บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 612
หนังสือแต่งตั้งองค์รัชทายาทถูกส่งมาแล้ว คนทั้งจวนต่างก็พากันยินดีปรีดา
ที่บอกกันว่าพอคนหนึ่งได้ดี คนรอบตัวก็พลอยได้ดีไปด้วย ในตอนนี้หลี่เย่เป็นองค์ชายรัชทายาท เช่นนั้นคนที่ปรนนิบัติรับใช้หลี่เย่ก็ได้รับผลดีไปด้วยเช่นกัน
ถาวจวินหลันปรึกษากับหลี่เย่ สุดท้ายก็ตัดสินใจเข้าอาศัยที่วังตวนเปิ่น และในตอนนี้หนังสือราชโองการก็ส่งลงมาแล้ว พวกเขาจึงเตรียมจัดการเรื่องย้ายบ้านได้
วันเวลาที่โหราจารย์เลือกมานั้นคือหนึ่งเดือนหลังจากนี้ เพิ่งจะผ่านเทศกาลตวนอู่ไปได้ไม่นาน ก็เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิดอกไม้เบ่งบาน เริ่มจะเข้าสู่ฤดูร้อน อากาศดีเป็นยิ่ง
ที่สำคัญที่สุดก็คือมีเวลาหนึ่งเดือนในการประวิงเวลา ไม่ว่าจะย้ายไปอยู่ในวังหลวงก็ดี หรือว่าเตรียมพิธีแต่งตั้งก็ดี เวลาก็มีมากพอทั้งนั้น อย่างน้อยพอพูดเช่นนี้ถาวจวินหลันก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้น สามารถทำช้าๆ ตามสบายได้
แน่นอนว่าหนังสือราชโองการแต่งตั้งถาวจวินหลันเป็นพระชายาองค์รัชทายาทก็ถูกสั่งลงมาแล้วเช่นกัน ชุดพิธีนั้นแม้ว่าจะยังทำไม่เสร็จ แต่หนังสือแผ่นทองและตราประทับทองถูกส่งมาแล้ว ตั้งแต่ได้รับหนังสือแผ่นทองและตราประทับทองมา นางก็ถือว่าเป็นพระชายาองค์รัชทายาทอย่างถูกต้อง
พูดตามจริงแล้ว ตอนที่รับหนังสือแผ่นทองและตราประทับทองมานั้น ถาวจวินหลันนอกจากจะรู้สึกหนักมือแล้ว มากไปกว่านั้นคือความทอดถอนใจและทำตัวไม่ถูก ฝันมานานเกินไป พอถึงเวลาเป็นจริงกลับรู้สึกเหมือนฝัน
นางหันไปมองหลี่เย่ทันที จึงเห็นว่าหลี่เย่ก็กำลังมองนางอยู่เช่นกัน จากนั้นก็ส่งยิ้มให้นาง พยักหน้าเบาๆ ให้กำลังใจ
ถาวจวินหลันสงบใจขึ้นทันที กล่าวขอบพระทัยฮ่องเต้อย่างสุขุมเยือกเย็น และยื่นมือออกไปจับมือของหลี่เย่ที่ยื่นมาอย่างเป็นธรรมชาติ ยึดเป็นหลักเพื่อออกแรงลุกขึ้น ก้าวเท้าขึ้นไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว แทบจะเดินเคียงไหล่ไปกับหลี่เย่ ด้วยนางเป็นภรรยา จึงยังต้องเดินหลังจากหลี่เย่ครึ่งก้าวอยู่ดี แต่เมื่อเทียบกับตอนที่เป็นชายารอง เห็นชัดว่ารู้สึกดีกว่ามาก
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นางถือเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของหลี่เย่แล้ว พวกเขาเป็นสามีภรรยาที่แท้จริง
พอคิดถึงเรื่องนี้ถาวจวินหลันก็ยินดีจนพูดไม่ออก แม้แต่จะปล่อยมือจากหลี่เย่ก็ยังตัดใจไม่ลง กลับจับแน่นมากกว่าเดิม ในตอนนี้หากทำตามกฎเกณฑ์แล้ว นางควรตัดใจปล่อยมือของหลี่เย่ได้แล้ว
นางคาดหวังถึงวันนี้มาตลอด แม้ว่าสีหน้าท่าทางจะแสดงออกมาว่าไม่ค่อยใส่ใจนัก แต่นางจะไม่ใส่ใจได้อย่างไร? ตอนนี้ได้รับสิ่งที่ปรารถนา ความรู้สึกเช่นนั้นย่อมต้องปีติยินดีมากกว่าได้สมบัติล้ำค่ามาครอบครอง
หลี่เย่เองก็ไม่ได้มีทีท่าจะปล่อยนางไป
