บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 605
หลังจากอี๋เฟยเข้ามา ก็ทำความเคารพไทเฮาอย่างอ่อนน้อม แต่เพราะหน้าตาที่ไร้การประทิน ก็ให้ทุกคนตกใจ
ผู้หญิงในวังหลวง ไม่ว่าที่ไหนเวลาใดก็ไม่มีทางปล่อยให้ตนเองโทรมเช่นนี้ ดังนั้นคนอื่นเห็นอี๋เฟยเป็นเช่นนี้ก็อดตกใจไม่ได้
ในเมื่ออี๋เฟยมาทำความเคารพ ไทเฮาย่อมไม่อาจปล่อยให้อี๋เฟยเสียหน้าได้ จึงยิ้มพลางบอกให้ลุกขึ้น “ลำบากเจ้าแล้ว”
อี๋เฟยยิ้ม “มาทำความเคารพผู้ใหญ่ แต่เดิมก็เป็นเรื่องสมควรเพคะ ไฉนเลยจะเป็นความลำบากเพคะ? หากมีใจก็ควรต้องมารับใช้ปรนนิบัติไทเฮาทุกวันถึงจะถูกเพคะ”
“พอพูดเช่นนั้น ก็ถือว่าลำบากเจ้าแล้ว” ไทเฮาได้ยินอี๋เฟยพูดต่างจากปกติ ก็หัวเราะพูดเย้าแหย่
อี๋เฟยพยักหน้า “ไม่ลำบากเพคะ อีกอย่างเกรงว่าหม่อมฉันมาคงจะทำให้ไทเฮาเบื่อหน่ายเสียมากกว่าเพคะ ไทเฮาว่าอย่างนั้นหรือไม่?”ไทเฮาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี คำพูดของอี๋เฟยนั้นทำให้คนรับคำไม่ถูก ในขณะเดียวกันก็อึดอัดใจ อี๋เฟยเป็นอะไรไป? วิ่งมาทำความเคารพไม่พอ แล้วยังพูดจาแปลกพิลึกอีกด้วย
สุดท้ายไทเฮาก็ทนต่อไปไม่ไหว ถามออกมาตรงๆ “วันนี้เจ้ามา เพียงเพื่อทำความเคารพเท่านั้นหรือ?” คำพูดนี้มีสองความหมาย อย่างแรกคือหากมาเพื่อทำความเคารพจริง เช่นนั้นหลังจากทำความเคารพเสร็จก็ควรต้องจากไปแล้ว อย่างที่สองก็คือ ถ้าไม่ได้มาเพื่อทำความเคารพ เช่นนั้นมีอะไรก็รีบพูดมา ไม่ต้องมัวอ้อมค้อมเช่นนี้
อี๋เฟยยกชายกระโปรงขึ้น คุกเข่าไปทางไทเฮา จากนั้นก็พูดว่า “หม่อมฉันมีเรื่องอยากขอร้องเพคะ”
“หืม? เรื่องอะไรถึงต้องมาขอร้องข้า” ไทเฮาหัวเราะ แต่ไม่ได้รับปากในทันที “หรือว่าฮองเฮาไม่ยอมช่วยเจ้า? หากนางยังไม่ยอมช่วย เช่นนั้นข้าจะไปช่วยอะไรเจ้าได้? ในเมื่อข้าไม่ได้ดูแลวัง และไม่ถามไถ่ เป็นเพียงหญิงชราไร้ประโยชน์นอนอัมพาตเท่านั้นเอง”
“หม่อมฉันอยากขอร้องไทเฮา ให้ฮ่องเต้มอบจวนให้เจ้าเก้า แล้วให้เขาย้ายออกไปนอกวังหลวงโดยเร็วเถิดเพคะ” อี๋เฟยก้มลงทำความเคารพอย่างลึกซึ้ง หมอบอยู่กับพื้นไม่ยอมลุกขึ้นมา ท่าทางต่ำต้อยเป็นอย่างมาก
“เจ้าเก้าเพิ่งจะอายุเท่าไรกัน?” ไทเฮาขมวดคิ้ว “นี่จะทำได้อย่างไร? ไม่ว่าอย่างไรฐานะของเขาก็แสดงให้เห็นอยู่ตรงนั้น แม้ว่าเจ้าจะกังวล…แต่พี่ชายของเขาคงไม่ละเลยเขาเป็นแน่”
