บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 639
ถาวจวินหลันได้ยินอย่างชัดเจน จึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่า “เลือกวิธีที่ดีกับผู้ใหญ่”
หมอตำแยมองถาวจวินหลันอย่างกล้าๆ กลัวๆ ในใจนั้นพิจารณาว่าถาวจวินหลันสามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้หรือไม่ ในขณะเดียวกันก็อธิบายเสียงเบาว่า “ที่ดีกับผู้ใหญ่ก็มีเพียงดึงเด็กออกมาเท่านั้นเจ้าค่ะ เช่นนี้ผู้ใหญ่ก็จะทรมานน้อยหน่อย และรวดเร็ว แต่เด็กนั้นกระดูกอ่อน พอดึงออกมาเกรงว่าจะได้รับบาดเจ็บเจ้าค่ะ”
“ดึง!” ถาวจวินหลันมองถาวซินหลันที่แทบจะสิ้นสติสัมปชัญญะแล้ว พูดตะคอกออกมาอย่างเด็ดขาด
หมอตำแยตกใจกับความเด็ดขาดของถาวจวินหลัน ในขณะเดียวกันก็เชื่อฟังคำสั่งของถาวจวินหลัน ด้วยเพราะรอบตัวถาวจวินหลันแผ่กลิ่นอายอำนาจมากล้น ทำให้พวกนางไม่อาจต่อต้านได้
อีกทั้งเรื่องนี้จะต้องมีคนรับผิดชอบ อาศัยแค่เพียงบรรดาหมอตำแยอย่างพวกนางไม่กี่คนย่อมไม่อาจตัดสินใจเรื่องนี้ได้ อีกทั้งสถานการณ์เคร่งเครียดเช่นนี้จะออกไปขอความเห็นก็เป็นการเสียเวลา ดังนั้นไม่สู้ฟังถาวจวินหลัน อย่างน้อยก็มีคนแบกความรับผิดชอบนี้เอาไว้
ถาวจวินหลันแม้ว่าจะเดาความคิดของบรรดาหมอตำแยได้ แต่นางก็ไม่คิดเปิดเผย ตอนนี้นางไม่มีเวลาคิดมาก กลัวว่าถาวซินหลันจะสังเกตเห็นความผิดปกติ จึงก้าวขึ้นไปจับมือของถาวซินหลันอีกครั้ง พร้อมกับจ้องมองบรรดามองตำแยอย่างเฉียบคม เร่งให้พวกนางเร่งมือ
นางก็คาดการณ์ผลลัพธ์ของเรื่องนี้เอาไว้แล้ว หากเด็กไม่เป็นอะไร เช่นนั้นเรื่องนี้ย่อมไม่มีคนพูดอีก แต่หากเด็กเป็นอะไรไป ตระกูลเฉินจะโทษนางหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ถาวซินหลันจะต้องโทษนางแน่นอน อย่างไรนั่นก็เป็นเลือดเนื้อของถาวซินหลัน เป็นลูกคนแรกของนาง คนเป็นแม่ย่อมอยากเห็นลูกปลอดภัย
หากถาวซินหลันเลือกเอง นางคิดว่าถาวซินหลันคงเลือกลูก ดังนั้นนางจึงไม่อาจปล่อยให้ถาวซินหลันตัดสินใจเองได้
นางยอมให้ถาวซินหลันกล่าวโทษนาง แต่นางไม่ยอมให้ถาวซินหลันเอาชีวิตของตนเองมาเสี่ยง อย่างไรก็มีเด็กใหม่ได้ แต่นางมีน้องสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น!
