บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 590
ถาวจวินหลันเพียงแค่นิ่งคิดคำถามของอี๋เฟยครู่หนึ่ง แล้วก็ยิ้มตอบ “อี๋เฟยเหนียงเหนียงคิดว่าอย่างไรเล่าเพคะ?”
ท่าทีของอี๋เฟยดูเคร่งเครียดทันที มองถาวจวินหลันหลายครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงจะลังเลพูดว่า “ในเมื่อชายารองถาวรู้แล้ว เช่นนั้นข้าขอถามท่านว่า ท่านคิดว่าอาอู่เป็นอย่างไร?”
ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว เหมือนไม่เข้าใจความหมายของอี๋เฟย ดังนั้นย่อมไม่ได้เอ่ยปากพูด
“ชาติกำเนิดของอาอู่ย่อมน่าอาย โดยเฉพาะเขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวขององค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ” อี๋เฟยพูดงึมงำ แต่กลับแสดงความหมายอย่างชัดเจน
ถาวจวินหลันเริ่มเข้าใจความหมายของอี๋เฟย อี๋เฟยอยากถามนางว่า นางมองเส้นทางในอนาคตของอาอู่ไว้อย่างไร ส่วนทำไมมาถามนางก็ไม่ได้แปลก ด้วยเพราะนางรู้ชาติกำเนิดของอาอู่ ดังนั้นขอเพียงนางคิดจะทำอะไรสักอย่าง อาอู่ก็ถูกเล่นงานได้ตลอดเวลา
เป็นแม่คนเหมือนกัน ถาวจวินหลันย่อมเข้าใจความตึงเครียดของอี๋เฟย หลังจากนางตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งก็พูดว่า “อาอู่คืออาอู่ ผู้ใหญ่ก็คือผู้ใหญ่ ความผิดที่ผู้ใหญ่ทำ ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับอาอู่ อีกทั้งองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อก็เหลือลูกชายเอาไว้เพียงคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นใครก็ควรจะต้องปฏิบัติกับเขาให้ดี ขอแค่เขาเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่ได้คิดแผนร้าย ใครจะทำอะไรเขาได้?”
นางตอบคำถามของอี๋เฟย และเป็นการเตือนอี๋เฟย ด้วยเพราะการเลี้ยงดูอาอู่นั้นสำคัญมาก พ่อแท้ๆ ของอาอู่เป็นองค์รัชทายาท จากความหมายในบางมุมแล้วอาอู่มีคุณสมบัติแย่งชิงกับอาของเขา เกรงว่าในอนาคตอาอู่โตขึ้นและเข้าใจเรื่องเหล่านี้แล้ว ในใจคงโกรธแค้นไม่น้อย
อี๋เฟยส่ายหัวทันที “ไม่ อาอู่ไม่มีทางมีความคิดเช่นนั้น”
ถาวจวินหลันไม่อยากพูดถึงอาอู่มากนัก นางจึงเปลี่ยนเรื่องพูดทันที “ที่จริงแล้วเมื่อเทียบกับอาอู่ อี๋เฟยควรจะใส่ใจองค์ชายเก้ามากกว่าถึงจะถูกนะเพคะ”
องค์ชายเก้าไม่ใช่ลูกชายของฮ่องเต้ ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลหลี่ เรื่องนี้นางและอี๋เฟยรู้ดีอยู่แก่ใจ และนางที่เป็นลูกสะใภ้ตระกูลหลี่ ต่อให้ตอนนี้ยังไม่ถือว่าใช่ ในอนาคตก็จะต้องเป็นอย่างแน่นอน ใจของนางย่อมเทไปที่ตระกูลหลี่ และไม่เห็นด้วยกับการสลับสับเปลี่ยนสายเลือดของตระกูลหลี่ ทั้งยังไม่อาจเมินเฉยต่อสิ่งที่ปรากฏอยู่ข้างหน้าได้
อี๋เฟยได้ยินถาวจวินหลันพูดถึงองค์ชายเก้า ก็รู้สึกขมขื่น นางนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ถึงได้พูดเสียงเบาว่า “เด็กคนนั้นร่างกายอ่อนแอ พอคลอดมาก็มีโรคติดตัวมาอยู่แล้ว ข้าให้หมอหลวงมาดูอยู่หลายครั้ง ต่างก็พูดว่ามีชีวิตได้ไม่เกินห้าขวบ”
ถาวจวินหลันอึ้งไปเล็กน้อย พูดไม่ออกว่าตกใจมากกว่าหรือรู้สึกอย่างอื่นมากกว่ากัน สุดท้ายแล้วนางก็ถามอย่างตกใจ “จะเป็นไปได้อย่างไร?” เด็กคนนั้นดูไม่น่าอ่อนแอ คิดดูแล้วคงเป็นข้ออ้างของอี๋เฟยกระมัง?
