บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 106
ในวัง
ทั้งวันมานี้ฮ่องเต้หมิงหยวนเต็มไปด้วยไฟโกรธ โกรธจนแน่นหน้าอก
ความเย่อหยิ่งโอหังของตระกูลฉู่ มันเลยความคิดของเขาไปแล้ว
อำนาจของตระกูลฉู่ บัดนี้ก็ได้บีบอำนาจของราชวงศ์โดยตรง โสวฝู่ฉู่เป็นที่เคารพในอดีต แต่วันนี้เขาได้พูดมาคำหนึ่ง ทำให้ฮ่องเต้เข้าใจ ตระกูลฉู่นั้นได้คุกคามอำนาจและดินแดนของตระกูลหยู่เหวินแล้ว
โสวฝู่ฉู่ตำหนิเจ้าพระยาหุ้ยติ่งอย่างขมขื่น บอกว่าเขานั้นอยู่ในตำแหน่งที่สูง ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ กลับถูกผู้ใต้บัญชายุยง ทำเรื่องที่ทำให้คนและเทพพระเจ้ายังโกรธเคือง ทำให้ตระกูลฉู่เสียชื่อเสียง
ชื่อเสียงของตระกูลฉู่? แล้วชื่อเสียงของราชวงศ์ล่ะ?
เขาฟังออกว่าพ่อตาคนนี้พูดก็แค่พูดไปอย่างนั้น เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่สามารถทำให้เขาคิดได้ จะเห็นได้ว่า สำหรับเขาแล้ว ชื่อเสียงของตระกูลฉู่นั้นสำคัญกว่าชื่อเสียงของราชวงศ์
สมาชิกวัยกลางคนของตระกูลฉู่ ล้วนมีตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก และเด็กหนุ่มรุ่นใหม่ของตระกูล ก็ได้เริ่มประสบการณ์ทางทหาร เดินตามเส้นทางทหารของเจ้าพระยาหุ้ยติ่ง
แล้วลูกชายเหล่านั้นของเขาล่ะ? เกรงว่าคงมัวแต่คิดเรื่องแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาท ใครจะมาสนใจเรื่องที่ตระกูลฉู่กำลังข่มขู่อยู่?
มีเพียงเจ้าห้าเท่านั้น
เจ้าห้าไม่เอาแม้กระทั่งชื่อเสียงของตัวเองและของพระชายา ก็ต้องดึงเจ้าพระยาหุ้ยติ่งลงมาให้ได้ จะเห็นได้ว่าเจ้าห้าเป็นคนที่มีสติที่สุด
เขาปฏิเสธที่จะแต่งงานกับฉู่หมิงหยาง น่าจะเป็นเพราะเห็นถึงสิ่งนี้ เมื่อเขากับตระกูลฉู่ถูกผูกมัดด้วยผลประโยชน์ เขาก็จะถูกหลอมรวมอย่างง่ายดาย ไม่ถูกหลอมรวม ก็จะถูกพันธนาการแขนขา
เขาอยากจัดการเจ้าพระยาหุ้ยติ่งนานแล้ว แต่เขาเป็นแม่ทัพที่มีความดีความชอบใหญ่หลวง ความผิดทั่วไปไม่สามารถทำอะไรเขาได้ วันนี้เขากระทำตัวเอง กล้าที่จะลักพาตัวเมียของเจ้าห้ากลางถนน
ฮ่องเต้หมิงหยวนก็หรี่ตาลงทันที เมียของเจ้าห้าเป็นพระชายา ตามหลักต่อให้ออกไปทำธุระก็ไม่น่าจะแต่งกายด้วยเครื่องแบบผู้ชายและไปคนเดียว เขาคิดถึงคำพูดของจิ้งเหยียน ครั้งนี้หากไม่ใช่พระชายาไหวพริบดี หนีออกมาในเวลาที่เหมาะสม เกรงว่าท่านอ๋องก็คงจะตกหลุมพรางที่เจ้าพระยาหุ้ยติ่งวางเอาไว้แล้ว
“ไปที่ตำหนักฉินคุน!” ฮ่องเต้หมิงหยวนกะพริบตา กล่าวรับสั่ง
เสด็จพ่อต้องรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน เขามีหูมีตาตั้งมากมาย ตั้งแต่ไหนแต่ไรเรื่องในวังก็ไม่มีเรื่องไหนที่จะสามารถปิดบังเขาได้
และคนที่เข้าใจเจ้าห้ามากที่สุดก็คือไท่ซ่างหวง
วันนี้เสด็จดูแข็งแรงดี ออกมาเดินชมดอกไม้ไปสองรอบ แล้วก็นั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ ตากแดดอย่างเงียบๆ
เมื่อเห็นฮ่องเต้หยวนหมิงมา เขาไม่แปลกใจเลยสักนิด กลอกตาไปหนึ่งที “มาแล้วรึ!”
