บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 668
สั่งคนอื่นเสร็จแล้ว หลี่เย่ก็คิดว่าตนเองทำอะไรไม่ได้อีก ใต้เวทีบูชาไม่มีแสงลอดผ่านเข้ามาแม้แต่น้อย เขาจึงไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วถาวจวินหลันเป็นอย่างไรบ้าง ทำได้แค่ใช้มือสัมผัสเท่านั้น จึงค่อยๆ คลำตัวถาวจวินหลันไปจนทั่วร่าง เห็นว่าถาวจวินหลันเหมือนจะบาดเจ็บแค่หน้าผาก ตรงอื่นไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรอีก แม้หลี่เย่โล่งใจได้เฮือกหนึ่ง แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้ ศีรษะเป็นอวัยวะสำคัญที่สุด บาดเจ็บเป็นอะไรไปก็ไม่รู้จะเป็นเช่นไร
อีกทั้งสองคำที่ถาวจวินหลันพูดก่อนสลบไป
หลี่เย่ค่อยๆ ยกมือสั่นสะท้านของตน จับไปที่ท้องของถาวจวินหลัน ไม่รู้แล้วว่าตนเองรู้สึกเช่นไรกันแน่
เมื่อครู่นี้ถาวจวินหลันพูดกับเขาว่า ‘ลูกน้อย’
ในสถานการณ์นี้คงไม่ได้พูดถึงซวนเอ๋อร์หรือหมิงจูเป็นแน่ ดังนั้นย่อมเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือ…
หลี่เย่ลูบไปมาเบาๆ บนหน้าท้องของถาวจวินหลัน ‘ลูก’ ถาวจวินหลันอาจจะตั้งครรภ์อีกแล้ว แต่ตัวเขากลับไม่รู้ แล้วยังปล่อยให้ถาวจวินหลันล้มลงมาอีก ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรหรือไม่
หลี่เย่รู้สึกคล้ายหัวใจถูกบีบ ความรู้สึกหวาดกลัวกระแสหนึ่งครอบคลุมอยู่ทั้งร่าง ทำให้เขาดิ้นหนีไปไหนไม่ได้
“จวินหลัน” หลี่เย่ส่งเสียงเรียกด้วยเสียงสั่นเครือ
แต่ถาวจวินหลันกลับนอนสลบไม่ได้สติ อย่างไรก็สลบไปแล้ว นางจะตอบโต้อะไรได้
ต่อให้หลี่เย่รู้เรื่องนี้ก็ยังแอบผิดหวังในใจไม่ได้ เขาหวังให้ถาวจวินหลันขานรับเขาสักคำ ต่อให้เป็นเสียงงึมงำก็ยังดี แต่ไม่มี เขาไม่ได้ยินอะไรเลยแม้แต่น้อย
เขาหวาดกลัว ยกมือขึ้นแตะคอของถาวจวินหลัน ถึงรู้สึกว่าชีพจรใต้ผิวหนังยังเต้นเป็นปกติ จึงถอนหายใจเบาๆ แผ่นหลังที่เกร็งแข็งก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ความหนักอึ้งในหัวใจยังไม่หายไป
เขาไม่มีทางวางใจได้ จากสัญชาตญาณแล้ว เขาคิดว่าเรื่องวันนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่นอน
แผ่นไม้ที่ใช้สร้างเวทีบูชาในวังหลวงต้องไม่ใช่ไม้ผุอย่างแน่นอน แต่ต่อให้ใช้ไม้ผุจริง ถาวจวินหลันก็ไม่น่าบังเอิญเหยียบเจอ ที่จริงต่อให้เป็นไม้ผุก็คงไม่ถึงขั้นหักลงทันทีแบบนี้ แล้วยังหักเป็นบริเวณกว้างขนาดนั้น อย่างไรแผ่นไม้ก็ทั้งกว้างทั้งหนา ไม่สมควรเป็นถึงขั้นนี้
หากทิ้งเรื่องนี้ไป แม้แต่คำอวยพรเมื่อครู่นี้ก็ยังมีปัญหา
ดังนั้นเขาจึงสงสัยว่ามีคนตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับถาวจวินหลัน
หลี่เย่กอดถาวจวินหลันไว้แน่นท่ามกลางความมืดมิด ข่มความโกรธในใจเอาไว้ ในหัวรู้แจ้งแก่ใจ สงบนิ่งจนน่ากลัว เขาคิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมด ก็อยาจะกระโดดออกไปลากตัวคนร้ายออกมาทันที แล้วแก้แค้นแทนถาวจวินหลันเสียเลย