อี๋เฟยยังคงยิ้มขมขื่น เสียงแผ่วเบาจนจะหายไปพร้อมกับเสียงลมพัด “ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ เด็กคนนั้นก็ไม่อาจเก็บไว้ได้ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ? ยิ่งจัดการได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดี”
ถาวจวินหลันทั้งอึ้ง ทั้งสงสาร เลี้ยงเด็กมานานขาดนั้น อี๋เฟยคงจะต้องผูกพันอยู่บ้าง แต่ทำไมถึงได้พูดเรื่องเช่นนี้ ไม่รู้ว่าอี๋เฟยรู้สึกอย่างไรกันแน่?
“อี๋เฟยเหนียงเหนียงเรียกหม่อมฉันมาด้วยเรื่องนี้หรือ?” คิดเรื่องเหล่านี้ อารมณ์ของถาวจวินหลันก็เริ่มหดหู่ รู้สึกว่าไม่อยากอยู่ต่อ จึงได้เอ่ยถาม พลางพูดอีกว่า “หากไม่มีเรื่องอื่น หม่อมฉันขอตัวก่อน น้องสาวของหม่อมฉันยังรออยู่ทางนั้น”
อี๋เฟยได้ยินเช่นนั้นก็กำผ้าเช็ดหน้าในมือ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงพูดว่า “ที่จริงแล้วข้ามีอีกเรื่องอยากขอร้องชายารองถาว”
ถาวจวินหลันเลิกคิ้วสงสัย “หม่อมฉันมีความสามารถตื้นเขิน เกรงว่าคงช่วยอี๋เฟยเหนียงเหนียงไม่ได้หรอกเพคะ อีกอย่างท่านยังใกล้ชิดกับฮองเฮาเหนียงเหนียง ทำไมถึงไม่ไปขอร้องฮองเฮาเหนียงเหนียงเล่าเพคะ?”
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน อี๋เฟยกับฮองเฮาก็เป็นคนร่วมทางเดียวกัน นางไปขอการคุ้มครองจากฮองเฮา ก็ถือว่าเป็นเรื่องถูกต้องตาทำนองคลองธรรม ต่อให้เป็นการไว้หน้าอาอู่ คิดว่าฮองเฮาคงไม่มีทางละเลยอี๋เฟย
แต่คิดไม่ถึงว่าอี๋เฟยจะเอ่ยปากขอร้องนาง
แต่ในเมื่ออี๋เฟยเอ่ยปากพูด คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายเป็นแน่ นางยังไม่กล้าตอบรับอย่างมั่วซั่ว
อี๋เฟยยิ้มปล่อยผ่านไป “ใกล้ชิดกัน? ก่อนหน้านี้ใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ตอนนี้ฮองเฮาคงอยากให้ข้าไปตายเสีย”
ถาวจวินหลันเข้าใจว่าอี๋เฟยหมายความว่าอะไร และเข้าใจว่าทำไมฮองเฮาถึงอยากให้อี๋เฟยตาย ยิ่งอี๋เฟยมีชีวิตเพิ่มขึ้นหนึ่งวัน ชาติกำเนิดของอาอู่ก็ยิ่งถูกขุดได้ง่ายขึ้น แม้จะบอกว่าตอนนั้นจัดการอย่างรอบคอบ แต่ใต้หล้านี้กำแพงมีหูประตูมีช่องมิใช่หรือ? วิธีที่ดีที่สุดคือให้อี๋เฟยตายไป ตายไปโดยไร้ร่องรอย
อีกเหตุผลหนึ่งก็ด้วยกลัวว่าตัวของอี๋เฟยเองจะไปหาอาอู่ ดังนั้นฮองเฮาก็น่าจะต้องคิดหาวิธีมากมายมาตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างอี๋เฟยและอาอู่ และวิธีที่ดีที่สุดก็คือให้อี๋เฟยตายไปเสีย
“ท่านเป็นพระสนมที่ได้รับความโปรดปราน และยังมีองค์ชายอยู่ข้างกาย แม้ว่าฮองเฮาคิดจะลงมือก็คงไม่ง่ายขนาดนั้น” ถาวจวินหลันพูดช้าๆ จากนั้นก็ส่ายหน้าเบาๆ “อีกทั้งหม่อมฉันอาศัยอยู่ที่จวนตวนชินอ๋อง ไม่มีเส้นสายในวังแม้แต่น้อย คิดว่าหม่อมฉันคงช่วยท่านไม่ได้” นางคิดว่าอี๋เฟยคงอยากขอความคุ้มครองจากตนเอง
เรื่องนี้นางช่วยไม่ได้จริงๆ
แต่อี๋เฟยกลับส่ายหน้า “ข้าอยากขอร้องเจ้า หลังจากข้าตายไปให้เจ้าจัดการเรื่องเจ้าเก้าให้ดี และขอให้เจ้าดูแลอาอู่บ้าง”
ถาวจวินหลันแค่นหัวเราะ “เหตุใดท่านถึงได้มั่นใจนักว่าหม่อมฉันทำแบบนั้นได้ หม่อมฉันก็เป็นเพียงชายารอง เกรงว่า…”
นางยังไม่ทันพูดจบ อี๋เฟยก็พูดขัดจังหวะนางอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้ นอกจากเจ้า เกรงว่าคงไม่มีใครทำได้อีก ไฉนเจ้าจะต้องถ่อมตัว?”
