บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 632
แม้จะบอกว่าขนลุกขนพองเพราะเสียงหัวเราะของถาวจวินหลัน แต่ก็ยังมีคนพยักหน้าพูดว่า “ต้องล้อเล่นสิเพคะ”
ถาวจวินหลันแค่นหัวเราะ “ล้อเล่นอย่างนั้นหรือ?! พูดง่ายเสียเหลือเกิน แท้จริงแล้วพวกเจ้าตาไม่ดี หูไม่ดี หรือว่าข้าตาบอด หูหนวกกันแน่? จะใช่เรื่องล้อเล่นหรือไม่ข้านั้นย่อมแยกออก! เรื่องอื่นก็ช่างเถิด ท่าทีของพระชายาอู่อ๋องในตอนนี้ไม่เหมาะสมยิ่งนัก หากปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้ในอนาคตมีผลงานติดตัวเสียหน่อยก็ทำตัวกำเริบเสิบสานไม่เคารพใครได้ตามใจชอบอย่างนั้นหรือ? พระชายาอู่อ๋องต้องรู้จักสำนึกให้ดี!”
นี่เพราะว่าคนที่เอ่ยปากพูดไม่ได้มีคนแก่กว่าหรือว่ามีฐานะสูงส่ง ถาวจวินหลันถึงได้หัวแข็งใส่ได้ มิเช่นนั้นแล้วนางยังต้องไว้หน้าอยู่บ้าง
นางคงไม่อาจทำให้ตนเองกลายเป็นคนโดดเดี่ยวเดียวดาย ให้คนอื่นประณามได้
วันนี้นางแข็งกร้าวเช่นนี้ ไม่ได้ทำเพื่อระบายความโกรธของตน แต่ใจไม่คิดติดเอาความนั้นก็เป็นอีกเรื่อง ต่อหน้าจะเอาความหรือไม่ก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากวันนี้นางไม่เอาความ เช่นนั้นวันพรุ่งนี้คนอื่นก็อาจจะมาข่มนางเลียนแบบพระชายาอู่อ๋อง ต่อให้ทำเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก นางก็ไม่อาจปล่อยพระชายาอู่อ๋องไปได้ง่ายๆ
แต่ยังดีที่พระชายาอู่อ๋องให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ยื่นมือออกมาให้นางตีเอง มิเช่นนั้นจะจบดีเช่นนี้ได้อย่างไร?
พอกวาดตามองรอบกาย ถาวจวินหลันก็ลอบพยักหน้าด้วยความพอใจ พอทำเช่นนี้แล้วคนจำนวนมากก็ยำเกรงนางมากขึ้นอย่างพิลึก ต่อให้ไม่ใช่ความยำเกรง แต่ก็เป็นความหวาดระแวงลึกๆ ไม่ว่าอย่างไรก็มีจุดประสงค์เดียวกัน นั่นคือไม่มาหาเรื่องนางง่ายๆ เท่านั้นก็พอแล้ว
แน่นอนว่าถาวจวินหลันไม่ได้ลืมจุดประสงค์ที่มาวันนี้ นางยิ้มพลางเบนหน้าไปมององค์หญิงเก้าและพูดว่า “พวกเรารีบไปอวยพรไทเฮาเถิด แม้ว่าจะทำได้แค่ก้มหัวอยู่ด้านนอก อย่างน้อยก็ยังเป็นน้ำใจของเรา”
องค์หญิงเก้ารีบพยักหน้า “พระชายาองค์รัชทายาทพูดถูกเพคะ ไม่ว่าอย่างไรก็ถือเป็นน้ำใจของพวกเรา แม้ไทเฮาจะไม่ยอมออกมารับด้วยตนเอง แต่ในใจจะต้องรู้สึกยินดีเป็นแน่เพคะ”
แต่องค์หญิงเก้าคุกเข่าลำบาก จึงต้องให้คนอื่นประคองลงไปช้าๆ หลังจากทำความเคารพ และพูดอวยพรแล้ว ก็ต้องลำบากให้ให้คนประคองขึ้นมา
ถาวจวินหลันรอจนองค์หญิงเก้าคำนับเสร็จ ตนเองถึงได้คิดจะทำความเคารพ แต่คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้ทำ ประตูวังหย่งโซ่วก็ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังมา ฉับพลันนั้น ทุกคนก็ต้องตะลึงไป
ไม่ใช่แค่ถาวจวินหลัน แทบทุกคนล้วนตกตะลึง มองช่องว่างแคบๆ ของประตูวังอย่างไม่เชื่อสายตา ทุกอย่างกลับคืนสู่ความเงียบสงบ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