ขันทีเป่าฉวนนั้นมองเห็น แต่ก็ไม่ได้พูดจี้จุดอะไร แต่กลับยิ้มแย้มแสดงความยินดีกับหลี่เย่ “ขอแสดงความยินดีต่อองค์รัชทายาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ บ่าวขอทำความเคารพองค์รัชทายาท” พูดจบก็หันมาทำความเคารพหลี่เย่อย่างจริงจัง
หลี่เย่ยิ้มพลางยื่นมือข้างหนึ่งไปประคองขันทีเป่าฉวน “เหตุใดกงกงต้องมากมารยาทเช่นนี้ด้วย? ท่านยังต้องดูแลปรนนิบัติเสด็จพ่อ รีบกลับวังไปเถิด” พูดจบก็หยิบถุงผ้ามาจากถาดในมือของคนดูแลจวนส่งไปให้ ถือเป็นการตบรางวัล
ขันทีเป่าฉวนลองประมาณดู รู้สึกว่าเบาเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าดูถูกและไม่พอใจ ยิ้มพลางเก็บเข้าไปในอก แล้วถึงได้ขอตัวทูลลา ทางด้านนี้รถม้าเพิ่งออกไปจากประตูใหญ่จวนตวนชินอ๋อง ทางด้านขันทีเป่าฉวนก็รีบเอาถุงผ้าที่อยู่ในอกออกมาเปิดดู
ภายในถุงผ้านั้นมีก้อนทองอยู่สองสามชิ้น น้ำหนักพอๆ กัน นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีกระดาษใบหนึ่ง ขันทีเป่าฉวนรู้หนังสือ พอเปิดอ่าน ก็ซาบซึ้งใจทันที
ตัวหนังสือบนกระดาษมีไม่เยอะ เป็นเพียงที่อยู่ และชื่อคนอีกหนึ่งชื่อเท่านั้นเอง
แต่ขันทีเป่าฉวนกลับตระหนกมาก จับแผ่นกระดาษเอาไว้แน่น ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้ถอนหายใจ หัวเราะเบาๆ พูดว่า “ชีวิตนี้ข้าถือว่าสมบูรณ์แล้ว ลูกก็มีแล้ว รอเพียงกลับไปใช้ชีวิตหลังเกษียณเท่านั้นเอง!”
ใช่แล้ว นี่เป็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่ถาวจวินหลันตั้งใจจัดเตรียมเอาไว้ให้ขันทีเป่าฉวน บ้านหลังหนึ่ง ที่ดินเล็กน้อย และลูกชายหนึ่งคน
แม้นบอกว่าขันทีเป็นคนร่างกายไม่สมประกอบ แต่กลับไม่ได้ยับยั้งความคิดอยากมีภรรยาและลูกร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วย ปกติแล้วอยู่ในวังหลวงไฉนเลยจะมีโอกาสจัดการเรื่องเหล่านี้? ดังนั้นการกระทำนี้ของถาวจวินหลันจึงถือว่าเอาอกเอาใจตามที่เจ้าตัวชอบ
ภายในจวนตวนอ๋อง ทางด้านขันทีเป่าฉวนเพิ่งจากไป ทุกคนก็พากันมาคุกเข่าต่อหน้าหลี่เย่และถาวจวินหลัน “บ่าวขอแสดงความยินดีกับองค์รัชทายาทและพระชายาองค์รัชทายาทเพคะ!”
หลี่เย่หัวเราะเสียงดัง “ตกรางวัล! ให้เบี้ยหวัดหนึ่งเดือนกับทุกคน! รวมทั้งอาหารและเหล้า วันนี้อนุญาตให้พวกเจ้าดื่มกินเป็นการเฉลิมฉลอง!” เรื่องดีเช่นนี้ ย่อมไม่อาจถ่อมตัวไปได้ แม้ว่าจะมีความคิดนั้น คนอื่นก็อาจจะไม่ให้โอกาสนี้กับตน
ถาวจวินหลันที่ยืนอยู่ข้างๆ สัมผัสได้ถึงความยินดีตื่นเต้นและความภาคภูมิใจที่แฝงอยู่ในใจของหลี่เย่ นางลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วหัวเราะเช่นเดียวกัน ก่อนหน้านี้นางดีใจกับตนเองแล้ว ตอนนี้นางควรดีใจกับหลี่เย่ด้วย ไม่เพียงแค่เรื่องที่หลี่เย่ได้เป็นองค์รัชทายาท แต่เป็นเพราะว่าในที่สุดเขาก็ไม่ต้องอดกลั้นอีกต่อไป ทว่าเริ่มกางปีกโบยบินได้มากขึ้น แล้วค่อยๆ ก้าวขึ้นไปยังจุดสูงสุดของยอดเขา!
