บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 662
ตอนที่กู้ซีได้ยินว่าถาวจวินหลันมาเยี่ยมองค์ชายเก้า สิ่งแรกที่นางคิดคือไม่อยากพบ โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงแม่นมที่ถูกส่งกลับมา แต่ก็เพราะคิดถึงแม่นมคนนั้น นางจึงทำได้แค่ข่มความโกรธเอาไว้ สูดลมหายใจลึกยิ้มตามมารยาทเดินออกไป
นานแล้วที่ถาวจวินหลันไม่เห็นกู้ซียิ้มเช่นนี้ ก่อนหน้านี้กู้ซีมักจะก้มหน้าก้มตา สะท้อนความบอบบางขลาดกลัวจนน่าสงสาร
แต่น่าเสียดาย เมื่อก่อนนางยังรู้สึกสงสารเล็กน้อย แต่ตอนนี้หรือ นางทำได้แค่ยิ้มเยาะกลับไปเท่านั้น คนจิตใจเยี่ยงอสรพิษแต่แสร้งทำทีเหมือนคนไร้เดียงสา นางรู้สึกดีด้วยไม่ได้จริงๆ
พูดตามจริงแล้ว เมื่อเทียบกับคนอย่างกู้ซี นางยังคิดว่าฮองเฮาดีกว่ามาก แม้ฮองเฮาเล่นละครได้เนียนเหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็ไม่แสดงท่าทีเช่นนี้ ต้องพูดว่าบางครั้งฮองเฮาก็เปิดเผยกว่ามาก เรื่องที่เถียงต่อไม่ได้ฮองเฮาก็ยอมรับมาโดยตลอด และเรื่องที่ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ ฮองเฮาก็ไม่เคยแสร้งทำทีไร้เดียงสาให้คนเห็น
ถาวจวินหลันเบนสายตาหนี ไม่มองสีหน้าของกู้ซีอีก พูดอย่างแฝงนัย “จวงผินเหนียงเหนียง อย่าแสดงท่าทีเช่นนี้ให้ข้าเห็นเลยเพคะ มิฉะนั้นคนอื่นคงคิดว่าข้ารังแกท่าน อีกทั้งท่านยังฐานะสูงกว่าข้า ยิ่งไม่ควรทำเช่นนี้ คนไม่รู้เรื่องคงสงสัยว่าท่านเป็นอะไรเพคะ” นางไม่ได้พูดคำว่า ‘ยอมลดตัวลงมา’ ออกไป แต่เห็นขัดว่าได้ผลดีกว่าพูดออกไปเสียอีก
กู้ซีพลันเปลี่ยนสีหน้าไปทันที ความรู้สึกต่างๆ นานาล้วนปรากฏออกมาเต็มไปหมด
ถาวจวินหลันกลับไม่สนใจกู้ซี เพียงแค่อมยิ้มถามนางกำนัลของกู้ซี “องค์ชายเก้าเป็นอย่างไรบ้าง? พามาให้ดูได้หรือไม่?” นางกำนัลทำตัวไม่ถูก อย่างไรบรรยากาศตอนนี้ก็พิลึกเกินไป หากเปิดปากไปจนเจ้านายตนเองโกรธ นั่นย่อมได้ไม่คุ้มเสีย
กู้ซีสูดหายใจลึกทำใจให้สงบลง ท่าทีก็เปลี่ยนไป จากท่าทีอ่อนแอบอบบางแฝงความถ่อมตนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ในเมื่อพระชายาองค์รัชทายาทอยากเจอองค์ชายเก้า ข้าก็จะพาท่านไป” พูดจบก็ไม่มองถาวจวินหลันอีก แล้วเดินนำไปข้างหน้า
ถาวจวินหลันไม่เห็นสีหน้าของกู้ซี แต่นางพอเดาได้ว่ากู้ซีคงอารมณ์ไม่ดีนัก แต่ดูจากการเปลี่ยนแปลงของกู้ซีเมื่อครู่นี้ เกรงว่ากู้ซีคงไม่ใช่สตรีอ่อนแอบอบบางมาแต่แรกแล้ว
พอถาวจวินหลันคิดถึงหลิ่วฮูหยิน ก็เข้าใจในฉับพลัน ใช่แล้ว ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น หลิ่วฮูหยินเป็นคนเช่นนั้น กู้ซีจะเป็นอื่นได้อย่างไร? นางจะขี้ขลาดจริงๆ หรือ? ก่อนหน้านี้นางแค่รู้สึกเหลือเชื่อ คิดว่าทำไมหลิ่วฮูหยินถึงได้มีลูกสาวอย่างกู้ซี พอลองมาคิดดูอีกที จริงๆ กู้ซีก็แค่เสแสร้งเท่านั้น
องค์ชายเก้าได้รับการดูแลอย่างดี สถานที่พักไม่เพียงแค่อยู่ในตำแหน่งดี การตกแต่งก็ดูออกว่าประณีตงดงาม เห็นชัดว่ากู้ซีเห็นองค์ชายเก้าเป็นลูกชายของนางจริงๆ
ถาวจวินหลันถอนหายใจ “หากท่านอยากเลี้ยงองค์ชายเก้าจริง ก็เพียงเอ่ยขอกับฮ่องเต้ตรงๆ เหตุใดต้องวางแผนใหญ่โตเช่นนี้ด้วย?”