แต่เห็นชัดว่าเป็นไปไม่ได้ ถึงเขาคิดว่าเช่นนี้จะไม่สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์หรือยืนยันได้ จากนั้นก็มีคนใช้เชือกร้อยโคมไฟหย่อนลงมา
ภายใต้แสงสลัวส่องสว่างเล็กน้อย หลี่เย่รีบจับโคมไฟนั้นเอาไว้ ก่อนขยับเข้าไปใกล้ถาวจวินหลันเพื่อดูอาการ เขาดูหน้าผากเป็นอันดับแรก ก็พบว่าบนนั้นมีบาดแผลอยู่จุดหนึ่ง น่าจะถลอกตอนที่กระแทกเข้ากับขั้นบันได เนื้อชั้นนอกเปิดออกเล็กน้อย แม้บาดแผลไม่ใหญ่นัก แต่เลือดก็ไหลซึมออกมาตลอด เกือบย้อมผมของถาวจวินหลันเป็นสีแดงแล้ว
ปิ่นและเครื่องประดับผมของถาวจวินหลันหลุดไปมากมายไม่รู้เท่าไร ตอนนี้ที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่แท่ง
หลี่เย่ไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น เพียงแค่สำรวจบริเวณอื่นบนร่างกายของถาวจวินหลัน ข้อศอก ขา ฝ่ามือ เท้า…
พอหมอหลวงมาถึง บรรดาบ่าวในวังก็ขุดช่องว่างออกมาจากด้านล่างได้แล้ว ก่อนพาหลี่เย่และถาวจวินหลันออกมา
หมอหลวงตรวจจับชีพจรให้หลี่เย่ก่อนตามความเคยชิน แต่หลี่เย่กลับสะบัดมือออก แล้วพูดต่อว่าเสียงเย็น “ตาบอดกันหรืออย่างไร? ไม่เห็นหรือว่าใครอาการร้ายแรงกว่า?”
หมอหลวงรีบไปตรวจชีพจรให้ถาวจวินหลัน ส่วนหมอหลวงอีกคนพูดกับหลี่เย่ด้วยอาการกล้าๆ กลัวๆ “ร่างขององค์รัชทายาทมีรอยเลือดอยู่ไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้าง หรือว่าติดมาจากพระชายาองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ?
หลี่เย่ก้มมองร่างกายของตนเอง ก็เห็นว่าบนชุดสีเหลืองอ่อนมีรอยเลือดเปื้อนอยู่มากมาย จึงหรี่ตาลงเล็กน้อย ในใจเปี่ยมไปด้วยจิตอาฆาต พยายามข่มความหงุดหงิดเอาไว้ พอขยับตัวเบาๆ ถึงรู้สึกเจ็บหลังเจ็บอยู่เล็กน้อย จึงพูดว่า “บนหลัง”
หมอหลวงรีบไปตรวจอาการให้หลี่เย่ แต่ก็เห็นว่าไม่ได้ร้ายแรงเกินไป เพียงแค่บาดเจ็บเล็กน้อยจากการชนกระแทก แม้แต่ผิวหนังก็ยังไม่ถลอก ดังนั้นคนที่สาหัสที่สุดยังเป็นถาวจวินหลัน
หลี่เย่กวาดตามองรอบด้านด้วยสายตาเย็นชา มองดูภาพสถานการณ์เอะอะโวยวายทั้งหมด จากนั้นก็สั่งเสียงเย็น “สืบเรื่องนี้ให้ละเอียด พาตัวคนในวังที่รับผิดชอบประกอบเวทีทั้งหมดไปที่สำนักว่าการ รวมถึงคนที่สัมผัสคำอวยพรทั้งหมดด้วย” เรื่องนี้เขาไม่มีทางปล่อยคนที่เกี่ยวข้องไปแม้แต่คนเดียว
“พระชายาองค์รัชทายาทบาดเจ็บที่หน้าผากพ่ะย่ะค่ะ นอกจากนั้นก็ไม่เป็นอะไรมาก แต่ดูจากชีพจร เหมือนจะเป็นชีพจรดี แต่เพราะวันยังน้อยจึงตรวจผลได้ไม่แม่นยำนัก” หมอหลวงเห็นหลี่เย่โมโหเช่นนี้ ย่อมไม่กล้าพูดอ้อมค้อมไปเรื่อย มีอะไรก็พูดอย่างนั้น พยายามให้กระชับได้ใจความมากที่สุด ขอเพียงอย่าพาลโกรธหาเรื่องหาภัยมาถึงตัวก็พอแล้ว
หลี่เย่กวาดตามองหมอหลวงทีหนึ่ง ถามประเด็นสำคัญขึ้นมาตรงๆ “แล้วแผลตรงหน้าผากเล่า? ร้ายแรงหรือไม่?”
