บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 560
ถาวจวินหลันมององค์หญิงแปดแวบหนึ่ง
องค์หญิงแปดกลับต้องตกใจเพราะสายตาหวาดกลัวของนาง จึงนิ่งตกใจไป รีบถามว่า “นี่เกิดอะไรขึ้น? อยู่ดีๆ ทำไมถึงได้มีท่าทีเช่นนี้เล่าเจ้าคะ”
ถาวจวินหลันออกแรงหยิกนิ้วของตนเองถึงได้สติกลับมา เม้มปากพูดว่า “จู่ๆ ก็คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง จึงเผลอตกใจไป ข้ากำลังคิดว่าข้าทำให้ฮองเฮาโกรธแค้นถึงเพียงนั้น ฮองเฮากลับยังไม่ยอมเล่นงานข้าเสียที ส่วนองค์รัชทายาทก็ยังไม่กลับมาเมืองหลวงเสียที แท้จริงแล้วพวกเขากำลังรออะไรอยู่กันแน่?”
องค์หญิงแปดนิ่งอึ้งไปในทันใด ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้เปิดปากพูดความคิดในใจของถาวจวินหลันอย่างด้านชา “ท่านจะบอกว่าเป้าหมายของฮองเฮาไม่ใช่การกำจัดท่านและพี่รอง แต่เป็น…เสด็จพ่อ”
ถาวจวินหลันพยักหน้าด้วยท่าทีเคร่งขรึม ถูกต้อง นี่คือสิ่งที่นางคิด และเพราะว่าคิดได้เช่นนี้ นางถึงได้ตกใจกลัวจนถึงขั้นนี้
หากเรื่องนี้เป็นจริง ก็อธิบายเหตุผลที่ฮองเฮายังไม่ยอมลงมือได้ชัดเจน อีกทั้งยังอธิบายเรื่องที่เกิดกับฮ่องเต้ช่วงนี้ได้เช่นเดียวกัน
ครั้งที่แล้วนางให้หลิวเอินไปตรวจสอบเรื่องฮ่องเต้ใช้โอสถนั้น ในตอนนี้พอจะมีเบาะแสบ้างแล้ว รู้ว่านักพรตคนนั้นชื่อว่านักพรตกู่ เป็นคนหูหนาน เป็นศิษย์สำนักเขาพยักษ์มังกร นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ รู้แค่ว่านักพรตกู่ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้เป็นที่ยิ่ง จนประทานตำหนักแห่งหนึ่งบริเวณวังนอกไว้ให้นานแล้ว มีหน้าที่แค่เพียงเรื่องการผสมยาเท่านั้น
ถาวจวินหลันลอบคิดในใจ แทนที่จะบอกว่าโปรดปราน สู้บอกว่าเป็นวิธีที่ฮ่องเต้ใช้จับตาดูนักพรตกู่เท่านั้น อย่างไรนักพรตกู่ที่อาศัยอยู่ในวังหลวงย่อมไม่อาจไปมาหาสู่กับคนภายนอกได้ และวัตถุดิบผสมยาก็ยังถูกจัดเตรียมจากภายในวังหลวงทั้งหมด ดังนั้นจึงวางใจเรื่องความปลอดภัยได้
อย่างน้อยนักพรตกู่ก็ไม่กล้าวางยาพิษ
แต่จากที่ถาวจวินหลันดูแล้ว วิธีนี้ตลกนัก นักพรตกู่ไฉนเลยจะต้องการวางยาพิษอีก? เพียงแค่ต้องผสมโอสถจำนวนมากเท่านั้นเอง สะสมโอสถพิษ ได้ผลดีกว่ายาพิษอีกมิใช่หรือ?
โรคหวาดระแวงของฮ่องเต้นับวันยิ่งรุนแรง ไม่ยอมเชื่อใจใครทั้งสิ้น อีกทั้งยังหน้ามืดอยู่บ่อยครั้ง อย่างน้อย ถ้าไม่หน้ามืดแล้วจะเชื่อเรื่องโอสถนี้ได้อย่างไร?
