บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 533
แต่ตกใจก็เรื่องหนึ่ง ในเมื่อไทเฮามาแล้ว ย่อมทำได้แค่ลุกออกไปต้อนรับเท่านั้น ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็ไม่ยกเว้น
ฮ่องเต้ลุกขึ้นไปก่อน แล้วส่งซวนเอ๋อร์ให้ขันทีเป่าฉวนอุ้มแทน ส่วนตนเองก็รีบก้าวใหญ่ๆ ไปต้อนรับไทเฮา
ไทเฮายังขยับขาไม่ค่อยสะดวกนัก จึงมีนางกำนัลพานั่งรถเข็นไม้เข้ามา ไทเฮาสวมชุดเต็มพระยศ ปิ่นหยกสีเขียวปักผมเป็นแนวนอนเอาไว้อย่างแน่นหนา ส่วนปิ่นหงส์เก้าหางสีแดงถูกปักเอาไว้กลางศีรษะ ปีกสะบัดเล็กน้อย หางหงส์เป็นประกายโดดเด่น ปากหงส์นั้นมีเพชรฝังเอาไว้เม็ดหนึ่ง ยิ่งเป็นประกายงดงามไร้ที่ติ
บนตัวสวมชุดคลุมหงส์ดิ้นทองเป็นประกาย ไข่มุกก็สวยงาม
วันนี้ไทเฮาโดดเด่นถึงที่สุด พูดตามจริงแล้วถาวจวินหลันยังไม่เคยเห็นไทเฮาเป็นเช่นนี้มาก่อน นางจึงได้แต่อึ้งพูดไม่ออก ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้สติกลับมา และอึดอัดมากกว่าเดิม ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นไทเฮาจริงจังเช่นนี้มาก่อน โดยเฉพาะหลังจากขาไม่ค่อยดี ก็เอาแต่พักอยู่ในวังหย่งโซ่วโดยตลอด ไม่ได้ต่างไปจากคนแก่ชราธรรมดาที่ใกล้ลงโรง
ที่สำคัญคือวันนี้เป็นเพียงเทศกาลฤดูหนาวเท่านั้น ทำไมไทเฮาถึงได้แต่งชุดเต็มพระยศขนาดนี้เล่า
พอฮ่องเต้นำทุกคนทำความเคารพไทเฮาเสร็จแล้ว เขาก็ก้าวเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้มและพูดว่า “เสด็จแม่มาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?” หลังจากไทเฮาล้มป่วยลง ก็ออกจากวังเต๋ออันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แล้วครั้งนั้นก็ด้วยไปพบฮ่องเต้เรื่องแกล้งประชวร
ไทเฮามองฮ่องเต้นิ่งเหมือนไม่ค่อยพอใจนัก ”ทำไม ข้ามาไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
ฮ่องเต้เพิ่งรู้ว่าตนเองพูดผิดไป จึงรีบแก้ตัวว่า “เสด็จแม่มาได้อยู่แล้ว ลูกเพียงกังวลว่าร่างกายของเสด็จแม่จะรับไม่ไหว ถึงไม่ได้ให้คนไปเชิญเสด็จแม่มาร่วมงานเลี้ยงเท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ”
“ร่างกายของข้ารับไม่ไหวจริงๆ นั่นแหละ” ไทเฮาไอออกมาครั้งหนึ่ง ท่าทางดูซูบเซียวยิ่งนัก แต่ไม่รู้ว่าทำไมประกายในดวงตาถึงได้ระยิบระยับจนไม่กล้าสบตา ไทเฮามองฮ่องเต้ ก่อนพูดว่า “ที่วันนี้ข้ามา เพราะมีเรื่องอยากถามฮ่องเต้สักหน่อย อยู่ต่อหน้าคนตระกูลหลี่มากมายเช่นนี้ ข้าจะมาถามความจริงใจของเจ้า”
ท่าทีของฮ่องเต้เปลี่ยนไป ค่อยๆ เก็บมือที่ทำเป็นประคองมือของไทเฮา ยืดหลังตรงและพูดว่า “วันนี้เป็นเทศกาลฤดูหนาว ทุกคนมารวมตัวกันสร้างเสียงหัวเราะ ลูกว่าเราค่อยคุยกันวันอื่นเถิด เดี๋ยวงานจะหมดสนุกไปเสียเปล่า เสด็จแม่ว่าอย่างนั้นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ไม่ยินยอมให้ไทเฮาพูดสิ่งที่อยากพูดตอนนี้