จริงๆ แล้วถาวจวินหลันเคร่งเครียดและสับสนมากกว่าใครๆ นางเขม็งมองบรรดาหมอตำแย ไม่กล้าพลาดสีหน้าของพวกนางแม้แต่นิดเดียว แต่ตอนนี้ยากที่จะตัดสินอาการของถาวซินหลันจากสีหน้าของพวกนาง
ยังดีว่าสิ่งที่ทำให้คนสบายใจก็คือหลังจากนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรอีก เด็กก็คลอดออกมาอย่างปลอดภัย ตอนที่ได้ยินเสียงร้องไห้อย่างอ่อนแรง ถาวจวินหลันก็ดีใจจนแทบน้ำตาไหลออกมา
ส่วนถาวซินหลันสลบไปแล้ว นางทรมานมานานขนาดนั้น คงไม่มีแรงหลงเหลืออยู่อีกแล้ว แม้แต่ลูกก็ยังไม่ทันได้มอง
ถาวจวินหลันเห็นถาวซินหลันเป็นเช่นนี้ ถึงได้กล้าถามหมอตำแยเสียงเบา “เป็นอย่างไรบ้าง?”
หมอตำแยปาดเหงื่อ พูดยิ้มๆ ว่า “ตอนนี้เหลือเพียงดึงรกออกมาก็หมดแล้วเจ้าค่ะ แล้วก็จัดการขับน้ำคาวปลาออก ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หญิงคลอด เปลี่ยนผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มก็เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“เด็กเล่า?” ถาวจวินหลันคลายกังวลไปไม่น้อย จากนั้นถึงมีเรี่ยวแรงมาถามอาการของเด็ก
พูดถึงเด็ก รอยยิ้มบนใบหน้าหมอตำแยก็ค่อยๆ หายไป “เด็กตัวเล็กเกินไป กระดูกก็ไม่ค่อยแข็งแรงนัก เมื่อครู่นี้ถูกดึงออกมาก็ไม่รู้ว่ากระเทือนไปถึงกระดูกหรือไม่ ยังต้องเชิญหมอมาดูอาการอีกเจ้าค่ะ”
ตอนนี้เด็กถูกนำไปตัดรก เช็ดตัว เช็ดคราบเลือด ยังไม่ถูกอุ้มออกมา ถาวจวินหลันเบนหน้าไปมอง เห็นว่าเด็กนั้นตัวเล็กกว่าเด็กธรรมดาทั่วไปอยู่มาก ก็หนักอึ้งในใจ…ร่างกายผอมอ่อนแอเช่นนี้ ดูแล้วไม่น่าจะเลี้ยงให้รอดได้ง่ายๆ
แต่คลอดออกมาทั้งที่ยังหายใจอยู่เช่นนี้ ก็อาจจะเลี้ยงให้โตได้ ถาวจวินหลันคิดอยู่ในใจเช่นนี้ จากนั้นก็ปล่อยมือของถาวซินหลันออก พูดเสียงเบาว่า “หมอหลวงยังเฝ้าอยู่ข้างนอกหรือไม่? อุ้มไปให้หมอหลวงดู จริงสิ เป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง?”
“เป็นเด็กผู้หญิงเจ้าค่ะ” หมอตำแยตอบเสียงเบา พลางใช้ผ้าอ้อมห่อเด็กอย่างเบามือเบาเท้า เด็กตัวเล็กเท่านี้ไม่กล้าแม้แต่ออกแรงเยอะ เกรงว่าจะเผลอทำให้ตรงไหนบาดเจ็บไป
ถาวจวินหลันได้ยินว่าเป็นเด็กสาว ก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา ไม่ว่าอย่างไรหากเป็นลูกชายก็ดีที่สุด พอเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าครั้งต่อไปถาวซินหลันจะคลอดเมื่อไรก็ไม่ต้องร้อนใจอีกแล้ว ต้องรักษาบำรุงร่างกายให้ดีก่อน แต่หากเป็นลูกสาวแม้จะบอกว่าตระกูลเฉินไม่เร่งรีบหรือทอดทิ้ง แต่ถาวซินหลันหรือนางก็ยังร้อนรนอยู่ดี
แต่จากนั้นความคิดของนางก็เปลี่ยนไป เพียงคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยก็ดีมากแล้ว ไฉนเลยยังจะร้องขอมากมายขนาดนั้นอีก?