หมอหลวงมีเหงื่อเย็นผุดบนหลังชั้นหนึ่ง พูดออกมาอย่างลังเล “นี่ ยังบอกไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!” ตอนแรกคิดจะหลอกให้ผ่านไป แต่เห็นหลี่เย่คอยจับสังเกตอยู่ตลอด อยจับสังเกตอยู่ตลอดต่ภายใต้การจิสุดท้ายก็ต้องรีบเปลี่ยนคำพูด
แต่หลังจากพูดออกไปแล้ว สีหน้าของหลี่เย่ก็ยิ่งมืดมนไม่น่ามอง
ฮ่องเต้เดินมาด้วยการประคองของกู้ซี นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็พูดว่า “ช่างเถิด จัดงานเลี้ยงต่อไม่ได้แล้ว แยกย้ายกันเถิด”
ถ้าเป็นบาดแผลเล็กน้อยก็แล้วไป แต่พอเป็นเช่นนี้ก็ส่งผลกระทบถึงบรรยากาศ ถึงจัดงานเลี้ยงอีกก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว อีกทั้งคนอื่นยังหวาดกลัวไม่หาย ใครจะมีกะใจมาพูดเล่นยิ้มแย้มร่วมงานเลี้ยงได้อีก?
หลี่เย่นับว่าเริ่มสงบลงมาแล้ว สูดลมหายใจเข้าลึก พูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ลูกขอส่งเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า “เจ้าอยู่จัดการต่อเถิด” พูดจบก็ขยับฝีเท้าเดินจากไป
ฮ่องเต้ยังไม่ทันเดินพ้นสองก้าว พลันมีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เวทีบูชาถล่มลงมาทั้งหมด ฉับพลันนั้น ฝุ่นก็ตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ แผ่นไม้ที่หักกระจายก็กระเด็นกระจายไปรอบด้าน
หลี่เย่พุ่งเข้าไปหาถาวจวินหลันทันที ทำตัวเป็นดั่งโล่กันธนู
แน่นอนว่าแม้เวทีจะถล่มลงมา แต่ตรงเขาไม่ได้อยู่ใกล้ถึงขนาดนั้น แม้ว่าจะมีเศษไม้ลอยออกมา นั่นก็เป็นจำนวนน้อย
ทุกคนตกใจรีบหาที่หลบป้องกันตัวอย่างรวดเร็ว แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด ไม่เพียงหลบไม่พ้น แต่กลับผลักกันไปมา จนสถานการณ์เปลี่ยนเป็นวุ่นวายโดยพลัน ทั้งกรีดร้อง วิ่งหนี ผลักกันไปมา หกล้ม…
ฮ่องเต้ก็ตกใจมากเช่นกัน แต่พอได้สติกลับมา ก็ถูกกู้ซีจับวิ่งออกมาข้างๆ แล้ว แม้กู้ซีดูบอบบางในยามปกติ แต่ตอนนี้กลับมีเรี่ยวแรงอย่างล้นเหลือ ดึงฮ่องเต้ให้วิ่งหลบได้ทันท่วงที
ฮ่องเต้นิ่งอึ้งไป มองกู้ซีด้วยสายตาซับซ้อนขึ้นหลายส่วน คิดไม่ถึงว่ากู้ซีจะยังอยู่เคียงข้างเขา
แต่ร่างกายของฮ่องเต้ไม่ค่อยไหวแล้ว ปกติก็ไม่ค่อยขยับตัวออกกำลัง ตอนนี้ยังมาวิ่งอย่างกะทันหัน ก็ให้หอบหายใจหนักหน่วง หน้าอกเต้นจนคล้ายจะทะลุออกมาก็มิปาน
ฮ่องเต้ลื่นเซถลาไป แม้กู้ซีและบรรดาขันทีช่วยกันประคองไว้ แต่ให้วิ่งต่อไปก็ไม่ไหวแล้ว
“ฮ่องเต้เพคะ!” กู้ซีกรีดร้องตกใจในฉับพลัน รีบพุ่งตัวเข้ามาผลักฮ่องเต้ออกไปอย่างแรง