ทันใดนั้นภายในห้องก็เงียบสนิท จนในที่สุดองค์หญิงแปดต้องพูดทำลายความเงียบ “เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรเจ้าคะ?”
ถาวจวินหลันถอนหายใจ “ข้าเองก็ไม่รู้” ถ้าจะบอกว่าไปพูดเตือนฮ่องเต้ แล้วจะเตือนอย่างไร? จิตใจร้อนรุ่มไปพูดเตือนตรงๆ พร้อมหน้าซีดขาวอย่างนั้นหรือ? เกรงว่าฮ่องเต้ไม่เพียงไม่เชื่อ แต่จะต้องโมโหและลงโทษเพราะกล่าวเท็จแน่นอน ให้เตือนอย่างอ้อมค้อมหรือ? แล้วจะต้องอ้อมค้อมอย่างไร?
องค์หญิงแปดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะขมขื่น พลางส่ายหน้า “หากพี่รองอยู่ก็คงจะดี อย่างไรพวกเราก็เป็นเพียงสตรี คงจัดการเรื่องนี้ไม่สะดวกนัก”
ถาวจวินหลันเองก็หัวเราะขมขื่น ถูกต้องแล้ว องค์หญิงแปดพูดถูกต้อง สตรีเช่นนางไม่อาจเข้าร่วมฟังราชการได้ และไม่อาจเข้าเฝ้าได้ตามใจชอบ และยิ่งไม่อาจสั่นคลอนสถานการณ์ของราชสำนักได้ ที่จริงแล้วสิ่งที่นางทำได้มีจำกัดมาก อย่างเช่นนางทำได้แค่เพียงใช้คำพูดของประชาชนมากดดันฮ่องเต้เท่านั้น แต่ไม่อาจไปสั่นคลอนขุนนางได้
แม้จะบอกว่าเหล่าขุนนางที่เข้าฝักฝ่ายเดียวกับหลี่เย่มานานจะต้องฟังคำของนางเป็นแน่ แต่นางก็ไม่สามารถออกคำสั่งกับฝ่ายตรงข้ามได้โดยตรง ทำได้เพียงปรึกษาเท่านั้นเอง อย่างไรนางก็เป็นเพียงสตรี คนจะเชื่อนางหรือไม่ก็ยังเป็นปัญหา
สุดท้ายแล้วทั้งสองคนก็ไม่ได้วิธีอะไร ตอนขามาองค์หญิงแปดมีอารมณ์พลุ่งพล่าน แต่ขากลับนางกลับต้องหดหู่ แน่นอนว่าถาวจวินหลันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก
เมื่อคิดถึงสถานการณ์ในวังหลวง เมื่อคิดถึงความบุ่มบ่ามโง่เขลาของฮองเฮา พวกนางทั้งคู่ก็สัมผัสได้ถึงความกดดันที่ใกล้มาถึง
ถาวจวินหลันเรียกพบหลิวเอิน ตอนนี้สิ่งที่นางคิดได้มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น นั่นก็คือให้หลิวเอินไปถ่ายทอดคำพูดให้หลี่เย่ทราบ แล้วให้หลี่เย่รีบกลับมาเมืองหลวงโดยไว
ตอนนี้ไม่อาจสนใจอย่างอื่นได้แล้ว อย่างไรก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องฮ่องเต้ถูกตลบหลังเป็นแน่ หากปล่อยให้องค์รัชทายาทกับฮองเฮาทำสำเร็จ ถึงเวลานั้นสถานการณ์ก็จะยิ่งวุ่นวาย
นางพอจะเข้าใจความคิดของฮองเฮา หากฮ่องเต้สวรรคตกะทันหัน แล้วยังไม่ได้ปลดองค์รัชทายาทก่อนสวรรคต เช่นนั้นคนที่ขึ้นครองราชย์หลังจากฮ่องเต้สวรรคตก็ยังเป็นองค์รัชทายาท ไม่มีตัวเลือกอื่น ด้วยถูกต้องตามทำนองคลองธรรมจนคนอื่นไม่กล้าค้าน ถึงเวลานั้นองค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ ไม่เพียงแค่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม แต่ยังไม่มีจุดอ่อนให้คนต่อต้านได้อีก
จะบอกว่าองค์รัชทายาทไม่ดีอย่างนั้นหรือ? แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่ได้ปลดองค์รัชทายาทออกไม่ใช่อย่างนั้นหรือ? ในเมื่อยังไม่ปลด เช่นนั้นก็ยังคงเป็นองค์รัชทายาท องค์รัชทายาทคืออะไร? นั่นเป็นมกุฎราชกุมารของแคว้น!