จางหมัวหมัวเดินออกมาช้าๆ ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย ยิ้มและพูดว่า “บ่าวทำความเคารพเจ้านายทุกพระองค์เพคะ ไทเฮามีคำสั่งให้พระชายาองค์รัชทายาทเข้าไปสนทนาเพคะ”
สิ้นเสียง สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปทันที เมื่อครู่นี้ทุกคนคำนับและเอ่ยคำอวยพร แต่ไทเฮากลับไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร พอมาถึงคราวถาวจวินหลัน กลับเอ่ยปากเชิญถาวจวินหลันเข้าไป
อีกทั้งพูดจากอีกมุมหนึ่ง ตอนที่ถาวจวินหลันกำลังจะก้มคำนับ จางหมัวหมัวก็ออกมาพอดี นี่หมายถึงอะไร? ไทเฮาคอยฟังความเคลื่อนไหวด้านนอกอยู่ตลอดใช่หรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนี้จริงเรื่องเมื่อครู่นี้ไทเฮาก็ทราบใช่หรือไม่? อีกทั้งไม่เพียงรู้เรื่ือง แล้วยังสนับสนุนถาวจวินหลัน มิเช่นนั้นคงไม่เชิญถาวจวินหลันเข้าไปสนทนา
พระชายาอู่อ๋องเห็นชัดเจน และคิดถึงเรื่องเหล่านี้ แต่เดิมหน้าที่แดงก่ำเล็กน้อยเพราะความโกรธก็เริ่มซีดเผือดอีกครั้ง บางทีนางคงใจร้อนมากเกินไป
ทางด้านพระชายาจวงอ๋องกลับแอบผ่อนลมหายใจ ยังดีที่เมื่อครู่นี้นางไม่ได้ทำเรื่องผิดพลาด และไม่ได้ทำตามอารมณ์ มิเช่นนั้นตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเสียใจเพียงใด
ถาวจวินหลันกลับมองจางหมัวหมัวอย่างแปลกใจ จากนั้นก็เห็นจางหมัวหมัวพยักหน้าน้อยๆ จนแทบสังเกตไม่เห็น ในใจพลันอบอุ่น ก้าวเข้าไปในวังหย่งโซ่วอย่างไม่ลังเล
ไทเฮากำลังถือหางนางอยู่จริงๆ
พอเข้าไปในวังหย่งโซ่ว ถาวจวินหลันกลับถูกภาพข้างหน้าสะกดจนนิ่งไป ตั่งไผ่เขียวตั้งอยู่บริเวณระเบียงใต้ร่มไม้ ไทเฮาเอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนนั้น ยังมีนางกำนัลคอยพัด คอยนวดขา และถวายน้ำชาอยู่ข้างๆ
อีกทั้งที่น่าแปลกใจก็คือไทเฮาดูดีขึ้นไม่น้อย ไทเฮาพระชนมายุมากขนาดนี้แล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลต้องประทินโฉมอีก ดังนั้นท่าทางดีหรือไม่มองเพียงปราดเดียวก็รู้ เทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ก็ดูดีขึ้นไม่น้อยจริงๆ
เห็นได้ว่าไทเฮาปล่อยวางทุกอย่างแล้ว สำหรับฮ่องเต้ แม้อาจจะยังผิดหวังอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เก็บมาคิดหมกหมุ่นแล้ว
เป็นเช่นนี้ย่อมดี ยิ่งไทเฮาอายุยืนมากเท่าไร ก็ยิ่งมีผลดีต่อหลี่เย่มากเท่านั้น ต่อให้โยนเรื่องนี้ออกไป ไทเฮาอายุยืนก็ยังเป็นเรื่องน่ายินดี
เห็นไทเฮายิ้มมองมาที่ตนเอง ถาวจวินหลันก็ไม่ได้มีท่าทีเขินอาย ยิ้มพลางก้าวเข้าไปคำนับไทเฮา และเอ่ยคำอวยพร “ขอให้ไทเฮาอายุยืนเหมือนต้นซุงแก่ที่หนานซาน เป็นเช่นนี้ทุกปี อยู่คู่รัชสมัยอีกยาวนาน และแข็งแรงขึ้นนานวันเพคะ!”