ถาวจวินหลันคิดว่าบางทีฮ่องเต้อาจจะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องอะไร มิเช่นนั้น ฮ่องเต้จะพูดเช่นนี้ทำไม? ดูท่าทางเรื่องที่พูดคงไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนัก อย่างน้อยสำหรับตัวฮ่องเต้แล้วก็ถือว่าไม่น่ายินดี
นางตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าตนเองพอคาดเดาอะไรบางอย่างได้
ไทเฮามองไปทางฮ่องเต้ ไม่ได้พูดออกมาในทันใด แต่ใบหน้ากลับแสดงความผิดหวังออกมา “ท่าทางฮ่องเต้จะรู้อยู่แล้วว่าข้าอยากพูดอะไร ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าเองก็คงไม่อยากให้ข้าถามเจ้าซีนะ”
ไทเฮาพูดตรงๆ เช่นนี้ นับว่าหักหน้าฮ่องเต้อยู่เล็กน้อย สีหน้าของฮ่องเต้พลันเปลี่ยนเป็นไม่น่ามอง เม้มริมฝีปากเข้าหากันไม่พูดจา หากเป็นคนอื่น ฮ่องเต้คงจะต้องระเบิดอารมณ์แล้วเป็นแน่ แต่ไทเฮาเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของเขา เขาจะโมโหอย่างไรก็ไม่อาจโมโหใส่ไทเฮาได้ ต่อให้เป็นโอรสสวรรค์ก็จะต้องยึดถือหลักกตัญญู
ฮ่องเต้ไม่พูดจา คนอื่นย่อมก้มหน้าไม่กล้ามองอย่างรู้งาน ต่อให้ในใจจะสงสัยมากเพียงใด แต่ก็ต้องจัดการควบคุมสายตาของตนเองให้ดี
ตอนนี้ฮองเฮากลับลุกขึ้นมา ยิ้มพลางพูดกับไทเฮาว่า “ไทเฮาท่านต้องทำขนาดนี้เชียวหรือเพคะ? วันนี้เป็นวันที่ทุกคนมาครึกครื้นกัน ไม่เหมาะมาพูดคุยเรื่องเคร่งเครียด ไม่สู้เป็นวันอื่นเถิดเพคะ ให้บรรดาเด็กๆ ได้เฉลิมฉลองเทศกาลไป ดูซี พวกเขาตกใจกันหมดแล้วเพคะ”
หยุดไปครู่หนึ่ง เห็นว่าไทเฮาเหมือนจะไม่ซื้อไม้นี้ ฮองเฮาก็มองไปยังขันทีเป่าฉวนทีหนึ่ง แสดงท่าทีให้ขันทีเป่าฉวนรีบพาซวนเอ๋อร์ไปให้ไทเฮา จากนั้นก็หัวเราะอีกครั้ง “ท่านเอ็นดูซวนเอ๋อร์มาก อย่าทำให้เขาตกใจเลย ดูท่าทางเขาคงกลัวมากนะเพคะ”
ซวนเอ๋อร์กลับนิ่งเงียบผิดปกติ ได้ยินฮองเฮาพูดเช่นนี้ ก็เหมือนจะเข้าใจว่าตนเองถูกใช้เป็นไม้กันหมา จึงรับหันไปกอดคอของขันทีเป่าฉวนแน่น ซุกหน้าเข้าไปในอ้อมกอดของขันทีเป่าฉวน
ไทเฮามองฮองเฮาทีหนึ่ง ก็พูดเนิบๆ “เอาเด็กมาเป็นไม้กันหมา ฮองเฮาไปเรียนเรื่องนี้มาจากที่ใดกัน? ทำไมความเป็นแม่ของแผ่นดินเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีเสียแล้ว? ข้าเพียงแค่พูดคำสองคำ เจ้าก็ตกใจจนเป็นเช่นนี้ ดูท่าทางคงรู้อยู่แล้วว่าข้าอยากพูดอะไร”
สีหน้าของฮองเฮาพลันปลี่ยนเป็นย่ำแย่พอๆ กับฮ่องเต้ แต่ฮ่องเต้เพียงแค่ลำบากใจ ทว่าฮองเฮากลับโกรธจนสงบใจไม่ได้ ไทเฮาตำหนิฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่กลับตำหนิฮองเฮาเชิงวิพากษ์วิจารณ์
ถาวจวินหลันกลับรู้สึกยินดีเพราะสิ่งที่ไม่ดีโดนขจัดออกไป ไทเฮาพูดผิดตรงไหนอย่างนั้นหรือ? หน้าไม่อายจริงๆ มิใช่หรือ? ซวนเอ๋อร์เพิ่งจะอายุเท่าไรกัน?