ถาวจวินหลันยิ้มกว้าง “ท่านดูมั่นใจเกินไปแล้ว เรื่องเช่นนี้ใครจะกล้าพูดอย่างมั่นใจเล่าเพคะ?”
“ข้าไม่ใช่คนตาบอดหูหนวก” อี๋เฟยส่ายหัว ยังคงใช้น้ำเสียงหนักแน่น “สถานการณ์ในตอนนี้มีใครบ้างไม่เข้าใจบ้าง หลังจากนี้คนที่ชนะย่อมต้องเป็นตวนชินอ๋อง นอกจากตวนชินอ๋องแล้ว ใครยังได้รับความเชื่อถือจากประชาชนอีก? อีกอย่างท่านอ๋องคนอื่นก็ไม่ได้มีช้างเท้าหลังดีอย่างเจ้า”
คำพูดนี้เป็นการสรรเสริญอย่างแท้จริง
ถาวจวินหลันบีบข้อมือของตนเองอย่างขัดเขิน สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดถ่อมตัวอีก นางคาดหวังอยู่เต็มอกว่าหลี่เย่จะนั่งในตำแหน่งผู้นำของใต้หล้านี้ได้ จึงไม่พูดอะไรอีก
“ตวนชินอ๋องเป็นคนความสัมพันธ์มากมาย ตอนนั้นเขายอมทำเรื่องมากมายเช่นนั้นเพื่อเจ้า ต่อจากนี้ย่อมไม่มีทางทอดทิ้งเจ้าเป็นแน่ ดังนั้นขอร้องเจ้าถือว่าเหมาะสมที่สุด” อี๋เฟยยิ้มบางๆ เหมือนพอใจกับความฉลาดของตนเอง ทั้งยังทอดถอนใจบางส่วน
เรื่องนี้ถาวจวินหลันไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
อี๋เฟยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ฉับพลันนั้นกลับคุกเข่าลงต่อหน้านาง หมอบเคารพอยู่บนพื้น ร้องขออย่างจริงจัง “ชีวิตของข้าอาจจะทำเรื่องผิดมามากมาย ถึงตายก็ไม่เสียดายชีวิต แต่น่าสงสารเด็กสองคนนั้นที่ต้องมาลำบากเพราะข้าไปด้วย ดังนั้นข้าอยากขอร้องชายารองถาว สงสารพวกเขาเถิด”
อี๋เฟยแสดงท่าทีเสมือนตำแหน่งของตนเองต่ำต้อยนัก หน้าผากแตะลงบนพื้นโดยตรง ทั้งอ่อนน้อมและถ่อมตน จนคนเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้
หากถาวจวินหลันใจอ่อนเสียหน่อย เกรงว่าคงตกลงรับคำไปแล้ว แต่ถาวจวินหลันคิดว่าตนเองคงเริ่มใจแข็งขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นใจไม้ไส้ระกำแล้ว
พอเห็นท่าทีเช่นนี้ของอี๋เฟย นางไม่เพียงไม่รู้สึกใจอ่อน แต่กลับถอนหายใจออกมา “รู้ว่าจะมีวันนี้แล้วทำไมถึงได้ทำตั้งแต่แรก?”
