ ก่อน การหาเงินก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย
บทที่ 46 องค์หญิงหลิงหยุนกลับมา
เย่จายซิงหยิบเอาหินทิพย์ในมือมาเพิ่มขีดความสามารถของโลกสมมติก่อนหนึ่งครั้ง
วันนี้หินทิพย์ของนางไม่ได้ใช้ออกไปเลยแม้แต่ก้อนเดียว เพลิงพิลึกอสูรศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นจวินหยวนที่เป็นคนซื้อให้นาง ดังนั้นหินทิพย์ที่เหลืออยู่ไม่น้อยนั้นสามารถเพิ่มขีดความสามารถได้หนึ่งครั้ง
ด้วยวิธีนี้กระแสของเวลาเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง หนึ่งวันของด้านนอกเท่ากับสามวันในโลกสมมติ
นางก็จะมีเวลาเพียงพอที่จะควบคุมเพลิงเทวจิ่วโยให้กลืนกินเพลิงพิลึกขั้นสามและเพลิงพิลึกขั้นห้า
เวลาค่อยๆ ผ่านไปเรื่อยๆ
คนที่ถูกทำให้หมดสติไป ณ เรือนคงจิตหลับไป 1วัน 1คืนถึงจะรู้สึกตัวขึ้นมาได้ เรื่องแรกที่ต้องจัดการก็คือไปหาเรื่องเย่จายซิง พวกเขาคิดว่าเป็นเย่จายซิงที่สั่งการให้จิ้งจอกน้อยวางยาพิษใส่พวกเขา
กลิ่นอายแห่งการอาฆาตของเหยียนเฟิงแผ่ซ่านอยู่ด้านนอก คนพวกนี้วิ่งหนีกันหางจุกตูดเลยเชียว
เย่เจียหยูกลับมาถึงห้อง มองดูบาดแผลที่หลงเหลือไว้อันน่าเกลียดที่ถูกจิ้งจอกทิพย์จิ่วอิงกัด สีหน้าเขียวช้ำหนักหนา
เนื่องจากหมดสติหลับไป 1วัน 1คืน นางจึงทำได้เพียงกินยาถอนพิษที่ธรรมดาๆ ลงไปทันเท่านั้น แต่บนฟันของจิ้งจอกทิพย์มีฤทธิ์กัดกร่อนที่รุนแรงมาก แม้ว่าหลังจากตื่นขึ้นมาแล้วนางจะกินยาที่ดียิ่งกว่านั้นเข้าไป รอยแผลเป็นก็ไม่หายขาด
รอยแผลเป็นที่น่าเกลียดนี้จะอยู่บนมือเรียวราวหยกของนางตลอดไป
“เจ้าจิ้งจอกที่สมควรตาย ต้องมีสักวันข้าจะต้องดึงขนของเจ้าทีละเส้นๆ ให้หมดทั้งตัว ลอกหนังหักกระดูก ให้เจ้ารู้ตัวอีกทีก็สายเกินไปเสียแล้ว!”