ไทเฮาหัวเราะลั่น “นั่นเป็นปีศาจชราแล้วกระมัง” หยุดไปครู่หนึ่งก็ถามอีกว่า “ทำไมไม่พาเด็กๆ มาด้วยเล่า?”
“แต่เดิมคิดว่าช่วงบ่ายจะให้พวกเขามากันเงียบๆ ให้ได้พบหน้าพระองค์บ้าง แต่คิดไม่ถึงว่าพระองค์จะให้หม่อมฉันเข้าเฝ้า หากรู้จะเป็นเช่นนี้ก็จะพามาด้วยแล้วเพคะ หรือว่าตอนนี้ให้คนไปพามาดีหรือไม่?” ถาวจวินหลันยิ้มอธิบาย และลองเสนอ
ไทเฮาส่ายหน้า “พามาตอนบ่ายเถิด กลางวันนี้เจ้าออกไปรับแขกด้านนอกแทนข้า ข้าสั่งให้เตรียมโต๊ะไว้แล้ว ถึงเวลาก็จัดไว้ที่วังตวนเปิ่นเถิด พวกเขามาแสดงความยินดีกับข้า ข้าย่อมไม่มีเหตุผลไม่เลี้ยงแม้แต่อาหารกระมัง”
ถาวจวินหลันแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้า “ตามที่ไทเฮาตรัสเพคะ” นางเคยคิดเรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่สุดท้ายก็คิดว่าทำข้ามหน้าข้ามตาคงไม่ถูกมารยาทสักเท่าไร จึงได้ปล่อยไป อย่างไรในวังหลวงยังไม่ถึงคราวที่นางจะตัดสินใจ ฮองเฮาไม่ได้แสดงท่าทีอะไร นางทำเช่นนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็ลำบาก แต่ตอนนี้ไทเฮาสั่งเช่นนี้นั่นย่อมไม่เหมือนกัน
“คำพูดที่เจ้าสั่งสอนพระชายาอู่อ๋องเมื่อครู่นี้ดีมาก” ไทเฮาเอ่ยชม “ไม่เสียแรงที่ข้าแนะนำเจ้ามากมายขนาดนั้น หลังจากนี้ไปเกิดเรื่องเช่นนี้อีกก็ควรทำเช่นนี้ เช่นนี้เจ้าถึงสร้างฐานอำนาจได้ ผ่านไปนานเข้าคนอื่นย่อมต้องสงบเสงี่ยมเป็นแน่ คำโบราณกล่าวไว้ขุนนางใหม่เข้ารับหน้าที่มักขันแข็ง”
ได้ยินคำสอนของไทเฮา ถาวจวินหลันย่อมเข้าใจเหตุผลทั้งมวล จึงยิ้มเอ่ยขอบพระทัยไทเฮา “เพคะ ขอบพระทัยคำเตือนของพระองค์ ดีที่วันนี้พระองค์ยอมถือหางเข้าข้างหม่อมฉัน มิเช่นนั้นไฉนเลยจะมีผลดีเช่นนี้เพคะ”
“ข้าไม่ถือหางเจ้า แล้วจะไปถือหางใคร? ในเมื่อเจ้าเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ข้าย่อมต้องสนับสนุนเจ้า” ไทเฮาพูดยิ้มๆ แฝงนัยเอาไว้ “นอกจากข้าแล้ว ภายในวังหลวงไม่มีที่อื่นให้เจ้ายืมแรงได้อีก หากข้าไม่ช่วยเจ้า แล้วเจ้าจะลำบากเพียงใด?”