ถึงเวลานั้นหากจะลากองค์รัชทายาทลงมา ก็มีเพียงการก่อกบฏเท่านั้น แต่เมื่อก่อกบฏ ก็ไม่อาจลบล้างชื่อเสียได้ตลอดชีวิต หลังจากนี้อีกร้อยปีพันปีสิ่งที่ถูกบันทึกอยู่ในพงศาวดารก็เป็นเพียงแค่ขุนนางกบฏขี้ขโมยเท่านั้นเอง ไม่อาจทำให้ถูกต้อมตามทำนองคลองธรรมได้
ถาวจวินหลันครุ่นคิด แล้วก็เรียกถาวจิ้งผิงเข้าพบ ทั้งสามคนเข้าไปปรึกษากันเรื่องนี้ ที่หลิวเอินเองก็มีส่วนร่วมในงานนี้เพราะว่าหลิวเอินจัดการเรื่องราวมากมายแทนหลี่เย่ ไม่ว่าจะเป็นหูเป็นตาหรือเป็นสมองคิดเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจทำได้
มีคำโบราณกล่าวเอาไว้ว่า คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย สามคนสบาย ถาวจวินหลันคิดว่าต่อให้พวกเขามีกันสามคนก็ไม่อาจสู้จูเก๋อเหลียงได้ แต่คิดหาวิธีเหมาะสมก็คงไม่ได้ยากเกินไปนัก
พอคนมารวมกันครบ ถาวจวินหลันก็ค่อยๆ พูดเรื่องที่นางคาดเดาให้หลิวเอินกับถาวจิ้งผิงฟัง จากนั้นก็มองดูสีหน้าตื่นตกใจของทั้งสองคน ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะได้สติกลับมาเหมือนเดิม
“หากเป็นเช่นนี้จริง นั่นก็วุ่นวายแล้ว” ถาวจิ้งผิงขมวดคิ้ว “อย่างไรตอนนี้พี่เขยก็ไม่อยู่ในเมืองหลวง หากเกิดเรื่องอะไรในวังหลวงจริง เกรงว่าคงกลับมาไม่ทันอย่างแน่นอน”
ถาวจวินหลันถอนหายใจ “ใช่แล้ว ดังนั้น เรื่องที่น่ากังวลที่สุดคือการส่งข่าวไปบอกท่านอ๋อง หลิวเอิน เรื่องนี้มอบให้เจ้าไปจัดการ เจ้าจะต้องทำให้ดี”
หลิวเอินตอบรับอย่างหนักแน่น ไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย เทียบกับเรื่องนี้ เรื่องคราวก่อนถือเป็นเรื่องเด็กๆ ไปเลย
ถาวจวินหลันมองถาวจิ้งผิง “ขันทีเป่าฉวนได้ส่งข่าวอะไรให้เจ้าบ้างหรือไม่?” คราวที่แล้วนางให้ถาวจิ้งผิงไปมาหาสู่กับขันทีเป่าฉวนบ่อยครั้ง ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว น่าจะได้ข่าวอะไรกลับมาบ้าง
“ขันทีเป่าฉวนไม่ค่อยกล้าไปมาหาสู่กับคนอื่นเยอะนักขอรับ ดังนั้นจึงไม่ได้บอกอะไรให้ข้า แต่ดูจากท่าทีระแวงระมัดระวังของเขาแล้ว เกรงว่าตอนนี้ฮ่องเต้คงเริ่มสงสัยมากกว่าเดิม” ถาวจิ้งผิงถอนหายใจ “พูดไปแล้ว ที่จริงขันทีเป่าฉวนก็ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับพยายามบอกใบ้อยู่หลายครั้ง ก็ถือว่าเป็นการอธิบายความจริงของเรื่องราวแล้ว”
ที่จริงถ้าพูดจากบางมุม ท่าทีของขันทีเป่าฉวนก็ถือว่าแสดงออกแทนสถานการณ์ของฮ่องเต้ อย่างเช่นวันนี้ขันทีเป่าฉวนหวาดระแวง นั่นก็หมายความว่าฮ่องเต้ต้องอารมณ์ไม่ดีแน่นอน หากขันทีเป่าฉวนมีท่าทีดีอกดีใจ นอกจากว่าตนเองจะบังเอิญพบเรื่องอะไรดีๆ แล้ว เช่นนั้นก็ต้องแสดงว่าฮ่องเต้อารมณ์ดีแน่นอน