ของที่นางไม่ได้ แม้ว่าทำลายมันทิ้งก็ไม่มีวันยอมให้คนอื่นได้เด็ดขาด
จิ้งจอกตัวนั้นมีญาณทิพย์ เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบนาง ไม่อยากรับนางเป็นนายจึงกัดนางเช่นนี้
ช่างโง่เขลาเสียจริง ติดตามคนไร้ความสามารถอย่างเย่จายซิง อสูรศักดิ์สิทธิ์ก็จะกลายเป็นขยะที่ใช้การอะไรไม่ได้
แม้แต่เจ้านายก็ยังไม่รู้จักเลือกให้เป็น ก็แสดงว่าว่ามันโง่เขลายิ่งนัก อสูรศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้นางไม่เอาก็ได้
อ๋องเซ่อเจิ้งก็ตาบอดไปแล้ว ตัวนางเองตรงจุดไหนที่เทียบกับเย่จายซิงไม่ได้ เขาแม้แต่มองยังไม่เคยมองตาของนางเลยสักครั้ง อีกทั้งยังมอบอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ประมูลมาในมูลค่าสี่พันตำลึงให้เย่จายซิง ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาคิดอะไรอยู่
“หากเขาเป็นคนที่ชื่นชอบนางดังเช่นเดียวกันกับเซี่ยซือห้าวก็คงดีไม่น้อย”
นางกัดฟันพูด
งั้นนางก็ไม่เพียงแต่มีอสูรศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังมีเพลิงพิลึกขั้นห้าด้วย แม้กระทั่งของที่มีมูลค่ามากกว่านี้แค่นางอยากได้ก็สามารถได้มาง่ายๆ
นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าอ๋องเซ่อเจิ้งจะมอบเพลิงพิลึกขั้นห้าให้แก่เย่จายซิง เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้ไปแย่งชิงราวกับการแย่งอสูรศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้น ด้วยคนไร้ความสามารถอย่างเย่จายซิงเช่นนั้น ให้เพลิงพิลึกนางไปก็เท่ากับว่าส่งนางไปลงนรกก็ไม่ปาน
อยากได้อสูรศักดิ์สิทธิ์เพลิงพิลึกก็ไม่ได้มา เย่เจียหยูขบฟันอย่างรุนแรง
“ไม่ได้ ข้าจะไม่ยอมให้เย่จายซิงได้ดีแน่!”
นางหรี่ตาลง จู่ๆ ก็มีแผนการขึ้นมา
หยิบเอาป้ายหยกส่งสารออกมา สิ่งนั้นคือจี้หยกกลมสีเขียวหนึ่งอันที่สลักคำว่า “ส่งเสียง” ไว้ด้านบน สามารถหาซื้อได้จากร้านค้าที่ค่อนข้างใหญ่หน่อย ราคาก็ไม่ได้ถูก มีไว้สำหรับส่งสัญญาณเสียงทางไกลโดยเฉพาะ
ด้านบนนั้นมีร่องรอยตัวสำนึกของนางอยู่ เพียงแค่เคยติดต่อกับผู้ที่ส่งสัญญาณเสียงคนอื่นๆ ก็สามารถสื่อสารได้จากระยะไกล
แน่นอนว่าในระยะใกล้ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน เพียงแค่ไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าไหร่ เพราะว่าการเชื่อมต่อหนึ่งครั้งต้องใช้หินทิพย์ชั้นต่ำถึง 5ก้อนเชียว
นางพบร่องรอยที่องค์หญิงหลิงหยุนหลงเหลือไว้จึงส่งคำพูดไปหนึ่งท่อน