พอได้ยินไทเฮาเอ่ยเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ครั่นหูครั่นตา อัดอั้นใจอย่างพูดไม่ถูก
ไทเฮาพูดเรื่องจริง ฮองเฮาอยากจะกดหัวนางให้ตาย ย่อมไม่อาจช่วยนางได้ นอกจากไทเฮาแล้ว นางไม่อาจยืมแรงจากที่อื่นได้แม้แต่น้อย
ชื่อตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทนี้ดูเหมือนจะยิ่งใหญ่ แต่กลับยากเย็นมากกว่าเป็นพระชายา หรือพระชายาชินอ๋อง
แล้วไทเฮาก็ถามถึงเรื่ององค์ชายเก้าเล็กน้อย ถาวจวินหลันตอบทีละข้อโดยละเอียด
“เจ้ายังมีใจเมตตา นั่นถือเป็นเรื่องดี” ไทเฮาเอ่ยชม “อี๋เฟยจะไม่ดีอย่างไร แต่องค์ชายเก้าก็ไม่ได้รู้เรื่องด้วย ฮ่องเต้เลอะเลือนไป แต่ข้าไม่ได้เลอะเลือน เจ้าเลี้ยงองค์ชายเก้าไปก่อน พอผ่านช่วงนี้ไปคิดว่าคงต้องมีคนแย่งกันเอาไปเลี้ยงเป็นแน่ ถึงตอนนั้นเจ้าก็ฉวยโอกาสหาผลประโยชน์ถึงจะถูก”
ถาวจวินหลันได้ยินไทเฮาพูดตรงๆ เช่นนี้ ก็อดยินดีไม่ได้ แต่ก็ยังส่ายหน้า “ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันเพคะ ที่จริงแล้วขอแค่องค์ชายเก้าปลอดภัยดีก็พอแล้ว แต่หม่อมฉันคิดว่าไม่ต้องจัดหาแม่เลี้ยงให้องค์ชายเก้าอีก อย่างไรแม่เลี้ยงก็ไม่อาจสู้แม่แท้ๆ ได้ อีกทั้งแต่เดิมก็เอาไปเลี้ยงเพราะผลประโยชน์ ยิ่งไม่น่าเชื่อถือยิ่งนักเพคะ”
“แต่เรื่องนี้ข้ากับเจ้าตัดสินใจเองไม่ได้” ไทเฮายิ้มหยัน “เจ้าก็เห็นความอัปลักษณ์ของบรรดาสตรีในวังหลัง ลูกชายในวังหลวงหมายถึงอะไร? หมายถึงที่พึ่งและความหวัง ความโปรดปรานจากฮ่องเต้ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับลูกชาย พระสนมที่ไม่มีลูกในวังหลวงมีมากมาย ต่อให้พวกนางทำเพื่ออนาคต ก็จะต้องพยายามไปแย่งชิงเด็กมาให้ได้ ไม่ว่าจะคลอดเองหรือเอามาจดใต้ชื่อตนเองก็ได้ทั้งนั้น”
หยุดไปครู่หนึ่งไทเฮาก็ถอนหายใจ “เสียดายที่ข้าแก่แล้ว มิเช่นนั้นเอามาเลี้ยงกับข้าก็เหมาะสม เจ้าเก้ายังเล็ก ต่อจากนี้ไปพวกเจ้าเป็นพี่ชาย เป็นพี่สะใภ้ก็ควรดูแลเขาให้มากถึงจะถูก”