ความฝันของหลี่เย่กลายเป็นความจริง สิ่งที่เคยสูญเสีย สิ่งที่ถูกคนวางแผนแย่งชิงไป สุดท้ายก็สามารถกลับมาครองได้ใหม่
ใครจะนึกฝันว่าในอดีตองค์ชายที่แม้แต่พูดยังทำไม่ได้ พบเจอเรื่องก็เพียงถอยให้อย่างอ่อนโยน จะมีวันได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท
เรื่องที่แต่ก่อนฮองเฮากังวลมากที่สุดก็ยังเกิดขึ้นมิใช่หรือ? ฮองเฮาไม่ยอมให้หลี่เย่แย่งชิงกับองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ หรือกดหัวองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อลงไป ดังนั้นถึงได้ลงมือกับหลี่เย่ แต่พอเวลาหมุนผ่านสุดท้ายหลี่เย่กลับเป็นฝ่ายชนะ
แต่เฉลิมฉลองถือเป็นเรื่องเฉลิมฉลอง ถาวจวินหลันเห็นหลี่เย่เริ่มเลยขอบเขต จึงรีบพูดเสริมว่า “สลับเวรเถิด ไม่อาจละเลยหน้าที่ได้”
ย่อมไม่มีคนต่อต้าน ในตอนนั้นทุกคนก็พากันขอบพระทัยและจากไป ทุกคนต่างก็ปีติยินดียิ่งกว่าตอนปีใหม่เสียด้วยซ้ำ
บ่าวแยกย้ายกันออกไป เจียงอวี้เหลียนและคนอื่นๆ ถึงได้ก้าวเข้ามาแสดงความยินดีกับหลี่เย่และถาวจวินหลัน
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่เย่ ล้วนมีท่าทีโอนอ่อน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับถาวจวินหลัน หากมองอย่างละเอียดก็จะพบเห็นความอิจฉาและไม่ยินยอมอยู่เล็กน้อย
ถาวจวินหลันไม่ใส่ใจ แต่คิดว่าหากผู้หญิงเหล่านี้ไม่มีใจริษยาเลยแม้แต่น้อย ถึงจะน่าแปลก จิ้งหลิงที่ปกติแล้วเปิดเผยมากที่สุดในตอนนี้ก็ยังมีสีหน้าทอดถอนมิใช่หรือ?
แต่ถ้าจะบอกว่าให้ทำอะไรมากกว่านี้ พวกนางก็ไม่กล้า ก่อนหน้านี้ตอนที่ถาวจวินหลันเป็นเพียงชายารอง พวกนางยังพอกล้าอยู่บ้าง คิดว่าแม้หลี่เย่จะลำเอียงรัก แต่เพราะฐานะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่เมื่อคิดว่าต่อจากนี้จะต้องคอยระวังและทำความเคารพอย่างเชื่อฟังทุกวัน เจียงอวี้เหลียนและคนอื่นย่อมต้องตะขิดตะขวงใจ
ในวันนั้นเจ้านายภายในจวนต้องเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ แม้แต่ตระกูลอื่นที่มีความสัมพันธ์ดีต่อกันก็ส่งของมาแสดงความยินดี
แค่เพียงตรวจของเข้าคลังถาวจวินหลันก็ต้องทุ่มเทเรี่ยวแรงไปไม่น้อย
วันรุ่งขึ้นหลี่เย่ย่อมต้องเข้าวังหลวง กลับเป็นถาวจวินหลันที่ถูกรั้งให้อยู่ในจวนเพื่อสั่งคนเก็บของเตรียมย้ายบ้าน
ในขณะเดียวกันถาวจวินหลันก็สัมผัสได้ว่า มีบางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว อย่างเช่นแต่ก่อนไม่เคยมีคนมาทำความเคารพนาง แต่ตอนนี้ หลี่เย่เพิ่งจะเข้าวังหลวงไปไม่นานและนางยังทานอาหารเช้าอยู่ที่จวน ผู้คนที่มีกู้อวี้จือนำก็พากันเข้ามาทำความเคารพ
ที่จริงแล้วเจียงอวี้เหลียนไม่อยากมา แต่เมื่อมากันทั้งหมด นางก็ไม่อาจแสร้งว่าตนเองไม่รู้ได้ เพื่ออนาคตของตนสุดท้ายก็ยังมา
ในเมื่อคนมาแล้ว ถาวจวินหลันย่อมไม่อาจปฏิเสธ แม้จะบอกว่าไม่เคยชินแต่นางรู้ดีว่านี่เป็นโอกาสดีที่สุดในการสร้างอำนาจ แม้จะบอกว่าภายในช่วงเวลาสั้นๆ เพราะฐานะที่เปลี่ยนไปทำให้คนอื่นคิดระแวงนางขึ้นมา แต่ปกติแล้วความทรงจำที่เหลือไว้ก็ยังฝังรากลึก ยากที่จะรับประกันว่าจะไม่ทำให้คนเกิดความคิดไม่ดี