สองวันก่อนเซี่ยซือห้าวเคยบอกว่าองค์หญิงหลิงหยุนอยู่ในระหว่างทางที่จะกลับมา หากไม่อยู่นอกเหนือตามที่คาดการณ์ไว้ สองถึงสามวันนี้ก็คงจะกลับถึงเมืองหลวง
นางจะใส่สีตีไข่ว่าเย่จายซิงสังหารเถ้าแก่หอยาเสวียนยังไง แล้วก็ยุยงอ๋องเซ่อเจิ้งให้ทำลายหอยาเสวียนได้อย่างไร ให้องค์หญิงหลิงหยุนฟังให้หมด
ตอนนี้องค์หญิงหลิงหยุนเป็นเด็กฝึกของศูนย์สำนักกลั่นยา ได้ยินว่ายังคารวะปรมาจารย์กลั่นยาขั้นหกที่ทรงพลังผู้หนึ่งเป็นอาจารย์ด้วย ได้รับการชื่นชมและเป็นที่รู้จักในศูนย์สำนัก ฐานะของนางเช่นนี้คิดว่าก็คงไม่เกรงกลัวต่ออ๋องเซ่อเจิ้งแล้ว
จะว่าไปในมือของอ๋องเซ่อเจิ้งยังมีเพลิงพิลึกขั้นห้า องค์หญิงหลิงหยุนมีเพียงแค่เพลิงพิลึกขั้นรองอันเดียว หากนางอยากจะรุดหน้าไปอีก แน่นอนว่าจะต้องอยากได้เพลิงพิลึกขั้นห้ามาให้ได้ ถึงตอนนั้นหากพอที่จะจัดการกับกำลังอันฮึกเหิมของอ๋องเซ่อเจิ้งได้ นั่นก็คงเป็นการดีไม่น้อยเลย ดูว่าต่อไปเขายังกล้าหยิ่งทะนงตัวเช่นนี้อีกไหม
ระยะเวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ด้านนอกเมืองหลวงในตอนนี้เบียดเสียดไปด้วยประชาชนของแคว้นหงส์แดง เพียงเพราะว่าองค์หญิงหลิงหยุนที่ภาคภูมิของแคว้นหงส์แดงใกล้จะกลับมาแล้ว คนเหล่านี้ต่างพากันมาต้องรับนาง และถือโอกาสยลในสิริโฉมขององค์หญิงด้วย
องค์หญิงหลิงหยุนเป็นอาจารย์กลั่นยาอายุน้อยที่มีพรสวรรค์ที่สุดเท่าที่แคว้นหงส์แดงเคยมีมา อายุขับไม่ถึงยี่สิบชันษาก็เป็นอาจารย์กลั่นยาขั้นสี่แล้ว แม้ว่าจะอยู่ในสถานที่ที่มีคนเก่งกาจมากมายเช่นนั้นอย่าเมืองศักดิ์สิทธิ์ นางก็โดดเด่นพอตัวเช่นกัน
แม้ว่าท่านพ่อพระยาเซี่ยจะเป็นอาจารย์กลั่นยาขั้นห้า แต่เขาก็มีอายุอานามห้าสิบกว่าแล้ว ไม่มีทางเทียบได้กับองค์หญิงหลิงหยุนที่ปราดเปรื่องและสง่างาม
“มาแล้วมาแล้ว เกี้ยวขององค์หญิงเสด็จแล้ว!”
บนกำแพงเมืองมีคนชี้ไปยังเกี้ยวที่หรูหราที่ปรากฏขึ้นไม่ไกลนักแล้วกล่าวอย่างตื่นเต้น
“เอ๊ะ รีบดูเร็วเข้า! ด้านข้างของเกี้ยวยังมีอสูรวิหงค์เยือกตัวหนึ่งด้วย!”
“เป็นอสูรวิหงค์เยือกจริงๆ ด้วย ได้ยินว่าอสูรวิหงค์เยือกเป็นสัตว์ดุร้ายขั้นห้าที่อยู่ในพื้นที่หนาวเหน็บจึงจะมี ดูใสสะอาดบริสุทธิ์ คนธรรมดาไม่มีทางปราบมันได้แน่!”
“คนที่นั่งอยู่ด้านบนอสูรวิหงค์เยือกดูเหมือนว่าจะเป็นเย่เจียหรงคุณหนูใหญ่แห่งจวนแม่ทัพ!”
“อะไรนะ? คุณหนูใหญ่ตระกูลเย่ก็กลับมาพร้อมกันงั้นหรือ?”
“รีบไปแจ้งให้ตระกูลเย่ทราบเร็ว ไม่แน่อาจจะได้เงินรางวัลบ้างก็ได้!”