ไทเฮาหันไปมองฮ่องเต้อีกครั้ง ก่อนถอนใจกล่าว “ฮ่องเต้ ดูท่าทางว่าตอนนี้เจ้าลืมคำพูดที่ฮ่องเต้องค์ก่อนตรัสเอาไว้ก่อนจะสวรรคตแล้วหรืออย่างไร เจ้าเป็นผู้นำแคว้น แล้วยังเป็นปู่แล้ว แต่เดิมข้าไม่อยากสอดมือเข้ามายุ่งกับเจ้า แต่ตอนนี้เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ากลับยังหวังจะไกล่เกลี่ยยุติความขัดแย้ง หญิงชราอย่างข้าจึงต้องออกโรงสักครั้ง”
พอยกฮ่องเต้องค์ก่อนมาพูด ฮ่องเต้ก็สั่นสะท้านเล็กน้อย เงยหน้ามองไทเฮา จากนั้นก็เห็นท่าทีผิดหวังและเจ็บปวดของไทเฮา สีหน้าของฮ่องเต้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นละอายใจ
สุดท้ายแล้วไทเฮาก็เข้าใจลูกชายตนเอง เพียงคำพูดสั้นๆ ง่ายๆ ก็ทำให้ฮ่องเต้ละอายใจแล้ว ถาวจวินหลันลอบถอนใจเบาๆ สำหรับนางแล้ว ตอนนี้เกรงว่าคงจะมีเพียงไทเฮาคนเดียวที่กล่อมฮ่องเต้ได้ด้วยเรื่องนี้
สุดท้ายแล้วฮ่องเต้ก็ยอมอ่อนข้อให้ “เรื่องนี้ลูกทราบแล้ว คิดว่ารออีกสักช่วงหนึ่ง เสด็จแม่อย่าร้อนใจไปเลย ลูกรู้ดีแก่ใจพ่ะย่ะค่ะ“
ฮ่องเต้พูดยืนยันแล้ว หากไทเฮายังไม่เชื่ออีก ก็ถือว่าหักหน้ากันโดยแท้ สุดท้ายไทเฮาก็ยอมยุติ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้ารู้อยู่แก่ใจแล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก รอดูว่าผ่านไประยะหนึ่งแล้วเจ้าจะทำเช่นไรกันแน่”
หยุดไปครู่หนึ่ง ไทเฮาก็เหลือบมองฮองเฮาวูบหนึ่ง พูดกับฮ่องเต้เนิบๆ “หวังว่าเจ้าจะไม่ฟังคำพูดน่าอับอายและคำเป่าหูของคนอื่นแล้วใจอ่อนไปอีก เจ้าจะต้องจำเอาไว้ว่าเจ้าเป็นฮ่องเต้ เป็นผู้นำของแคว้น!”
ฮ่องเต้ยิ่งรู้สึกละอายใจ รับคำติดต่อกัน แต่ก็ไม่ค่อยพอใจนัก ตั้งแต่ที่ตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ เขาก็ไม่เคยพูดเสียงอ่อนหรือทำท่าอ่อนน้อมแบบวันนี้เลย
ถาวจวินหลันคิดในใจ เกรงว่าหลังจากนี้ฮ่องเต้คงจะต้องรู้สึกว่าถูกดูหมิ่นและกริ้วมากแน่นอน ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นไทเฮา ต่อหน้าอาจจะไม่กล้าทำอะไร แต่ลับหลังต้องโมโหแน่นอน อย่างไรไทเฮาก็ไม่ไว้หน้าเขาถึงเพียงนี้
เพียงไม่นานนางก็แอบผิดหวังเล็กน้อย ที่จริงแล้วนางหวังว่า ไทเฮาจะพูดออกมาต่อหน้าคนมากมาย เพื่อบีบบังคับให้ฮ่องเต้เริ่มทำอะไรสักอย่าง
น่าเสียดาย…ไทเฮากลับเลือกจบเท่านี้ นี่ย่อมเป็นการไว้หน้าฮ่องเต้ แล้วไม่ใช่ว่าใจอ่อนหรืออย่างไร?
ในเมื่อไทเฮายอมหยุดเรื่องนี้แล้ว ก็เห็นได้ชัดว่างานเลี้ยงย่อมต้องดำเนินต่อไป ดังนั้นฮ่องเต้จึงเอ่ยชวนไทเฮา “ในเมื่อเสด็จแม่มาแล้ว ไม่สู้อยู่ร่วมงานก่อนแล้วค่อยกลับวังดีหรือไม่ นานๆ พวกเราจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา”
ไทเฮาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มตอบ “ฮ่องเต้คิดแบบนี้ข้าก็ดีใจ แต่เกรงว่าจะมีคนไม่ยอมรับข้า หญิงชราเช่นข้าไม่อยู่ขัดตาบางคนดีกว่า”
ฮ่องเต้มีสีหน้าประหม่า และรู้สึกโมโหเล็กน้อย พูดเสียงสูงถามว่า “ใครกล้าไม่พอใจไทเฮา ลูกไม่มีทางปล่อยไปแม้แต่คนเดียว!”
