บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 105
กำลังรอหยู่เหวินเห้ากลับมา แต่คนที่กลับมากลับเป็นทังหยาง
เสื้อผ้าของทังหยางฉีกขาด เดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่น่าสังเวช “พระชายา ผู้มีคุณของท่านได้จัดที่พักให้พวกมันแล้ว เพียงแต่ หนึ่งในผู้มีคุณ เป็นตายก็จะตามข้าน้อยมา ข้าน้อยไม่รู้จะทำเช่นไร จึงได้พามันกลับมาด้วย”
หยวนชิงหลิงมองออกไปอย่างสงสัย หมาตัวไหนที่จะเป็นจะตายก็จะตามมาด้วย?
ก็เห็นสวีอีจุงหมาหางสั้นหูตั้งสีดำเข้ามา มันเป็นหมาตัวที่บอกให้หยวนชิงหลิงรีบหนี บัดนี้นั่งอยู่บนพื้น หูที่สั้นตั้งขึ้นมา อ้าปากยื่นลิ้นที่มีปานออกมามองนาง
ตัวมันสกปรกมาก บาดเจ็บ ขนเปื้อนไปด้วยเลือด ตัวมันเต็มไปด้วยรอยแส้ ทุกแส้บาดเข้าไปในเนื้อ บางจุดขนยังร่วงไปด้วย เผยให้เห็นผิวเนื้อที่มีเลือดซึม ดูแล้วน่าสงสารมาก
แต่ตอนนี้มันมานั่งอยู่บนพื้น ตัวมันก็ไม่มีความดุร้ายเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ดวงตานั้นคู่นั้นกลมมาก มองหวยนชิงหลิงอย่างแน่วแน่
หยวนชิงหลิงรีบก้าวเดินไปข้างหน้า บนตัวมัน มีเพียงหัวที่ไม่บาดเจ็บ นางยื่นมือออกไป ลูบหัวของมันไปหนึ่งที “เด็กดี”
“โฮ่งๆ!” หมาเห่าไปทางนาง พร้อมกับกระดิกหาง แววตากลับคลอไปด้วยน้ำตา
ทังหยางเดินเข้าไป หยวนชิงหลิงหันหน้ามากล่าว “เตรียมยา น้ำอุ่น”
หมาเชื่องมาก ทำความสะอาดขนก่อน แล้วทำแผล หมาไม่เห่าเลย ให้หยวนชิงหลิงช่วยมันฆ่าเชื้อ ทายา
ทังหยางกับสวีอีอยากจะไปช่วย หยวนชิงหลิงไม่ให้ช่วย ไล่ทั้งสองคนออกไป
แล้วจัดทำแผลเสร็จ หยวนชิงหลิงก็ลูบหัวของมัน “ต่อไปเจ้าก็อยู่กับข้านะ ในวังมีตัวหนึ่งชื่อว่าฝูเป่า เจ้าชื่อว่าตอเป่า ดีมั้ย?”
“โฮ่งๆๆ!” ตอเป่าเห่าไปสามครั้ง ถือว่าได้ตกลงแล้ว
เมื่อกี้เจอกันคำพูดประโยคแรก ตอเป่าพูดว่าถูกนางทำให้ซวยแล้ว หมาทุกตัวต่างถูกตีจนบาดเจ็บสาหัส
หยวนชิงหลิงฟังเข้าใจในสิ่งที่ตอเป่าพูด รู้สึกปวดใจกับสิ่งที่พวกมันต้องเผชิญ
นางออกไป บอกให้ทังหยางดีกับหมาเหล่านั้นหน่อย ทังหยางกล่าว “แน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อพวกมันเป็นผู้มีพระคุณของพระชายา ข้าน้อยต้องดูแลพวกมันอย่างดีแน่นอน”
“ต่อไปนี้ตอเป่าก็อยู่กับข้าแล้ว รบกวนสวีช่วยสร้างเรือนหมาให้หนึ่งหลัง สร้างอยู่ด้านหน้าเรือน ให้มันกว้างขวางหน่อย”
“ต้องหาหมาตัวเมียให้มันสักตัวมั้ย?” สวีอีถามอย่างซื่อๆ พระชายาทำไมถึงได้ผูกพันกับหมาตัวนี้ขนาดนี้นะ?