ไทเฮาคิดว่าอี๋เฟยกังวลว่าฮ่องเต้จะตายเร็ว ไม่ทันได้ตั้งจวนให้องค์ชายเก้าก็สิ้นไปเสียก่อน พอผลัดเปลี่ยนฮ่องเต้ องค์ชายเก้าก็จะไม่มีที่ไป แต่นี่เห็นได้ว่าตีตนไปก่อนไข้แล้ว องค์ชายเก้าอายุน้อยจนไม่อาจเข้าไปขวางทางใครได้ ไม่ว่าอย่างไร โตขึ้นก็แต่งตั้งให้เป็นท่านอ๋องได้
อี๋เฟยไม่ได้อธิบาย และไม่บังคับให้ไทเฮารับปาก เพียงแค่พูดเสียงเบาว่า “หม่อมฉันรู้ว่าไทเฮาเรียกหาจวงผินด้วยเรื่องอะไร ดังนั้นหม่อมฉันถึงได้อาจหาญมาเสนอตัวเองเพคะ”
คราวนี้ไทเฮาตกใจจริง “เจ้าพูดมาสิ ข้าอยากทำเรื่องอะไร”
“ไทเฮาอยากกล่อมให้ฮ่องเต้แต่งตั้งองค์รัชทายาทโดยเร็วเพคะ” อี๋เฟยพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจไม่ลังเล
ไทเฮาเงียบมองอี๋เฟยครู่ใหญ่ เปลี่ยนท่าทีไปเรื่อยๆ
อี๋เฟยเองก็ไม่ขยับ ปล่อยให้ไทเฮาพินิจพิเคราะห์
สุดท้ายแล้วไทเฮาก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา “ดี ข้าจะดูความสามารถของเจ้า”
อี๋เฟยคำนับอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ลุกขึ้นขอตัวทูลลา ไทเฮากลับรับคำอย่างแฝงนัย จากนั้นก็รอจนอี๋เฟยออกไป ถึงได้หันไปหาจางหมัวหมัว “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
จางหมัวหมัวไม่เข้าใจความคิดของอี๋เฟย เพียงแค่ส่ายหน้า “บ่าวไม่เข้าใจเพคะ”
และทางด้านนี้ ถาวจวินหลันเองก็มีแขกมาหา เพ่ยหยางโหวฮูหยิน องค์หญิงแปด และองค์หญิงเก้าต่างก็บอกว่ามาหาหมิงจูกับซวนเอ๋อร์
ยังดีที่ตอนนี้พ้นช่วงไว้ทุกข์แล้ว สามารถตั้งโต๊ะฉลองได้ แต่ก็ไม่อาจเอิกเกริกมากเกินไปได้ ถาวจวินหลันก็ไม่ได้ให้คนเตรียมยิ่งใหญ่เกินไป ล้วนเตรียมของกินที่ประณีต ถ่อมตนเองไว้ตอนรับ ก็ถือว่าชดเชยงานเลี้ยงเทศกาลดอกไม้แทนได้
เพราะต้องพูดคุย ดังนั้นถาวจวินหลันจึงให้คนจัดโต๊ะเอาไว้ข้างน้ำ ทั้งสามด้านนั้นรอบล้อมไปด้วยน้ำ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนแอบฟัง
ถาวซินหลันก็ถูกเรียกมาเช่นเดียวกัน เฉินฮูหยินไม่วางใจก็ตามมาด้วยเช่นกัน
เฉินฮูหยินเห็นถาวจวินหลัน ก็หัวเราะแสดงความยินดี “อีกไม่นานจวนตวนชินอ๋องก็จะมีข่าวดีแล้ว ข้าต้องขอแสดงความยินดีล่วงหน้าเอาไว้ที่นี่ด้วย”