ถาวจวินหลันลุกขึ้นเดินตามหมอตำแยออกมาจากห้องคลอด
เฉินฟู่แทบจะกระโจนเข้ามาในทันใด “เป็นอย่างไรบ้าง?!”
ถาวจวินหลันตอบเสียงเบา “คิดว่าไม่เป็นไรแล้ว อีกครู่หนึ่งค่อยให้หมอหลวงไปตรวจชีพจรเถิด แต่เด็กค่อนข้างบอบบาง แล้วยังเป็นเด็กหญิง ให้คนคอยดูแลให้ดี”
เฉินฮูหยินเหมือนจะเสียดายอยู่เล็กน้อย แต่ก็กลับมายิ้มอย่างรวดเร็ว พูดว่า “เป็นลูกสาวก็ดี ออกดอกก่อนแล้วค่อยเกิดผล เด็กสาวเป็นแก้วตาดวงใจของแม่ พูดไปแล้ว ตระกูลเฉินของพวกเราก็ยังไม่มีเด็กสาวมาก่อน นี่ถือเป็นเด็กล้ำค่า เป็นหลานคนโตของภรรยาเอกตระกูลเฉิน”
ถาวจวินหลันพยักหน้า พูดกับเฉินฮูหยินว่า “ให้ชื่อเล่นนางว่าฉังเซิงเถิด”
ฉังเซิง ฉังเซิง หวังว่าชะตาชีวิตของเด็กสาวคนนี้จะดีงาม และอยู่รอดปลอดภัยจนโตเป็นสาวได้
เฉินฮูหยินพูดทวนอยู่รอบหนึ่ง ก็พยักหน้า “ให้ชื่อฉังเซิงก็แล้วกัน ขอบพระทัยพระชายาองค์รัชทายาทเพคะ”
ถาวจวินหลันหัวเราะ “แค่ชื่อเล่นเท่านั้นเอง เรียกไปอย่างนั้น แม้จะไม่น่าฟัง แต่ก็แฝงความหมายดี รอจนโตขึ้นมาหน่อยแล้วค่อยตั้งชื่อจริงเพราะๆ แล้วกัน”
เฉินฮูหยินพยักหน้า ที่จริงแล้วหากเป็นแค่ป้า นางย่อมไม่อาจตั้งชื่อหลานสาวคนโตแทนตระกูลเฉินได้ แต่เมื่อเป็นพระชายาองค์รัชทายาท นี่ถือเป็นเกียรติยศและของประทานอย่างหนึ่ง
ถาวจวินหลันเห็นเฉินฮูหยินมองเด็กนิ่งไม่พูดจาครู่ใหญ่ ก็ไม่คิดจะทนรอต่อไป นี่ก็ดึกมากแล้ว นางยังต้องกลับวังหลวงอีก จึงเอ่ยเตือนเฉินฮูหยินเสียงเบา “ไม่ทราบว่าเฉินฮูหยินคิดดีหรือยังว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?”
เฉินฮูหยินนิ่งไป หัวเราะขมขื่น ตอนแรกนางยังคิดจะเลื่อนเรื่องนี้ออกไปก่อน อย่างไรตอนนี้นางก็ไม่อาจตัดสินใจได้จริงๆ แต่ในเมื่อถาวจวินหลันเอ่ยปากพูดแล้ว นางย่อมไม่อาจนิ่งเงียบได้อีกต่อไป เพียงแค่พูดอย่างไม่สู้ดี “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก หม่อมฉันยังไม่รู้ว่าจะต้องทำเช่นไรเพคะ เอาอย่างนี้ พระชายาองค์รัชทายาทให้เวลาหม่อมฉันสามวัน พวกเราจะปรึกษากันดูดีหรือไม่เพคะ?”