ถาวจวินหลันพยักหน้า “ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็จะต้องสื่อสารกับขันทีเป่าฉวนให้มาก อีกอย่างหลิวเอิน เจ้าเองก็จะต้องจับตามองความเคลื่อนไหวของตระกูลหวังไว้ด้วย”
ตระกูลหวังเป็นผู้ช่วยของฮองเฮา หากตระกูลหวังเริ่มเคลื่อนไหว เช่นนั้นก็ต้องเป็นเพราะฮองเฮาออกคำสั่งแน่นอน
สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็พูดถึงวิธีที่ตนเองคิด “จับตาดูประตูเมืองเอาไว้ อย่าให้องค์รัชทายาทเข้าเมืองหลวง หากถึงเวลาฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นการลักพาตัวองค์รัชทายาท หรือว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่อาจปล่อยให้องค์รัชทายาทเข้าวังหลวงมาได้ หาถึงสถานการณ์เลวร้ายที่สุดก็ห้ามปล่อยให้เข้าวังหลวง”
หลิวเอินตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง ก่อนพูดเสนออีกวิธี “เช่นนั้นก็เริ่มส่งคนออกไปตามท้องถนนเพื่อตามหาองค์รัชทายาทตั้งแต่ตอนนี้ดีหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรขัดขาองค์รัชทายาทเอาไว้ ทำให้องค์รัชทายาทล่าช้าถึงจะได้ผลดีขอรับ หากปล่อยให้องค์รัชทายาทกลับเข้ามาในเมืองหลวง พววกเราคิดจะลงมือก็ไม่ง่ายนัก”
ถาวจวินหลันย่อมต้องเข้าใจเรื่องนี้ ขัดขาองค์รัชทายาทเอาไว้ไม่ให้เขากลับมาทัน เรื่องนี้ไม่ง่าย ถ้าไม่ลอบฆ่า เช่นนั้นก็ต้องใช้วิธีโหดเ**้ยมบางอย่าง หรือว่าจะหาเหตุผลที่ถูกต้องยุติธรรม แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ไม่ง่ายทั้งนั้น
“เรื่องนี้ยกให้เจ้าจัดการ” ถาวจวินหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าเห็นด้วย เรื่องมาถึงตอนนี้นางคงไม่อาจสนใจเรื่องอื่นได้อีกแล้ว
หลิวเอินรับปากอย่างแข็งขัน ท่าทีเคร่งขรึมอย่างที่สุด
“เรื่องปลดองค์รัชทายาท ข้าจะคิดหาวิธีกดดันฮ่องเต้” แล้วถาวจิ้งผิงก็พูดต่อ “ข้าจะพยายามให้ฮ่องเต้ปลดองค์รัชทายาทโดยเร็วขอรับ”
แต่เดิมถาวจวินหลันคิดจะพูดเรื่องอี๋เฟยกับองค์รัชทายาท แต่พอคิดดูแล้วก็ไม่ได้พูดออกมา ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาใช้ไพ่ตาย เรื่องนี้เก็บเงียบไว้ก่อนเป็นดี อย่างไรการพูดความจริงออกไปก็ถือเป็นเรื่องน่าอายของตระกูล ยิ่งคนรู้เยอะก็ยิ่งไม่เหมาะสม อีกทั้งไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นหากฮ่องเต้ไม่พอใจ แล้วฆ่าปิดปากเล่า?