คำพูดของเฉินฮูหยินแฝงไว้ด้วยความหยอกเย้า แต่ไม่ได้เป็นความหยอกเย้าทั้งหมด ถาวจวินหลันรู้ว่าเฉินฮูหยินพูดถึงเรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาท จึงคลี่ยิ้มน้อยๆ “น้อมรับคำอวยพรของฮูหยินเจ้าค่ะ หากมีเรื่องดี ถึงเวลานั้นข้าจะต้องไปขอบคุณฮูหยินด้วยตนเองแน่นอน”
เฉินฮูหยินหัวเราะ ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่เอ่ยทักทายกับคนอื่น
ถาวจวินหลันยิ้มมองท้องของถาวซินหลัน “ตอนนี้ดีแล้วหรือยัง”
ถาวซินหลันยิ้มพลางลูบท้องไปมา แอบยู่ปากให้เฉินฮูหยิน “ตอนนี้แม่สามีจับตามองข้าทุกฝีก้าวเจ้าค่ะ ท่านต้องช่วยหม่อมฉันหาทางนะเจ้าคะ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้ากลัวว่านางจะเข้ามาอยู่กับข้าเสียแล้ว ที่จริงก็ไม่มีอะไร แต่กลัวว่าคนอื่นจะอิจฉาเท่านั้น”
พูดเช่นนี้ก็ถูก เฉินฮูหยินไม่ได้มีลูกสะใภ้เพียงคนเดียว ปฏิบัติกับถาวซินหลันดีเกินไป คนอื่นย่อมไม่ชอบใจ สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินไม่ต้องพูดถึง แต่สะใภ้รองเล่า? คงไม่อาจให้ถาวซินหลันและพี่สะใภ้ผิดใจกันหรอกกระมัง
ถาวจวินหลันพยักหน้า “ได้ ข้าจะไปพูดเอง” ถาวซินหลันไม่อาจพูดด้วยตนเองได้ จะต้องเป็นนางไปพูด
เพียงไม่นานทุกคนก็นั่งประจำที่ ถาวจวินหลันให้คนรินชาและยกของว่างมา แล้วถึงได้หัวเราะพูดว่า “พูดไปแล้วข้าก็ไม่ได้พบพวกท่านนานทีเดียว วันนี้จะต้องสนุกให้เต็มที่”
เพ่ยหยางโหวฮูหยินหัวเราะและพูดว่า “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น คราวที่แล้วเข้าวังอย่างเร่งรีบ แม้แต่พูดคุยยังไม่มีเวลา วันนี้จะต้องดื่มให้เต็มคราบ วันนี้เฉินฮูหยินจะปฏิเสธไม่ได้แล้ว”
เฉินฮูหยินหัวเราะร่วนพูดปฏิเสธ “ไม่ได้หรอก ข้ายังต้องดูแลลูกสะใภ้ให้ดีอีก ไฉนเลยจะกล้าดื่มเหล้า? รอเด็กครบเดือนเมื่อไร ข้าจะดื่มเป็นเพื่อนทุกท่านเต็มที่”
พูดขบขันกันครู่หนึ่ง องค์หญิงแปดก็เอ่ยปากเข้าประเด็นก่อน “เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาทต้องการคนช่วยหรือไม่เจ้าคะ? หากต้องการให้ข้าช่วยเหลือ ก็เพียงแค่บอกกันเท่านั้นเจ้าคะ”
ถาวจวินหลันรู้สึกเต็มตื้น รีบยิ้มพยักหน้า “เจ้าไม่พูดข้าก็ไม่เกรงใจอยู่แล้ว ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ค่อยดี แต่หากฮ่องเต้ยังไม่ยอมเคลื่อนไหวสักที เกรงว่าพวกเราคงต้องคิดหาวิธีเร่งแล้ว”