“เสด็จพ่อ!” ฮ่องเต้หมิงหยวนเข้าไป ทำความเคารพ
ฉางกงกงยกเก้าอี้มา “ฮ่องเต้ เชิญนั่งพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนนั่งลง ก็กล่าวอย่างรีบร้อน “เรื่องของเจ้าพระยาหุ้ยติ่ง เสด็จพ่อทราบหรือยัง?”
“ทราบแล้ว!” นิ้วมือที่ผอมยาวของไท่ซ่างหวงเคาะบนเข่าไปหลายที ดูสบายๆ “ครั้งนี้หลานห้าทำได้ดีมาก ในอดีตเจ้าพระยาหุ้ยติ่งนั้นดูถูกหลานห้ามากแค่ไหน วันนี้ เขาพ่ายแพ้อยู่ในมือของหลานห้า ก็ถือว่าตอนนั้นเขามีตาแต่ไร้แววแล้ว”
ฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าว “หากพูดว่าดี ก็ไม่ถือว่าดี อย่างน้อย ก็ได้ดึงชื่อเสียงของเมียเจ้าห้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย”
“บางทีเป็นเพราะเขาเต็มใจล่ะ?” ไท่ซ่างหวงมองเขา
ฮ่องเต้หมิงหยวนถามอย่างลองเชิญ “ทำไม่เสด็จพ่อจึงคิดเช่นนี้?”
ไท่ซ่างหวงหัวเราะ “ฮ่องเต้อยากจะถาม นี่มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นแผนการของหลานห้า?”
จุดประสงค์ของฮ่องเต้หมิงหยวนถูกมองออก ก็ลำบากใจทันที “เอ่อ ลูกไม่คิดว่าเจ้าห้าจะมีความสามารถนี้”
“ผัวเมียน้ำหนึ่งใจเดียว สามารถพิชิตทุกสิ่งอย่าง” ไท่ซ่างหวงเอียงหัวไปมา ฮัมเพลงอยู่ไปด้วย
ฮ่องเต้หมิงหยวนครุ่นคิด
ไท่ซ่างหวงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เจ้ามีอะไร ทำไมไม่คุยกับลูกโดยตรง? ทำไมต้องมาแอบถามข้าด้วย สิ่งที่ข้ารู้ ก็เป็นสิ่งที่เจ้ารู้ สิ่งที่ข้าไม่รู้ บางที่เจ้าอาจจะรู้ ลูกเป็นของเจ้า ลูกเป็นยังไง เจ้าไม่รู้เลยเหรอ?
ฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าว “เจ้าห้านั้นโดดเด่นจริงๆ เหมือนข้าในตอนนั้น”
“เจ้าในตอนนั้นเมื่อเทียบกับเขายังห่างไกลกันนะ !” ไท่ซ่างหวงตำหนิอย่างไม่ปรานี
“เสด็จพ่อ มีพ่อที่ไหนกันมองลูกตัวเองเช่นนี้?” ฮ่องเต้หมิงหยวนยกมือขึ้น คัดค้าน
“แล้วเจ้ามองลูกของเจ้ายังไง? ในอดีตเจ้ากับพี่น้องของเจ้า ต่อให้จะเก่งกาจสามารถแค่ไหน อยู่ในสายตาข้า ยังไงมันก็ไม่พอ ยังสามารถดีขึ้นได้อีก วันนี้ความรู้สึกของเจ้าก็เหมือนข้าในตอนนั้น”
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองไท่ซ่างหวงอย่างเพ่งพิจารณา “แล้วตอนนี้เสด็จยังคิดเช่นนั้นอยู่หรือไม่?”