ดังนั้นถึงเวลาที่ต้องพูดก็ไม่อาจให้ถาวจิ้งผิงไปพูด ควรเป็นนางที่ไปพูดเอง บางทีอาจจะบอกไทเฮา ให้ไทเฮาไปบอกฮ่องเต้ได้
แต่พอคิดถึงสุขภาพของไทเฮาและฮ่องเต้ในตอนนี้ ถาวจวินหลันก็อดหัวเราะขมขื่นไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้เกรงว่าพวกนางคงไม่อาจรับไหว ไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นอาจไม่ได้ปลดองค์รัชทายาท แต่กลายเป็นช่วยองค์รัชทายาท ด้วยการทำให้ฮ่องเต้ถึงสุขาวดีก่อนเวลาอันควร
ดังนั้นจึงบอกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างยาก
ถาวจวินหลันถอนหายใจ รู้สึกว่าหนทางข้างหน้ายังเต็มไปด้วยหมอกควัน ยังมองเห็นทางที่ตนจะเดินไม่ชัดนัก
และตอนนี้นางก็ยิ่งคิดถึงหลี่เย่มากขึ้น
หากหลี่เย่อยู่ในเมืองหลวง เรื่องนี้ย่อมต้องไม่ซับซ้อนเช่นนี้เป็นแน่ หากหลี่เย่อยู่ในเมืองหลวง นางเองก็ไม่ต้องมาจัดการเรื่องเหน็ดเหนื่อยเหล่านี้
“ท่านพี่อย่ากังวลไปเลย ในเมื่อเด็กคนนั้นอยู่ในมือของพวกเรา ถึงเวลานั้นหากไม่มีวิธีอะไรแล้ว ก็ยังใช้เด็กคนนั้นข่มขู่องค์รัชทายาท เพื่อกันไม่ให้องค์รัชทายาทเข้าเมืองหลวงได้นะขอรับ” ฉับพลันถาวจิ้งผิงก็เสนอเรื่องนี้ พอนางได้ยินก็ตกใจยิ่ง
ถาวจวินหลันนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ สุดท้ายก็หัวเราะขมขื่น วิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ไม่ใช่วิธี ต่ำช้าเลวทรามไม่ต้องพูดถึง ที่สำคัญที่สุดก็คืออาจเกิดผลลัพธ์เลวร้าย แต่เหมือนกับที่ถาวจิ้งผิงพูด ในตอนที่ไม่มีวิธี นี่ก็ถือว่าเป็นวิธีสุดท้าย
เมื่อคิดเช่นนี้นางก็พูดวางมาดไม่ออก ยิ่งไม่อาจตอบโต้ได้
ฉับพลันนั้นถาวจวินหลันก็คิดว่านางเริ่มเข้าใจฮองเฮาแล้ว หรือจะบอกว่าตนเองเหมือนฮองเฮามากขึ้นเรื่อยๆ แล้วกระมัง? เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็อดตัวสั่นสะท้านไม่ได้ รู้สึกว่าเย็นเฉียบไปทั้งร่าง
เพียงแค่ช่วงพริบตาเดียวก็มาถึงวันที่ยี่สิบห้าเดือนแปด มองดูวันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ อีกสามวันก็จะถึงเวลาปิดราชสำนักแล้ว ซึ่งก็หมายความว่าฮ่องเต้จะไม่ขึ้นว่าราชการชั่วคราว นอกจากจะเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ เรื่องเล็กอย่างอื่นก็จะเก็บเอาไว้ก่อน
และงานสมโภชสิ้นปีก็ใกล้จะมาถึงแล้ว
ถาวจวินหลันคิดว่าสถานการณ์จะมีแนวโน้มไปทางไหน ก็คงได้รู้ในงานเลี้ยงสมโภชแล้ว
และสิ่งที่ทำให้นางสบายใจและเคร่งเครียดไปในเวลาเดียวกันนั้นก็คือองค์รัชทายาทยังไม่กลับมา อีกทั้งยังไม่มีข่าวคราวเลยแม้แต่น้อย