แม้แต่ฮองเฮาก็ทำได้แค่โยนความประหม่าทิ้งไป หัวเราะพลางพูดว่า “ใช่แล้ว ใครจะรังเกียจเสด็จแม่กัน อยู่ร่วมงานเลี้ยงด้วยกันเถิดเพคะ!”
ไทเฮาถึงได้พอใจ หัวเราะกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หญิงชราอย่างข้าก็ขอร่วมสนุกด้วยแล้วกัน”
ฮ่องเต้รีบให้นางกำนัลเข็นไทเฮามาด้านขวามือของตนเอง และจัดโต๊ะให้ใหม่ ด้วยกลัวว่าไทเฮาจะย่อยอาหารจำพวกมันเลี่ยนไม่ได้ เขาจึงกำชับขันทีเป่าฉวนว่า “เจ้าไปที่ห้องเครื่อง ให้พวกเขาทำอาหารอ่อนย่อยง่ายมาให้ไทเฮาเสวย”
ขันทีเป่าฉวนรีบวางซวนเอ๋อร์ลง พลางถอยออกไปกำชับห้องเครื่องอย่างเร่งรีบ
ไทเฮาถึงได้หัวเราะ พลางตบมือหันไปทางซวนเอ๋อร์ “มา ซวนเอ๋อร์ มาหาทวดเร็วเข้า”
ซวนเอ๋อร์มองซ้ายแลขวา ก่อนเรียกเสียงหวาน แล้วพุ่งเข้าอ้อมกอดของไทเฮา แต่เขาเองก็เป็นเด็กรู้ความ รู้ว่าขาของไทเฮาไม่ดีนัก ไม่รอให้ไทเฮากอดเขา ตนเองก็ใช้มือและเท้าปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ของไทเฮาเอง แล้วนั่งนิ่งอยู่ข้างกายไทเฮา
ไทเฮาเห็นซวนเอ๋อร์ทำตัวน่ารักแบบนี้ก็หัวเราะลั่น และพูดกล่าวว่า “เจ้าลิงน้อยเหมือนพ่อเขาตอนเป็นเด็กไม่มีผิด ฉลาดเสียเหลือเกิน ช่างต่างกับเด็กคนอื่นที่เก็บตัวและขี้ขลาดนัก”
ฮองเฮาได้ยินเช่นนี้ มือที่ทำเป็นหยิบจอกเหล้าเหมือนทองไม่รู้ร้อนพลันก็ชะงักกึก จากนั้นก็กำมือแน่นขึ้นหลายส่วน นางรู้ว่าไทเฮาพูดถึงบุตรสาวขององค์รัชทายาท และคิดว่าไทเฮากำลังเย้ยหยันว่าองค์รัชทายาทให้กำเนิดบุตรชายไม่ได้ ทันใดนั้นก็หงุดหงิดอย่างพูดไม่ถูก
ในใจของฮองเฮานั้นไม่พอใจ ย่อมที่จะต้องพาลไปเรื่อย คิดว่าพระชายาองค์รัชทายาทไม่มีความสามารถที่จะให้กำเนิดบุตรชายก็พอแล้ว แล้วทำไมอบรมสั่งสอนเด็กยังทำให้ดีไม่ได้? ฮองเฮาต้องยอมรับว่าต่อให้นางไม่ชอบซวนเอ๋อร์อย่างไร แต่สุดท้ายแล้วซวนเอ๋อร์นั่นก็น่าเอ็นดูกว่าบรรดาหลานสาวของตนอยู่หลายส่วน และยิ่งทำให้คนอื่นชอบมากกว่าด้วย
ครั้นเปรียบเทียบกันแล้วย่อมทำให้ฮองเฮายิ่งหงุดหงิดและไม่พอใจมากขึ้น
ในเมื่อไทเฮาหัวเราะได้แล้ว ฮ่องเต้ก็สบายใจไปเปลาะหนึ่ง จากนั้นก็พูดคุยกับไทเฮาเรื่องของซวนเอ๋อร์ บรรยากาศงานเลี้ยงภายในวังจึงดูผ่อนคลายไปไม่น้อย อย่างน้อยทุกคนก็ไม่เกร็งอีก ส่วนคำพูดของไทเฮาก่อนหน้านี้ พูดตามจริงแล้วมีแต่พาให้เครียดและกดดันยิ่งนัก
อย่างไรฮ่องเต้ไม่พอใจแล้ว แล้วยังจะมีใครกล้าขัดอีก? ไม่ใช่ว่าต้องเก็บหางของตนเองให้ดีหรืออย่างไร?
มิเช่นนั้นก็ถือว่ารนหาที่ตาย
ถาวจวินหลันสังเกตซวนเอ๋อร์ พลางคีบอาหารเข้าใกล้ปากอย่างใจลอย แกล้งทำเป็นว่านางกำลังกินอยู่ ในขณะเดียวกันในใจก็เริ่มครุ่นคิดคำพูดของอิงผิน