ฮ่องเต้ตกใจ แต่แล้วก็เห็นแผ่นไม้แผ่นหนึ่งตกใส่บ่าของกู้ซีเข้าอย่างจัง แม้แต่ใบหน้าก็ถูกขูดไปด้วย
กู้ซีเจ็บจนร้องออกมา เซถลาไปเกือบจะล้ม ฮ่องเต้เห็นดังนั้นก็อบอุ่นใจ ไม่สนใจสิ่งอื่น รีบร้อนไปดูอาการของกู้ซี
กู้ซีก้มหน้าต่ำ ไม่ยอมให้ฮ่องเต้ดู เพียงแค่เอ่ยกล่อมอย่างเร่งร้อน “ฮ่องเต้รีบไปหลบก่อนเถิดเพคะ”
ฮ่องเต้ย่อมไม่ยอมไปที่ใด บีบคางของกู้ซีให้นางหันมามอง ทันใดนั้นก็ต้องสูดลมหายใจเย็น ใบหน้าของกู้ซีที่โดนขูดไปมีเลือดสดไหลออกมา แต่ด้วยเพราะแสงไม่มากพอ จึงมองไม่ชัดว่าบาดแผลเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ดูแล้วก็น่าตกใจมากนัก
ดวงตาของกู้ซีมีน้ำตาคลอเป็นประกาย ออกแรงเบี่ยงหน้ากลับไป พูดขอร้องว่า “ฮ่องเต้อย่ามองเพคะ”
ฮ่องเต้กลับไม่ยอมจากไปไหน ขันทีรอบข้างล้วนเฉลียวฉลาด รีบป้องกันรอบข้างเอาไว้อย่างแน่นหนา กลายเป็นกำแพงมนุษย์ล้อมฮ่องเต้กับกู้ซีเอาไว้ตรงกลาง
ทางด้านหลี่เย่กลับดูน่าอนาถใจกว่าฮ่องเต้เล็กน้อย แม้ว่าโจวอี้ หวังหรู และบรรดาบ่าวรับใช้ของถาวจวินหลันรีบเข้ามาช่วยบังเจ้านายเอาไว้ แต่สุดท้ายหลี่เย่ก็ยังได้รับบาดเจ็บ บาดแผลของหลี่เย่อยู่ที่บริเวณหลังเกือบทั้งหมด ตัวแผ่นไม้ดูไม่น่าสร้างบาดแผลรุนแรงได้มากนัก แต่เศษไม้ที่หักลอยไปมาก็ทำเสื้อผ้าขาดวิ่นไปไม่น้อย จนเสี้ยนไม้ทิ่มเข้าไปในเนื้อ
พอเศษฝุ่นดินสงบลง ก็มีคนไม่น้อยที่ได้รับบาดเจ็บ
หลี่เย่ลุกขึ้นมาช้าๆ หันหน้าไปมองเวทีบูชาที่เหลือเพียงพื้นที่โล่ง ดวงตาเต็มไปด้วยประกายเยียบเย็น
เวทีบูชาถล่มลงมา ย่อมหาหลักฐานอะไรไม่ได้อีก แม้ไปสืบดูทีละชิ้น ไม่เพียงแค่เปลืองแรงเปลืองเวลา แล้วยังไม่อาจวิเคราะห์อะไรได้อีก
เมื่อเป็นเช่นนี้ ดูเผินๆ ก็คงดูเหมือนบังเอิญจริง อย่างไรตอนนี้เวทีถล่มลงมาทั้งหมด ไม่ได้อธิบายว่าแผ่นไม้เหล่านั้นล้วนผุเน่าหรือ? ในเมื่อผุพัง อย่างนั้นที่ถาวจวินหลันกับเขาหล่นลงไปก็ดูเป็นเรื่องคาดไม่ถึงเช่นกัน
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเอาเรื่องเอาความ หลี่เย่มองถาวจวินหลันทีหนึ่ง พลางมองไปทางฮ่องเต้ พูดสั่งกำชับนางกำนัลให้ดูแลถาวจวินหลันให้ดี แล้วเขาจึงเดินไปทางฮ่องเต้
ด้วย เพราะกู้ซีได้รับบาดเจ็บ ฮ่องเต้จึงกำลังกริ้วโกรธ เห็นหลี่เย่เดินมาหา ก็หน้าดำมืด สั่งว่า “องค์รัชทายาท เจ้าต้องรับผิดชอบเรื่องนี้! ข้าไม่ปล่อยคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไปแม้แต่คนเดียว ประหารให้หมด!”