“ไม่ต้อง” หยวนชิงหลิงถลึงตาใส่เขา แล้วมองไปที่ทังหยาง “ใต้เท้าทังทำไมจึงกลายเป็นแบบนี้? รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ”
“ขอรับ ขอบคุณพระชายาที่เป็นห่วง” ทั้งสองก็ถอยออกไป
ตอเป่าคลานอยู่ข้างเท้าของหยวนชิงหลิงอย่างเชื่อฟัง หมานั้นมีสัญชาตญาณ รู้ว่าได้ติดตามเจ้าของที่ดี แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บไปทั้งตัว กลับดูเข้มแข็งขึ้นมาทันที
หยู่เหวินเห้าพรุ่งนี้ถึงได้กลับมา เมื่อเข้ามาในจวน ลู่หยาก็ไปรายงานหยวนชิงหลิงเลย หยวนชิงหลิงนอนไม่หลับทั้งคืนเลย ได้ยินว่าเขากลับมา ก็รีบร้อนวิ่งออกไป
หยู่เหวินเห้าเห็นเสื้อผ้านางยังไม่เรียบร้อย อดไม่ได้ที่จะทำหน้าบึ้ง “ทำไมวิ่งออกมาแบบนี้ล่ะ?”
หยวนชิงหลิงเพิ่งจะเห็นว่าหยู่เหวินเห้าไม่ได้กลับมาคนเดียว ยังมีมู่หรงกงกงกับสองคนที่นางไม่รู้จัก ดูแล้วเหมือนพ่อครัว
หน้ารีบก้มหน้าลง กล่าวอย่างน่าสงสาร “เมื่อวานท่านอ๋องไม่อยู่ ข้ากลัว”
เหมาะสมกับท่าทางของคนที่ถูกทำร้าย
มู่หรงกงกงกล่าวด้วยความเห็นใจ “พระชายาเพิ่งจะผ่านเรื่องร้ายๆมา ในใจมีความกลัวก็เป็นเรื่องปกติ ท่านอ๋องก็อย่าตำหนินางเลย”
ขอบคุณท่านมู่หรงกงกง หยวนชิงหลิงกล่าวด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า
มู่หรงกงกงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ฮ่องเต้ทราบว่าพระชายาบาดเจ็บ ก็เลยสั่งให้ส้งพ่อครัวในวังสองคนมาช่วยดูแลเรื่องอาหารการกินของพระชายา ช่วยพระชายาในการพักฟื้นร่างกาย พระชายาอยากจะกินอะไรก็สั่งเขาสองคนได้เลย”
“รบกวนท่านกงกงช่วยข้าขอบคุณฮ่องเต้ด้วย!” หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างปลาบปลื้มใจ
“พวกเรารับพระบัญชาเพื่อมาเยี่ยมพระชายา พระชายาอาการเป็นอย่างไรบ้าง?”
หมอหลวงที่ถูกเชิญมานานแล้วก็กล่าวขึ้น “กงกง อาการพระชายาหนักมาก บาดเจ็บตรงหัว เสียเลือดมาก จริงๆยังไม่ควรลงจากเตียง แต่พระชายาผ่านการตกใจมาอย่างหนัก กลางก็คืนนอนไม่หลับ ได้ยินว่าท่านอ๋องกลับมา จึงได้วิ่งออกมาทันที พระชายาวิ่งแบบนี้รู้สึกเวียนหัวหรือไม่?”
“เวียนหัว เวียนหัวมาก!” หยวนชิงหลิงรีบจับตัวหยู่เหวินเห้าเอาไว้ “เมื่อกี้ไม่รู้สึก หยุดเดินแล้วก็รู้สึกเวียนหัวมากเลย”
“เด็กๆ มาพยุงพระชายากลับห้อง” หยู่เหวินเห้าออกคำสั่ง
ลู่หยารีบเดินขึ้นมาพยุงหยวนชิงหลิง หยวนชิงหลิงเอนตัวลงไปพิงลู่หยาที่เตี้ยกว่านางเกือบครึ่ง ค่อยๆเดินกลับไปที่ห้อง
มู่หรงกงกงส่ายหัวอย่างสงสาร “น่าสงสารจริงๆ นี่แค่ไม่เจอพระชายาเพียงไม่กี่วัน ก็ผอมไปมากขนาดนี้”
หยู่เหวินเห้าหัวเราะในใจ น่าสงสาร? ไม่รู้สึกจริงๆเลย มีแค่ความขยะแขยง ความเกลียด
หลังจากส่งมู่หรงกงกงแล้ว หยู่เหวินเห้าก็ไปที่หอเฟิ่งหยี
เพิ่งจะเข้าประตูมา ก็เห็นหมาดำตัวใหญ่วิ่งเข้าหา ขวางทางเอาไว้ เห่าไปทางเขาอย่างดุร้าย ปมที่กลัวหมาก็กลับมาอีกครั้ง เข่าเกือบจะอ่อนแล้ว
หยวนชิงหลิงที่อยู่ข้างประตู ก็กล่าว “ตอเป่า อย่าดุ คนรู้จัก พ่อของเจ้า”
“เจ้าสิพ่อของมัน” หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้ว “ใครพามันมา? รีบพากลับไปเลย”
หยวนชิงหลิงกล่าว “ตอเป่า ไปเล่นไป”
ตอเป่าเชื่อฟัง กระดิกหางแล้วออกไป
“ตอเป่า? ยังมีชื่ออีกด้วย?” หยู่เหวินเห้ากล่าวอย่างโมโห
“ท่านโกรธหมาทำไม?” หยวนชิงหลิงกล่าว
“จวนอ๋องห้ามเลี้ยงหมา มีมันก็ไม่มีข้า” หยู่เหวินเห้าเดินเข้าไป ตักเตือนนางด้วยสายตาที่ดุเดือด
หยวนชิงหลิงเข้าไปพร้อมกับเขา เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เรื่องเป็นยังไงบ้าง?”