เห็นชัดว่าเอาดีเข้าตัว โยนชั่วให้คนอื่น หากดูจากระดับความโปรดปรานที่กู้ซีได้รับแล้ว ขอแค่นางเอ่ยปากขอ ฮ่องเต้ไม่มีทางปฏิเสธเป็นแน่ แต่กู้ซีกลับใช้วิธีเช่นนี้ นี่ไม่ได้ทำเรื่องเกินจำเป็นหรืออย่างไร?
กู้ซีแข็งทื่อทันที หันหน้ามองถาวจวินหลันช้าๆ ดวงตาทั้งสองข้างสะท้อนอาการเย้ยหยันไว้บางๆ “ข้าพอใจท่านจะทำไมหรือ?”
ถาวจวินหลันได้ยินก็หมดอารมณ์ไปทันที
คิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็พูดลองเชิง “ท่านยังคิดแค้นข้าหรือ?”
แต่เดิมนางเพียงแค่ถามลองเชิงเท่านั้น แต่ใครจะรู้ว่ากู้ซีกลับนิ่งเงียบยอมรับ ถาวจวินหลันอดขมวดคิ้วตกใจไม่ได้ “ข้าบอกแล้ว เรื่องที่เจ้าเข้าวังไม่ได้เกี่ยวกับข้าแม้แต่น้อย!”
กู้ซีฉีกยิ้มมุมปากเยาะเย้ย จากนั้นก็เหมือนจะรู้ว่าไม่น่ามองเกินไป จึงยกมือเรียวขาวมาบังไว้ แต่ไม่อาจปิดบังอารมณ์ในแววตาได้แม้แต่น้อย ก่อนถามถาวจวินหลันกลับ “ท่านคิดว่าข้าเชื่ออย่างนั้นหรือ?”
ถาวจวินหลันหมดคำพูดตอบกลับ สุดท้ายก็เพียงยิ้มบางๆ “ทำเพื่อสิ่งนี้อย่างนั้นหรือ? คุ้มหรือ? กลับยิ่งให้เบี้ยต่อรองตกอยู่ในมือข้า อีกทั้งเรื่องขององค์หญิงเก้า ข้าก็อยากถามท่าน ท่านคิดแค้นข้าไม่สำคัญ แต่เกี่ยวอะไรกับองค์หญิงเก้าเล่า?”
กู้ซีมององค์ชายเก้าที่ยังนอนอยู่ในห้อง หัวเราะเบา พูดเรียบๆ ว่า “พระชายาองค์รัชทายาทพูดเรื่องอะไร? ทำไมข้าไม่เข้าใจ?”
กู้ซีไม่ยอมรับ ถาวจวินหลันได้แต่แค่นหัวเราะ ไม่ได้บีบให้กู้ซียอมรับ เพียงแค่พูดเรียบๆ ว่า “วันนั้นก่อนที่องค์หญิงเก้าจะออกจากวังหลวง มีกลุ่มคนทั้งหมดสามกลุ่มออกจากวัง ในนั้นรวมถึงท่านด้วย เรื่องนี้จะอธิบายอย่างไรเพคะ?”
“ทำไม ออกจากวังก็ไม่ได้อย่างนั้นหรือ?” กู้ซีปฏิเสธ
ถาวจวินหลันหัวเราะ ไม่ยอมยืนถกเถียงกับกู้ซีอีก เพียงแค่ยิ้มเดินเข้าไปอุ้มองค์ชายเก้า ตอนนี้องค์ชายเก้าตื่นแล้ว ลุกขึ้นมาขยี้ตาอย่างมึนงง
กู้ซีถึงสังเกตเห็นว่าองค์ชายเก้าตื่นแล้ว คิดจะยื่นมือไปอุ้มองค์ชายเก้าขึ้นมา
แต่ถาวจวินหลันกลับไม่ให้ ยิ้มถามองค์ชายเก้าว่า “น้องเก้าหิวหรือยัง? ให้แม่นมป้อนข้าวต้มให้น้องเก้าดีหรือไม่?”