เฉินฮูหยินคิดว่าถาวจวินหลันน่าจะไว้หน้าตนเองบ้าง แต่ก็ยังรู้สึกกระวนกระวายใจ ไม่เพียงแค่กระวนกระวาย แล้วยังรู้สึกขลาดอาย นางน่าจะดูแลถาวซินหลันให้ดี แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น คิดถึงคำสัญญาที่ให้ไว้กับถาวจวินหลันตอนแรก นางก็ไม่ค่อยกล้าสู้หน้าถาวจวินหลันอีก
ถาวจวินหลันนิ่งเงียบมองเฉินฮูหยินอยู่ครู่ใหญ่ ตอนที่เฉินฮูหยินคิดว่าตนเองควรจะเก็บคืนคำพูดเมื่อครู่นี้กลับมาดีหรือไม่ นางก็เอ่ยปากพูดว่า “เวลาหนึ่งวัน ข้าให้เวลาเฉินฮูหยินหนึ่งวัน วันมะรืนข้าจะมารอดูผลลัพธ์”
เฉินฮูหยินสบายใจไปได้อีกช่วงหนึ่ง จึงรับปาก พลางพูดขอบคุณซ้ำๆ
ถาวจวินหลันก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงพูดว่า “ดึกมากแล้ว ข้าต้องกลับวังก่อน”
เฉินฮูหยินพูดรับว่า “ข้าให้คนออกไปส่งพระชายาองค์รัชทายาทเพคะ”
ถาวจวินหลันปฏิเสธ ตอนที่ออกจากวังมา นางย่อมเอารถและคนม้า อีกทั้งตอนนี้ตระกูลเฉินยุ่งเหยิงเช่นนี้ย่อมไม่อาจดึงกำลังคนออกมาได้ อีกทั้งนางเองก็อยากไปดูถาวจิ้งผิงด้วย
องค์หญิงเก้าหายตัวไป ถาวจิ้งผิงย่อมรู้สึกไม่ดีเป็นแน่ นางจึงคิดจะไปปลอบประโลมเสียหน่อย
พอถาวจวินหลันกลับวังมา ท้องฟ้าด้านนอกก็ใกล้จะสว่างแล้ว
กลับมายังวังตวนเปิ่น ถาวจวินหลันเพียงแค่กำชับให้คนไปบอกไทเฮา จากนั้นก็ทัดทานความง่วงไม่ไหว ล้มตัวลงบนเตียงหลับไปอย่างรวดเร็ว นี่เป็นเพราะนางไปบ้านตระกูลถาวแล้วไม่พบถาวจิ้งผิง หากยังเสียเวลาอยู่ที่บ้านตระกูลถาวอีกครู่หนึ่ง เกรงว่าตอนนี้คงยังไม่ได้กลับมา
แต่ตอนนี้แม้ว่าจะนอนแต่ก็นอนได้ไม่นานนัก เมื่อถึงเวลาทำความเคารพถาวจวินหลันก็ตื่นขึ้นมาเอง อยู่ภายในวังหลวงนั้นไม่เหมือนที่จวน กฎเกณฑ์ไม่สามารถเปลี่ยนได้ตามใจชอบ ต่อให้นางไม่ชอบอย่างไรก็จะต้องทำตามกฎอยู่ดี นอกจากนางจะเป็นฮองเฮาและแก้กฎของวังหลัง มิเช่นนั้นก็ยังทำได้แค่อดทนต่อไป
นางตื่นแล้วก็จริง แต่ก็ยังรู้สึกง่วงงุนเป็นอย่างมาก สตินั้นก็เลอะเลือนไม่รู้เรื่องรู้ราว รอยเขียวคล้ำใต้ดวงตาชัดเจนจนไม่ว่าจะใช้แป้งกลบอย่างไรก็กลบไม่มิด
ยังดีที่มีข้ออ้างว่าห่วงองค์หญิงเก้า มิเช่นนั้นแล้วยังไม่รู้ว่าจะต้องอธิบายถึงสาเหตุที่เมื่อคืนนี้ตนเองนอนไม่หลับอย่างไร เพราะในเมื่อแอบออกจากวังหลวงไป เรื่องนี้ย่อมให้คนอื่นรู้อีกไม่ได้