หากฮ่องเต้ไม่ยินยอมจริงๆ เช่นนั้นก็ได้แค่ใช้วิธีเดียวกับตอนแต่งตั้งองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ ใช้แรงกดดันจากภายนอกมาทำให้ฮ่องเต้ตัดสินใจโดยเร็ว
ถาวจวินหลันรู้ดีอยู่แก่ใจ เรื่องนี้ไม่อาจล่าช้าได้ มิเช่นนั้นเป็นอย่างนี้ต่อไป คนที่มีแรงก็มีเพียงแค่คนของฮองเฮาเท่านั้น
“ตอนนี้ด้านฮองเฮาเคลื่อนไหวบ่อยครั้ง” องค์หญิงแปดจิบชาเบาๆ พลางซับริมฝีปากแล้วพูดว่า “ได้ยินว่าพระชายาองค์รัชทายาทพบเจิ้นกั๋วกงฮูหยินอยู่หลายครั้งเจ้าค่ะ อีกอย่างฮองเฮามีแผนการไม่น้อย แม้แต่ทางจวงผินเองก็ไปชักจูงเช่นเดียวกันเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันตกใจเล็กน้อย “จวงผินอย่างนั้นหรือ?” ทำไมฮองเฮาถึงได้ไปชักจูงกู้ซีได้เล่า? เห็นชัดว่ากู้ซีเป็นคนของไทเฮา เป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลกู้ หากหลี่เย่เป็นองค์รัชทายาท กู้ซีก็ได้รับแต่ข้อดี ไม่มีทางเสียเปรียบแน่นอน
“เรื่องนี้เสด็จแม่บอกข้าเจ้าค่ะ รายละเอียดเป็นอย่างไรข้าเองก็ไม่ทราบ” องค์หญิงแปดพูดเสียงเบา น้ำเสียงมั่นใจเต็มเปี่ยม
ถาวจวินหลันนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ แม้ว่าจะไม่เข้าใจ แต่ก็ยังเอ่ยขอบคุณองค์หญิงแปด “ขอบคุณองค์หญิงแปดและอิงผินเหนียงเหนียงด้วย”
องค์หญิงแปดพยักหน้า จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าเรื่องแต่งตั้งเฟย…“
องค์หญิงแปดถามถึงเรื่องที่ถาวจวินหลันเคยรับปากไว้นานแล้ว ในตอนนั้นเพราะมีเรื่ององค์รัชทายาทเข้ามาขัด ไม่เพียงแค่อิงผิน กู้ซีก็พลอยไม่ได้รับผลไปด้วย ดังนั้นองค์หญิงแปดถึงได้ยกเรื่องเก่ามาพูดใหม่ แน่นอนว่าไม่อาจโทษที่องค์หญิงแปดรีบร้อนได้ เพราะสุขภาพของฮ่องเต้ไม่เหมือนแต่ก่อน ใครก็ไม่รู้ว่าทรุดตัวเมื่อไร?
ถาวจวินหลันย่อมไม่ลืมเรื่องนี้ “ข้าจะพูดกับไทเฮา ขอให้ไทเฮาออกหน้าให้”
องค์หญิงแปดถึงได้วางใจ
มีองค์หญิงแปดเปิดทาง เพ่ยหยางโหวฮูหยินก็เอ่ยปากเช่นเดียวกัน “ฮองเฮาถือไพ่ต่อเรื่องในอดีตเอาไว้ อยากให้พวกเราสนับสนุนอู่อ๋อง ในตอนนี้พวกเราลำบากเล็กน้อย”
ในเมื่อเพ่ยหยางโหวฮูหยินพูดว่าลำบาก คิดว่าคงจะลำบากจริง มิเช่นนั้นแล้วครั้งนี้จวนเพ่ยหยางโหวรู้เรื่องแต่งตั้งหลี่เย่เป็นองค์รัชทายาทแล้ว ไฉนเลยจะไม่อยากรีบวิ่งมาเกาะขารอความสำเร็จ?
ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว “ในเมื่อท่านแม่บอกว่าลำบาก เหตุใดถึงไม่มาบอกข้า ข้าอาจจะช่วยท่านแม่ได้นะเจ้าคะ
ตอนแรกนางตั้งใจปล่อยไป แต่คิดถึงคำสั่งสอนของไทเฮา สุดท้ายแล้วก็ต้องกลืนคำพูดลงไป กลับกลายพูดประโยคนี้แทน เพ่ยหยางโหวฮูหยินช่วยเหลือนางมามาก แต่ตอนนี้ฐานะของนางเปลี่ยนแปลง คงไม่อาจตั้งท่าต่อจวนเพ่ยหยางโหวเหมือนกันได้ตลอดไป ควรต้องเปลี่ยนแปลงบ้าง
เพ่ยหยางโหวฮูหยินมองถาวจวินหลันด้วยสายตาประหลาดใจ พูดตามจริงแล้วก็คือตกใจเล็กน้อย ถาวจวินหลันกลายเป็นคนวางมาดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?
เฉินฮูหยินก็มองถาวจวินหลันทีหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มพลางหันไปมองถาวซินหลัน ใช้สายตาเป็นนัยว่าอย่ากินของว่างเยอะเกินไป มิเช่นนั้นจะกินข้าวไม่ลง แม้ของว่างจะดี แต่ไฉนเลยจะมีสารอาหารเท่ากับอาหาร?
เพ่ยหยางโหวฮูหยินได้สติกลับคืนมา ยิ้มพลางพยักหน้า “เช่นนี้ย่อมดีมาก ข้าต้องพูดขอบใจไว้ล่วงหน้าแล้ว”
ถาวจวินหลันยิ้ม “เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น เป็นเรื่องสมควรเจ้าค่ะ”
ในเมื่อจวนเพ่ยหยางโหวอยากยืนอยู่ข้างหลี่เย่ เช่นนั้นก็ต้องแสดงจุดยืนให้เห็น มิเช่นนั้นแล้วจะทำให้คนอื่นเชื่อได้อย่างไร
คำพูดที่องค์หญิงเก้าพูดออกมานั้นเป็นความจริงและง่ายที่สุด “สามีให้ข้ามาบอกท่านพี่ ไม่ว่าเมื่อไรก็ตามที่ต้องใช้เขา ขอเพียงแค่บอกเท่านั้น พวกเราตระกูลถาว ไม่ว่าอย่างไรก็จะลงเรือลำเดียวกับจวนตวนชินอ๋องเจ้าค่ะ”
วันนี้ถือว่าเป็นงานแสดงความในใจไปเสียแล้ว
แต่ไม่ว่าจะสำหรับถาวจวินหลันก็ดี หรือคนอื่นก็ดี กลับก่อให้เกิดความสงบในหัวใจ
หลังจากงานชุมนุม ถาวจวินหลันก็ได้รับเทียบเชิญจำนวนไม่น้อย ล้วนเชิญนางไปร่วมงานเลี้ยง แต่พอคิดว่าหลี่เย่อยู่ในช่วงถ่อมตน นางจึงไล่ปฏิเสธไป บอกว่าตนเองสุขภาพไม่ดี ต้องการพักผ่อนเงียบๆ
แต่ความจริงแล้วนางกับหลี่เย่เพียงใช้โอกาสอันหาได้ยากพักผ่อนอยู่ในจวน ใช้ตามองก็รู้ว่าหน้าตาสดใสขึ้นไม่น้อย
ตราบจนองค์ชายเจ็ดและเฉินฟู่กลับมาเมืองหลวง
องค์ชายเจ็ดบาดเจ็บหนัก เฉินฟู่ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ท่าทีเช่นนั้นมองเพียงแค่ทีเดียวก็รู้ว่าเจอความลำบากมาไม่น้อย สภาพน่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง
แต่องค์ชายเจ็ดกับเฉินฟู่กลับนำข่าวสำคัญมาด้วยเรื่องหนึ่ง