อี๋เฟยนิ่งไปเล็กน้อย ทั้งร่างแข็งเกร็งขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงก็มีความสะอื้นแฝงอยู่เล็กน้อย “ใช่แล้ว หากรู้ว่าจะมีวันนี้ แล้วจะทำทำไมตั้งแต่แรก ฉางเอ๋อรู้สึกผิดที่ขโมยกินยาอายุวัฒนะ ต่อจากนี้มีเพียงทะเลมรกตและท้องฟ้าเคียงข้าง”
เพียงแค่พูดว่า ‘ฉังเอ๋อรู้สึกผิดที่ขโมยกินยาอายุวัฒนะ ต่อจากนี้มีเพียงทะเลมรกตและท้องฟ้าเคียงข้าง’ ก็อธิบายความคิดของอี๋เฟยแล้ว อี๋เฟยในตอนนี้คงจะผิดหวังเป็นที่ยิ่ง
แต่น่าเสียดายที่ใต้หล้านี้ไม่มียาแก้ความรู้สึกผิดได้
“พอคิดดูแล้วในเมื่อท่านพูดเช่นนี้ ก็ควรเตรียมเบี้ยต่อรองมาพูดเกลี้ยกล่อมหม่อมฉันใช่หรือไม่” ถาวจวินหลันครุ่นคิด ก่อนพูดอีกว่า “ท่านคงไม่คิดว่าหม่อมฉันจะรับปากเพราะคำพูดเพียงสองสามคำ และความใจอ่อนเพียงน้อยนิดใช่หรือไม่ เรื่องนี้มีความเสี่ยงสูง พูดตามจริงแล้ว ไม่ว่าท่านจะมีเบี้ยต่อรองอะไร หม่อมฉันก็ไม่มีทางยอมรับ”
หากนางรับปากอี๋เฟย และทำได้แล้ว เช่นนั้นเมื่อดูจากบางมุมแล้ว นางก็เท่ากับเป็นผู้ร่วมกระทำความผิด
พูดตามจริงแล้ว ไม่คุ้มค่า ดูแลอาอู่ก็แล้วไป สุดท้ายแล้วอาอู่ก็ยังเป็นสายเลือดของตระกูลหลี่ แต่องค์ชายเก้าในวังหลวงตอนนี้…
ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องดีลอยเข้าปากเปล่าๆ นางย่อมไม่อาจช่วยอี๋เฟยอย่างไร้เหตุผล ใจดีถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ทำตามอำเภอใจก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
อี๋เฟยกลับไม่แปลกใจกับคำพูดของนางแม้แต่น้อย แล้วยังหัวเราะเบาๆ จากนั้นอี๋เฟยก็ลุกขึ้นจากพื้น ปัดฝุ่นบนตัว พูดว่า “ที่จริงแล้ว หากเจ้ารับปากข้าเช่นนี้จริง ข้าก็คงไม่อาจวางใจได้ แต่พอเจ้าเปิดปากพูดเรื่องผลประโยชน์ ข้ากลับรู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย หยวนฉงหวาบอกกับข้าว่า แม้ชายารองน่าเบื่อหน่าย แต่ก็ถือเป็นคู่ค้าที่ดี เพราะหากนางรับปากเรื่องอะไร ก็ไม่มีทางคืนคำแน่นอน”
ถาวจวินหลันได้ยินคำชื่นชมก็ตกใจทันที คิดไม่ถึงว่าหยวนฉงหวาจะประเมินนางเอาไว้สูงขนาดนี้
แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เวลาคิดเรื่องเหล่านี้ นางเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ จากนั้นก็พูดตรงๆ ว่า “ถ้าเช่นนั้นอี๋เฟยเหนียงเหนียงลองพูดผลประโยชน์ที่ท่านเตรียมเอาไว้เถิด คิดจะเอาอะไรมาแลกเปลี่ยนกับหม่อมฉันหรือ? คิดดูแล้วหยวนฉงหวาคงบอกท่านว่า หากจะทำให้หม่อมฉันซาบซึ้ง จะต้องมีผลประโยชน์ที่มากพอถึงจะถูก”
รอยยิ้มของอี๋เฟยยิ่งกว้างขึ้น “ย่อมต้องเตรียมพร้อมแล้ว หวังว่าหลังจากข้าพูดออกไป ชายารองถาวจะไม่ตกใจเท่านั้นเอง”
อี๋เฟยพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันย่อมสนใจมากขึ้น จึงหัวเราะพูดว่า “อี๋เฟยเหนียงเหนียงอย่าอ้อมค้อมอีกเลยเพคะ รีบพูดเถิด”