หลังทำความเคารพเสร็จแล้ว ถาวจวินหลันอยากนอนก็นอนไม่หลับ ร่างกายเหน็ดเหนื่อยเป็นยิ่ง แต่ก็ยังมีสติเต็มร้อย นางจึงตัดสินใจไม่นอนอีก เรียกขันทีเข้ามา ให้เขาไปดูสถานการณ์ของหลี่เย่
เมื่อคืนนี้หลี่เย่ก็คงจะหลับไม่สนิทเช่นเดียวกัน
และไม่รู้ว่าได้ร่องรอยองค์หญิงเก้าบ้างหรือยัง
ตอนนี้ถาวจวินหลันจำเรื่องที่ฮองเฮาพูดกับนางไม่ได้แล้ว เกิดเรื่องราวเยอะแยะ ไฉนเลยจะมีสมาธิและเรี่ยวแรงมากมายไปสนใจ
เมื่อคิดถึงถาวซินหลัน ถาวจวินหลันก็ส่งชุนฮุ่ยให้ไปดู เมื่อคืนนี้หงหลัวและปี้เจียวตามออกจากวังหลวงไปด้วย อดนอนมาคืนหนึ่งยังไม่ตื่นเลย
ถาวจวินหลันสั่งชุ่นฮุ่ย “เจ้าไปดูอาการของซินหลันแทนข้า ไปสืบด้วยว่าตระกูลเฉินมีความเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่ สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินเป็นอย่างไรบ้าง”
นางกระวีกระวาดร้อนใจอยากรู้ว่าตระกูลเฉินจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรกันแน่ หากตระกูลเฉินให้ผลลัพธ์ที่นางพอใจได้ก็แล้วไป แต่หากไม่พอใจ…นางเองก็ไม่ไว้หน้าตระกูลเฉินแน่นอน
การเสียเปรียบครั้งนี้นางไม่คิดจะกล้ำกลืนลงไปเช่นนี้เป็นแน่
เมื่อคืนนี้หมอหลวงพูดแล้วว่าครั้งนี้ทำให้ร่างกายของถาวซินหลันบอบช้ำ หากจะมีลูกอีก อย่างน้อยก็ต้องบำรุงกว่าสองปีค่อยมาคุยกันใหม่ อีกทั้งฉังเซิงจะรอดหรือไม่ก็ยังไม่รู้ หากเลี้ยงรอดจนโต เมื่อวานนี้ข้อศอกก็ถูกดึงจนสะบักหลุด หากเลี้ยงไม่ดี ข้อศอกก็จะหลุดได้ง่ายมาก ถึงเวลานั้นถือของหนักหน่อยก็ไม่ได้ด้วยซ้ำ
เด็กตัวเท่านั้นต้องมาทรมานเช่นนี้ แค่คิดก็น่าสลด แล้วยังมีถาวซินหลัน พอนางรู้เรื่องเหล่านี้แล้วไม่รู้ว่าจะโกรธแค้นเพียงใด ต่อให้ทำเพื่อระบายอารมณ์แทนถาวซินหลัน เรื่องนี้ก็ไม่ควรปล่อยไปเช่นนี้
หลังจากชุนฮุ่ยจากไป ถาวจวินหลันคิดว่าในเมื่อนอนไม่หลับ ไม่สู้ออกไปเดินเล่นข้างนอก เบี่ยงเบนความสนใจเสียหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ต้องคิดเรื่องขององค์หญิงเก้าอยู่ตลอด
สุดท้ายถาวจวินหลันก็คิดจะไปหาไทเฮาสักครั้ง