ถาวจวินหลันรับคำอย่างจริงจัง ในใจกลับลอบถอนหายใจ หากไทเฮารู้ว่าองค์ชายเก้าไม่ใช่สายเลือดของราชวงศ์ ไม่รู้ว่าจะผิดหวังหรือโมโหกันแน่? ยังดีที่เรื่องนี้ไม่ได้หลุดออกมา มิเช่นนั้นเกรงว่าไทเฮาคงรับไม่ไหวเป็นแน่
หลังออกมาจากวังหย่งโซ่ว ถาวจวินหลันก็ยิ้มพลางเชื้อเชิญทุกคนไปร่วมงานเลี้ยงที่วังตวนเปิ่น แน่นอนว่าคนที่ไปกับถาวจวินหลันก็ยังมีจางหมัวหมัว ถือเป็นหูเป็นตาให้ไทเฮา
มีจางหมัวหมัวอยู่ด้วย ทุกคนย่อมไม่กล้าสร้างเรื่องอะไรแม้แต่น้อย มิเช่นนั้นแล้วไม่ใช่ว่าทำให้ไทเฮาโมโหหรืออย่างไร?
ดังนั้นไม่ว่าในใจทุกคนจะคิดอย่าไร จะหวาดระแวงหรือประจบประแจงก็ดี หรือจะเป็นอย่างอื่นก็ดี การแสดงออกก็ยังดูสมัครสมานสามัคคี ไว้หน้าถาวจวินหลันเต็มที่ ทำให้งานเลี้ยงจบลงโดยสมบูรณ์
องค์หญิงเก้าเพราะตั้งครรภ์ไม่ค่อยสะดวก และถาวจวินหลันก็กลัวว่าจะดูแลได้ไม่ทั่วถึงเพราะคนเยอะ ดังนั้นจึงให้องค์หญิงเก้าออกจากวังหลวงไปก่อน ของภายในวังหลวงถาวจวินหลันก็ไม่ค่อยกล้าให้องค์หญิงเก้ากิน หากมีคนฉวยโอกาสใส่อะไรลงไป ก็คงป้องกันเอาไว้ไม่ได้
องค์หญิงเก้าย่อมต้องรู้ฤทธิ์เดชของสิ่งนี้ เข้าวังมาค่อนวันแม้แต่น้ำอึกเดียวก็ยังไม่กล้าดื่ม มองดูแล้วน่าสงสารยิ่งนัก
พอทุกคนแยกย้ายกันแล้ว ถาวจวินหลันก็ให้คนจัดการกับสภาพที่เหลือ แล้วให้หงหลัวพาเด็กๆ ไปหาไทเฮาด้วยตนเอง แต่ไม่ได้ให้พาองค์ชายเก้าไปด้วย อย่างแรกเพราะองค์ชายเก้ายังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ กลัวว่าจะขัดกัน อย่างที่สองถาวจวินหลันคิดเองว่าไม่อยากให้ไทเฮารู้สึกลึกซึ้งกับองค์ชายเก้ามากนัก อย่างไรฐานะขององค์ชายเก้าก็อย่างที่เห็น แค่ไม่บอกไทเฮาก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว หากปล่อยให้ไทเฮาเอ็นดูองค์ชายเก้าอีก นางจะทำใจได้อย่างไร?
เมื่อใกล้ถึงยามค่ำ หลี่เย่ก็รีบรุดกลับมาวังตวนเปิ่น ยังไม่ทันได้พูดเรื่องอื่น เปิดมาก็เอ่ยปากถามทันที “วันนี้ให้คนส่งองค์หญิงเก้าออกจากวัง เจ้าได้รับรายงานอะไรหรือไม่?”