ผู้คนต่างมองออกไปไกลๆ แล้วพูดอย่างเอะอะโวยวาย
พอเกี้ยวและอสูรวิหงค์เยือกเริ่มขยับเข้ามาใกล้ขึ้น ทุกคนพบว่าที่อสูรวิหงค์เยือกแบกอยู่ด้านบนนั้นความจริงแล้วคือคุณหนูใหญ่ตระกูลเย่ และคนที่อยู่ในเกี้ยวก็คือองค์หญิงหลิงหยุน
องค์หญิงหลิงหยุนสวมชุดแดงทั้งตัวอยู่บนเกี้ยวแบบเปิดครึ่ง เดี๋ยวก็ปรากฏให้เห็นเดี๋ยวก็หายไป สัมผัสได้ถึงกลิ่นแห่งความเย่อหยิ่งอย่างเป็นธรรมชาติในตัวนางมาจากที่ไกล
ต้นทุนของนางมีกลิ่นอายความเย่อหยิ่งอยู่แล้ว ตั้งแต่นางเกิดมาจนบัดนี้ก็ได้รับความเอ็นดูจากฮ่องเต้องค์ก่อน ดำรงอยู่ในฐานะองค์หญิงที่สูงส่งที่สุดแห่งแคว้นหงส์แดง ต่อมาแสดงให้ผู้คนได้เห็นถึงพรสวรรค์ในการฝึกตนและพรสวรรค์ในการกลั่นยาที่อยู่เหนือผู้อื่น ตอนที่อายุสิบกว่าชันษาก็เข้าไปเป็นเด็กฝึกที่ศูนย์สำนักอาจารย์กลั่นยาแห่งเมืองศักดิ์สิทธิ์แล้ว
อีกด้านหนึ่ง หญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีฟ้าที่นั่งอยู่บนอสูรวิหงค์เยือก นางผิวพรรณผุดผ่อง โหงวเฮ้งงดงาม หว่างคิ้วให้ความรู้สึกอ่อนโยนและนุ่มนวลแก่ผู้คนที่พบเห็น
หากเย่จายซิงอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องบอกว่าเย่เจียหยูก็คือสำเนาของหญิงสาวผู้นี้อย่างแน่นอน ลักษณะนิสัยของสองพี่น้องเกือบจะเหมือนกันทุกประการ อาจบอกได้ว่าน่าจะเป็นเย่เจียหยูที่เลียนแบบนางมา
“เจียหรง ข้าคิดว่าจะไปพักที่จวนแม่ทัพของพวกเจ้าสักหน่อย เจ้าไม่รังเกียจใช่ไหม?”
องค์หญิงหลิงหยุนกล่าวถามต่อเย่เจียหรง
“องค์หญิงพูดอะไรกัน ตระกูลเย่ของพวกเราพร้อมต้อนรับเสมอ”
เย่เจียหรงหัวเราะคริกครักแล้วหล่าวด้วยท่าทางอ่อนโยน
ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนไม่เลวเลยทีเดียว ตอนอยู่ที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน เย่เจียหรงชอบไปหาองค์หญิงหลิงหยุนที่ศูนย์สำนักอาจารย์กลั่นยา ครั้งนี้กลับมาพร้อมกันเพราะเจอกันกลางทางโดยบังเอิญต่างหาก
แน่นอนว่าเย่เจียหรงรู้ดีว่าเหตุใดองค์หญิงหลิงหยุนถึงไปกลับวังแต่ไปที่จวนแม่ทัพก่อน น้องสาวนางได้พูดถึงเรื่องของเย่จายซิงให้นางรับรู้แล้ว
น้องสี่ที่ดูท่าทางเซื่องๆ เช่นนั้นคิดไม่ถึงว่าจะสังหารเถ้าแก่หอยาเสวียนได้ ช่างขัดแย้งกันเสียจริงเชียว
ผ่านไปไม่นานก็มาถึงจวนแม่ทัพ ที่ทางเข้าฮูหยินเฒ่า ท่านรองเย่ คนแซ่หวัง เย่เจียหยูและคนอื่นๆ ต่างตั้งหน้าตั้งตารอจนเห็นเย่เจียหรง จู่ๆ ก็ดีใจจนควบคุมตนเองไม่ได้ ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
หลังจากที่เย่เจียหรงไปเมืองศักดิ์สิทธิ์มา นี่เป็นครั้งแรกที่กลับบ้าน
องค์หญิงหลิงหยุนไต่ถามทุกข์สุขกับฮูหยินเฒ่าสองสามประโยคง่ายๆ จากนั้นก็ถามถึงเย่จายซิงว่าอยู่ที่ใดกัน
“เรียกนางมาหาข้า ข้ามีเรื่องจะถามนาง!”
ลักษณะท่าทางของนางดูตัวเล็กน่ารัก รูปร่างหน้าตาไม่ได้ต่างจากเย่เจียหรงมากนัก แต่ศีรษะของนางเชิดสูง ให้ความรู้สึกราวกับว่าเป็นหงส์ที่เย่อหยิ่งตัวหนึ่งแก่ผู้คนที่พบเห็น
อารมณ์ในหารพูดก็เหมือนกับสั่ง แต่ละอิริยาบถแฝงไว้ด้วยอาการเย่อหยิ่ง