ปัญหาข้อหนึ่งที่เขาไม่เคยคิดเลย ก็คือเสด็จพ่อนั้นพอใจกับการที่เขาเป็นฮ่องเต้หรือไม่?
ไท่ซ่างหวงมองเขา จู่ๆก็หัวเราะขึ้นมา หัวเราะจนฮ่องเต้หมิงหยวนขนลุกซู่
ไท่ซ่างหวงลุกขึ้นอย่างช้าๆ ตบไปที่ไหล่ของเขาแล้วกล่าว “วันนี้ความกระวนกระวายของเจ้า ก็คือความกระวนกระวายในใจของเหล่าลูกชายเจ้า”
ฮ่องเต้หยวนหมิงลุกขึ้นมา “เสด็จพ่อ เรื่องนี้ควรจะ………..”
ไท่ซ่างหวงหันกายจากไป “ใครจะไปรู้ล่ะ? แต่ข้าได้ยินมาว่าเดิมเจ้าพระยาจิ้งมีความคิดที่จะให้ลูกสาวคนรองแต่งงานกับเจ้าพระยาหุ้ยติ่ง เจ้าพระยาจิ้งคนนี้ก็ช่างเป็นคนที่ตลกนัก หากในเวลาที่มองสถานการณ์ในราชสำนักไม่ชัดเจน เพียงแค่มองคนอย่างพวกเจ้าพระยาจิ้ง หางของพวกเขากระดิกให้ใคร คนผู้นั้นก็จะเป็นคนที่มีอำนาจบารมี”
ฮ่องเต้หมิงหยวนด่าเจ้าพระยาจิ้งในใจ เกี่ยวดองกับคนประเภทนี้ ช่างน่าอายเสียจริง
ฮ่องเต้หมิงหยวนโค้งตัวแล้วจากไป
การมาครั้งนี้ ทำให้เขาเข้าใจแล้ว
ดูแล้ว เขานั้นประเมินเจ้าห้าต่ำเกินไป
เจ้าพระยาจิ้งจะยกลูกสาวให้แต่งงานกับเจ้าพระยาหุ้ยติ่ง ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งของพระชายากับน้องสาว ออกหน้าช่วยนางโดยไม่ลังเล เจ้าห้าอาศัยโอกาสนี้ ตัดแขนข้างหนึ่งของตระกูลฉู่
เมื่อคิดแบบนี้ ความโกรธก็หายไปเยอะเลย กลับรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่น่าดีใจสุดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้
ฮ่องเต้หมิงหยวนมีความสุขในใจ รับสั่งให้ประทานอาหารชั้นเลิศและเครื่องประดับมากมายแก่พระชายาฉู่ ใช้พระกรุณาธิคุณของฮ่องเต้มาพิสูจน์ว่านางยังคงบริสุทธิ์ แม้จะเคยตกอยู่ในมือของเจ้าพระยาหุ้ยติ่งก็ตาม
ฮ่องเต้หมิงหยวนที่ประทานของให้กับพระชายาฉู่ ทำให้ประตูจวนอ๋องฉู่มีคนเข้ามาต่อเนื่องอย่างไม่สิ้นสุด
ชุดแล้วชุดเล่าเข้ามาถามถ่าย มาปลอบใจ มามอบของขวัญ ในเวลาเดียวกันก็ตำหนิความบ้าคลั่งโหดร้ายของเจ้าพระยาหุ้ยติ่ง
หยวนชิงหลิงปั้นหน้ายิ้มตลอดเวลาเพื่อยืนยันว่าไม่เป็นอะไร ยิ้มไปขึ้นค่อนวัน จนหนังหน้าชาไปหมดแล้ว
ทำได้เพียงอ้าปากหายใจเหมือนตอเป่า เหลือเพียงแค่ไม่ได้แลบลิ้น
ไม่ง่ายเลย กว่าจะถึงเวลาพลบค่ำ ถือว่าได้รับหน้าไปหมดแล้ว
ก้นนางเพิ่งจะนั่งลงบนเก้าอี้ ดื่มชาไปคำใหญ่ กำลังจะงีบสักพัก ก็ได้ยินลู่หยาวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน “พระชายา ท่านอ๋องซุนเสด็จมา”
หยวนชิงหลิงพิงอยู่บนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง ยกมือขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง “ไม่พบได้มั้ย?”