พอเห็นทุกคนทำความเคารพไม่ค่อยเป็นระเบียบ ถาวจวินหลันก็ขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่ไว้หน้าคนอื่นเช่นกัน พูดออกมาตรงๆ “พวกเจ้าลองมองกันเองสิ การทำความเคารพของพวกเจ้าเป็นอย่างไร”
ทุกคนมองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่าถาวจวินหลันจงใจสร้างอำนาจหรือหาเรื่องติจริงๆ
จิ้งหลิงมีปฏิกิริยาก่อน หัวเราะเย้ยหยันตนเอง “หลายปีมานี้ไม่ตั้งกฎเกณฑ์ จึงไม่ชินไปบ้างเพคะ ตอนนี้ใกล้เข้าวังหลวงแล้ว ควรต้องฝึกให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้คนอื่นหัวเราะเยาะพวกเราเพคะ”
จิ้งหลิงเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องการช่วยถาวจวินหลัน
เมื่อจิ้งหลิงพูดเช่นนี้ ทุกคนก็เข้าใจในฉับพลัน ต่างก็ไม่กล้านึกกล่าวโทษอีก และรีบยอมรับความผิดของตนอย่างรวดเร็ว
เจียงอวี้เหลียนอยากจะพูดก่นด่าสักสองสามคำ แต่พอมองถาวจวินหลันที่มีท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม สุดท้ายก็คิดได้ จึงรีบปิดปากแน่น อดตะขิดตะขวงใจไม่ได้ รู้สึกว่าถาวจวินหลันกำลังแสร้งวางอำนาจ จงใจแสดงฐานะออกมาเท่านั้นเอง
เจียงอวี้เหลียนมีกาลเทศะ ถาวจวินหลันก็ไม่ได้เอานางมาเป็นเสี้ยนหนาม
ถาวจวินหลันมองไปยังถาวจือที่เคารพสงบนิ่งที่สุด พูดช้าๆ ว่า “ถาวจือ เจ้าออกมาทำเป็นตัวอย่างให้ทุกคนเห็นเสียหน่อย ว่าควรทำความเคารพอย่างไร”
ถาวจืออึ้งไป จากนั้นก็ตั้งสติได้ แต่ยังคงรับคำอย่างนอบน้อม “เพคะ” พูดจบก็แสดงเป็นตัวอย่างให้ดู
ถาวจวินหลันมองถาวจืออยู่ตลอด เห็นว่าไม่สามารถหาจุดผิดจากตัวของถาวจือได้เลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีหมองใจ ถาวจืออดทนได้ขนาดนี้ ทำไมกัน? เพียงเพราะว่ารู้งานอย่างนั้นหรือ? หรือว่าเพราะเหตุผลอื่น?
หากเอาเจียงอวี้เหลียนมาเป็นตัวอย่าง เพราะรู้ว่านางไม่เอาความเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ ดังนั้นจึงมีท่าทีผ่อนคลายและกำเริบเสิบสานแฝงอยู่บ้าง ไม่รอบคอบหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา ท่าทีหวาดกลัวว่าจะถูกคนอื่นจับหางเปียเข้าให้
ถาวจือกลับตรงกันข้าม ท่าทีของถาวจือเหมือนกับท่าทีของนางที่มีต่อฮองเฮาในอดีต เคารพนบนอบ ในใจนั้นยังเอาทุกการกระทำ ทุกคำพูดของฮองเฮาเก็บมานั่งวิเคราะห์อยู่ค่อนวัน จากนั้นก็รับมือด้วยวิธีที่เหมาะสมที่สุด ต่อหน้านั้นดูเคารพ แต่ในความเป็นจริงก็แค่กลัวว่าจะถูกคนใช้เบี้ยต่อรองเท่านั้นเอง
แต่ถาวจือมีอะไรต้องหวาดกลัว? นางไม่ได้เป็นที่โปรดปราน และไม่ได้มีเด็กอยู่ข้างกาย ต่อให้ถาวจือจะไม่ชอบนางอย่างไร ก็ไม่ถึงขั้นต้องลงมือกับนางกระมัง? นางไม่มีเวลาว่างขนาดนั้น แล้วถาวจือยังต้องกลัวอะไร?
พอนึกถึงเรื่องถาวจือที่หงหลัวมารายงาน ถาวจวินหลันก็อดหัวเราะไม่ได้ พูดตามจริงแล้วคำพูดของหงหลัวนั้นน่าสนใจเป็นที่ยิ่ง ‘ถาวจือไม่น่าสงสัยแม้แต่น้อย และยังปฏิบัติตัวตามแบบแผนอยู่ทุกวัน’