องค์ชายเก้านอนเต็มอิ่มแล้ว พอตื่นขึ้นมาก็มีท่าทางเรียบร้อย ขยี้ตาพลางพยักหน้า จากนั้นถาวจวินหลันก็ส่งองค์ชายเก้าให้กับแม่นมที่เฝ้าอยู่ข้างๆ แม้องค์ชายเก้าไม่ต้องดื่มนมแล้ว แต่อย่างไรก็ยังไม่หย่านม กู้ซีจึงจัดหาแม่นมให้อีกคนหนึ่ง
หลังจากองค์ชายเก้าถูกอุ้มออกไป กู้ซีก็ไม่ปิดบังอารมณ์ของตนเองแม้แต่น้อย หน้าขรึมพูดว่า “พระชายาองค์รัชทายาทมาที่นี่ก็ถือเป็นแขกของข้า ข้าไม่ชอบให้แขกมามีบทบาทแทนเจ้าบ้าน หากพระชายาองค์รัชทายาทชอบเช่นนี้ก็ไม่ต้องมาอีก”
ถาวจวินหลันจัดเก้าอี้ที่เอียงอยู่ให้เข้าที่ ก่อนนั่งลงไป จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ มองกู้ซีนิ่ง “ที่จริงแล้ว ข้ามาก็เพราะรัชทายาทเพคะ”
กู้ซีนิ่งไปทันที ไม่พูดอะไรออกมาอีก แต่สีหน้าท่าทางบ่งบอกความคิดของนางแล้ว ‘ทำไม?’
“รัชทายาทบอกข้าเรื่ององค์ชายเก้า เขาไม่อยากเอิกเกริกเป็นเรื่องใหญ่ ยังไงก็เป็นญาติกัน เกรงว่าคงอยากรักษาชื่อเสียงของตระกูลกู้ เขาคงจัดการท่านไม่ได้จริงๆ ได้” ถาวจวินหลันเคาะพนักเก้าอี้ คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “แต่รัชทายาทไม่อยากให้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกเพคะ”
กู้ซีหน้านิ่ง พูดไม่น่าฟัง “แต่ข้าไม่เคยทำไม่ดีกับรัชทายาทไม่ใช่หรือ?” ความหมายก็คือต่างไม่ล้ำเส้นกัน
นางพูดแบบนี้ก็ไม่ผิด แต่ถาวจวินหลันกลับยิ้มตอบไปว่า “สามีภรรยาคือคนเดียวกัน ท่านเคยได้ยินหรือไม่เพคะ?”
ใบหน้าของกู้ซีไม่น่ามองในฉับพลัน กัดริมฝีปากอยู่พักหนึ่งไม่พูดอะไรอีก แต่สายตาเย็นเยียบขึ้นเล็กน้อย
“ไม่ว่าจะเป็นข้าหรือองค์รัชทายาทก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีก ท่านเอาองค์ชายเก้าไปเลี้ยงก็ไม่เป็นไร อย่างไรท่านก็ยังเอ็นดูเขา แต่หากเกิดเรื่องเช่นนี้อีก อย่าโทษว่าพวกเราไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์เครือญาติ กู้โหวเหยี่ยก็อายุไม่น้อยแล้ว คงไม่อยากเสียชื่อเสียงดีงามไปยามชรา แล้วยังหลิ่วฮูหยิน…“ ถาวจวินหลันยังแย้มยิ้มเช่นเดิม แต่ทุกคำที่พูดออกมานั้นล้วนเป็นคำขู่ นางคร้านจะใส่ใจความแค้นของกู้ซีแล้ว จึงตัดสินใจใช้วิธีหยาบกระด้างเพื่อกดดัน
กู้ซีหน้าเขียวคล้ำ กำมือแน่นถลึงตามองถาวจวินหลัน ผ่านไปครู่หนึ่งถึงยิ้มออกมา “พระชายาองค์รัชทายาทพูดถูก ข้าจะจำไว้”
ถาวจวินหลันเห็นกู้ซีเป็นเช่นนี้ก็รู้ว่ากู้ซีไม่มีทางปล่อยไปเช่นนี้แน่นอน จึงไม่สนใจ และไม่อยากพูดอะไรอีก เพียงแค่ลุกขึ้นขอตัวมาก่อน