“มาที่หอเฟิ่งหยีโดยตรงแล้ว”
“มาที่นี่? แย่แล้ว แย่แล้ว” หยวนชิงหลิงลุกขึ้น “งั้นไปที่ห้องโถงด้านข้างเถอะ พระชายาซุนมาด้วยหรือไม่?”
“ท่านอ๋องซุนมาคนเดียว”
หยวนชิงหลิงตกใจไปครู่หนึ่ง ส่วนใหญ่ไปเยี่ยมไข้ต้องพาเมียไปด้วย ทำไมเขาถึงมาตัวคนเดียว?
นางสนิทกับอ๋องซุนขนาดนั้นเลยเหรอ?
ก็ออกไปอย่างร้อนใจ สั่งคนพาอ๋องซุนไปห้องโถงด้านข้าง อ๋องซุนกุมมือเข้ามาในห้องโถง เหมือนคนแก่มองดูไปรอบๆครู่หนึ่ง จากนั้นก็มายืนอยู่หน้าโต๊ะ ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“น้องสะใภ้ดีขึ้นบ้างหรือยัง?” เขาถามอย่างเรียบเฉย
“ขอบคุณท่านพี่รองที่เป็นห่วง ดีขึ้นมากแล้ว” หยวนชิงหลิงย่อตัวกล่าว
อ๋องซุนนั่งลง “อืม ดีแล้ว”
หยวนชิงหลิงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ทำได้เพียงถามอย่างลำบากใจ “ท่านพี่สะใภ้ไม่ได้มากับท่านพี่รองเหรอ?”
“นางไม่รู้ว่าข้ามาที่นี่”
“อ้อ!”
ลู่หยายกชาเข้ามา “ท่านอ๋องเชิญดื่มชา”
ท่านอ๋องถอนหายใจไปหนึ่งที “ชานี้กัดกระเพาะ ท้องว่างดื่มชาไม่ได้ มีอย่างอื่นมั้ย?”
“อย่างอื่น?” ลู่หยาไม่เข้าใจ
“พวกของว่างน่ะ” อ๋องซุนกล่าว
“มี มีเจ้าค่ะ!” ลู่หยารีบโค้งคำนับ “ท่านอ๋องโปรดรอสักครู่ ข้าน้อยจะไปเตรียมเดี๋ยวนี้”
“พ่อครัวในวังเป็นทำใช่มั้ย?” สองมือที่สอดอยู่ในแขนเสื้อก็ถูกยื่นออกมา มือที่อวบอ้วนเหมือนหวีกล้องหอมที่สั้น เปล่งความวาวออกมา
“เอ่อ……..ก็มี ก็มี” ลู่หยากล่าว
“ในเมื่อมีของว่าง งั้นก็ทำกับข้าวเพิ่มมาอีกสักสองอย่าง ข้ายังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย”
“ท่านพี่รองยังไม่ได้กินอาหารเช้าเหรอ?” ตอนนี้ก็ใกล้เวลาอาหารเย็นแล้ว
“ลดความอ้วนอยู่ กินเยอะไม่ได้” อ๋องซุนกล่าวอย่างเรียบเฉย