หยู่เหวินเห้านั่งลง ใบหน้าที่หล่อเหลาดูหม่นหมอง “เสด็จพ่อไต่สวนข้ามคืน ตอนแรกเขาไม่ยอมรับ บอกว่าไม่รู้ว่าเจ้าคือพระชายา ตอนแรกเสด็จพ่อจะเรียกให้เจ้าเข้าวัง แต่สุดท้ายโสวฝู่ฉู่ไต่สวนด้วยตัวเอง เขายอมรับแล้ว”
“ยอมรับแล้ว? แล้วจะรู้โทษยังไง?” หยวนชิงหลิงถาม
“ได้ถูกนำตัวไปขังในคุกแล้ว สำหรับจะลงโทษยังไง ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะยุ่งเกี่ยวได้ แต่ว่าครั้งนี้เสด็จพ่อโกรธมาก บวกกับพฤติกรรมที่โอหังก่อนหน้านี้ เกรงว่าคงไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ”
หยวนชิงหลิงสงสัยเล็กน้อย “โสวฝู่ฉู่ทำไมต้องให้เขายอมรับด้วย?”
ถ้ายอมรับไปแล้ว ก็จะไม่สามารถแก้ตัวได้อีก
“เสด็จพ่อจะเบิกตัวเจ้า เห็นได้ชัดว่าเชื่อคำพูดของข้า คำให้การของเจ้าเชื่อว่าโสวฝู่ฉู่ต้องเดาได้อย่างแน่นอน ช้าเร็วก็ต้องยอมรับผิด ยอมรับแต่เนิ่นๆยังมีโอกาสอ้อนวอน หากเสด็จพ่อเห็นเจ้าที่บาดเจ็บไปทั้งร่าง ก็คงจะจินตนาการได้ว่าเจ้านั้นถูกเจ้าพระยาหุ้ยติ่งทำร้ายอย่างไร เกรงว่าท่านคงจะฆ่าเจ้าพระยาหุ้ยติ่งตอนนั้นเลย ไม่ว่ายังไงเจ้าก็เป็นสะใภ้ของราชวงศ์ ครั้งนี้การกระทำของเจ้าพระยาหุ้ยติ่งนั้นถือเป็นการตบหน้าของเสด็จพ่อ”
หยวนชิงหลิงกล่าว “ฆ่าเขานั้นถือว่าปรานีมากไปแล้ว”
หยู่เหวินเห้ามองนาง “คดีนี้แม้ว่าเสด็จพ่อจะสั่งให้ไต่สวนอย่างลับๆ แต่ปากของคนในตระกูลฉู่นั้นปิดไม่มิดหรอก เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าต่อไปเจ้าจะต้องเผชิญกับสายตาเหล่านั้นยังไง?”
“ไม่เคยคิด” หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างไม่แยแส
“อย่าทำเป็นมั่นใจไปนักเลย ไม่มีคนที่ไม่สนใจหรอก” หยู่เหวินเห้ากล่าวด้วยแววตาที่คมกริบ
“จะสนใจหรือไม่สนใจ ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ข้าหนีออกมาจากจวนเจ้าพระยา ยังมีรอดชีวิตอยู่ สามารถมีชีวิตอีกครั้ง ถือเป็นของขวัญที่ดีสำหรับข้าแล้ว ข้าจะไปสนใจหรือไม่สบายใจกับเรื่องซุบซิบที่คนอื่นพูดทำไมกัน?”
หยู่เหวินเห้ามองนาง ไม่ยอมรับไม่ได้แล้ว “เจ้าเปลี่ยนไปมากจริงๆ”
หยวนชิงหลิงหัวเราะ “เปลี่ยนแล้วไม่ดีเหรอ?”
เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ได้น่ารังเกียจมากขนาดนั้น
“เปลี่ยนไปจนน่ารังเกียจ” หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้วกล่าว
“ปากกับใจไม่ตรงกัน!” แวบเดียวหยวนชิงหลิงก็มองทะลุแล้ว ยิ้มกล่าว
หยู่เหวินเห้าทำหน้าบึ้ง เอามือไขว้หลัง เดินออกไปเหมือนคนแก่ที่จริงจัง