กู้ซีไม่ได้เดินออกมาส่ง ถาวจวินหลันก็ไม่ใส่ใจ ความจริงแล้วนางคิดว่าตอนนี้กู้ซีคงอยากฆ่านางเต็มทีแล้ว นางก็คร้านจะเปลืองน้ำลายเช่นกัน กู้ซีไม่ใช่กระต่ายขาวบริสุทธิ์ผุดผ่องมาแต่แรก ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องกลับเนื้อกลับตัว อีกทั้งนางไม่คิดว่านางจะใช้แค่คำพูดไม่เท่าไรพูดกล่อมกู้ซีได้
กู้ซีไม่เห็นค่าแม้แต่ความเอ็นดูของไทเฮา ไม่แปลกที่ไทเฮาจะผิดหวังในตัวนางขนาดนั้น แต่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ไทเฮาเองก็ถูกกู้ซีหลอกเช่นเดียวกัน
ถาวจวินหลันไปหาไทเฮา อยู่เป็นเพื่อนคุยกับไทเฮาครู่หนึ่ง ถึงได้กลับวังตวนเปิ่นมา
หงหลัวเห็นถาวจวินหลันซึมเซา ก็รีบยกน้ำแกงบ๊วยมาให้ ในน้ำแกงไม่เพียงใส่ผลไม้หลากสีสัน ยังมีน้ำแข็งบดละเอียด หากได้ลองทานในฤดูนี้สักถ้วย ย่อมต้องเพลิดเพลินอย่างมาก
“พวกเรามองผิดไปแล้ว” ถาวจวินหลันดื่มไปอึกหนึ่ง ก็เริ่มสดชื่นทั้งกายและใจ ถึงได้เอ่ยปากพูดออกมา
หงหลัวเองก็ไม่ชอบกู้ซีอยู่แล้ว ย่อมพูดในแง่ดีไม่ได้ “คนเช่นนั้นมีค่าให้พระชายาองค์เหนื่อยที่ไหนกันเพคะ? หากนางไม่รู้จักวางตัว ใครจะกลัวนางกัน? พระชายาเอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่าเพคะ อย่าเสียเวลากับเรื่องนี้เลย”
ถาวจวินหลันได้ยินก็หัวเราะ พูดว่า “เจ้าว่าวันนี้ฮองเฮาจะมาหาข้าอีกหรือไม่?”
เห็นชัดว่าต้องมาอีกเป็นแน่ เพิ่งทานอาหารกลางวันเสร็จ ฮองเฮาก็ส่งคนมาเชิญนาง ไม่ได้ต่างจากที่นางคาดการณ์เลยแม้แต่น้อย
แต่ถาวจวินหลันยังไม่คิดจะไป นางให้หงหลัวไปไล่คนกลับก่อน “บอกว่าข้าปลีกตัวไปไม่ได้ กิจในวังค่อนข้างเยอะ ต้องเตรียมเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว”
นางไม่ใช่ชายารองถาวที่ยอมให้ฮองเฮามาสั่งได้ตามต้องการแล้ว ย่อมต้องวางท่ามากขึ้น ยิ่งฮองเฮาเริ่มเครียดเช่นนี้ นางก็ยิ่งต้องวางท่าให้ดี
แต่ฮองเฮาไม่คิดจะถอดใจง่ายเช่นนี้ ส่งคนมาถ่ายทอดคำพูดโดยเร็ว บอกว่าตนช่วยสอนเรื่องเหล่านี้ให้ถาวจวินหลันได้ อย่างไรฮองเฮาก็ดูแลกิจในวังหลวงมานานหลายปี ถือว่าพอใช้เป็นข้ออ้างได้
ถาวจวินหลันยังไม่รับปากเช่นเดิม เพียงให้คนกลับไปบอกฮองเฮา ว่านางทำตามตัวอย่างเดิมได้ ไม่ต้องรบกวนฮองเฮา ขอให้ฮองเฮาดูแลพระวรกายให้ดีก็พอ
ด้วยสงสารที่บ่าวไพร่ต้องวิ่งไปวิ่งมาถ่ายทอดคำพูดในวันที่อากาศร้อนเช่นนี้ ถาวจวินหลันจึงมอบถั่วเขียวเย็นให้ถ้วยหนึ่งเป็นกรณีพิเศษ