บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 111
อ๋องซุนเดินเข้าไปในห้องช้าๆ พลางบ่นพึมพำ “เจ้าห้าก็คงรู้สึกไม่ดีเป็นแน่ในบรรดาอ๋องมากมาย ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอ๋องหวยดูจะดีที่สุดแล้วล่ะ”
ยามพลบค่ำ หยู่เหวินเห้าก็ไปยังจวนอ๋องหวยรอบหนึ่ง กลับมาได้ก็เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องหนังสือไม่ยอมออกมากระทั่งข้าวเย็นก็ไม่ยอมกินด้วยซ้ำ
หยวนชิงหลิงเองก็ไม่ได้กินเช่นกัน เมื่อบ่ายได้กินพร้อมกับอ๋องซุนไปมื้อหนึ่ง จนถึงตอนนี้นางยังท้องอืดอยู่เลย
ช่วงนี้ความอยากอาหารของนางไม่ค่อยดีนัก อีกทั้งอาหารโบราณนั้น ก็เป็นอะไรที่ทำให้เลี่ยนง่ายจริงๆ
หยู่เหวินเห้ายังคงเก็บตัวอยู่ในห้องหนังสือ นางเองก็เก็บตัวอยู่ในห้องด้วยเช่นกัน นางเปิดกล่องยาและจัดเรียงยาในนั้นให้เป็นระเบียบ
กลุ่มยาปฏิชีวนะอันได้แก่ สเตรปโตมัยซิน ไรแฟมพิซิน เอทามบูทอล และไพราซินาไมด์ สี่ตัวนี้เป็นยาตัวใหม่
ในใจนางแอบรู้สึกลังเลไม่น้อย
การรักษาวัณโรคในระยะเริ่มต้น จำเป็นต้องใช้เวลาประมาณสามเดือนถึงครึ่งปีเป็นอย่างต่ำ แต่นางไม่รู้ว่าอ๋องหวยนั้นเริ่มป่วยมานานแค่ไหนแล้ว ทั้งยิ่งไม่รู้ว่าเชื้อวัณโรคนี้ มีการแพร่กระจายไปยังที่อื่นด้วยหรือไม่
ยาในกล่องยา มีพอให้เขาใช้ได้ราว ๆ สิบวัน แต่เมื่อไรก็ตามที่เริ่มใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษา จะไม่สามารถหยุดให้ยากลางคันได้ เพราะหากหยุดยาไปกลางคัน ร่างกายจะเกิดการดื้อยาขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้น ต่อให้กลับมาเริ่มรับการรักษาอีกครั้ง โอกาสที่จะรักษาให้หายขาดได้ก็มีไม่สูงแล้ว
นางไม่อาจรับรองได้ว่า กล่องยาจะทำการเติมยาที่ใช้รักษาวัณโรคเข้ามาแบบสม่ำเสมอหรือไม่ เพราะกล่องยานั้นเป็นเอกเทศ นับเป็นสิ่งที่นางไม่อาจควบคุมได้ หากขาดยากลางคันขึ้นมา อ๋องหวยก็คงถึงคราวไร้หนทางช่วยเหลือได้แล้วเป็นแน่
ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่รู้ว่าอ๋องหวยจะมีอาการแทรกซ้อนที่มาจากวัณโรคร่วมด้วยหรือไม่
หากอ๋องหวยไม่ได้รับการรักษาจากนาง แล้วปล่อยให้เวลาเดินถอยหลังไปทีละก้าวๆ ตามชะตาชีวิตของเขาที่เหลืออยู่ จนกระทั่งถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต แน่นอนว่านั่นย่อมไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางทั้งสิ้น อย่างมากที่สุดเมื่อถึงเวลานั้น นางก็แค่มอบผ้าไหมทองสักผืน จุดธูปหอมเคารพหน้าป้ายวิญญาณสักดอก ร้องไห้ให้กับน้องชายสามีผู้นี้สักหน่อยก็จบเรื่องแล้ว
แต่ถ้านางมีส่วนร่วมในการรักษา สุดท้ายปรากฏว่าอ๋องหวยเกิดตายขึ้นมา เช่นนั้นแล้ว…
เรื่องที่เกี่ยวกับบรรดาราชวงศ์องค์เจ้าทั้งหลาย ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ควรเข้าไปแตะต้องข้องเกี่ยวง่ายๆ ตามอำเภอใจ หากรักษาไม่หาย คนที่ต้องหัวขาดก็คือหมอหลวง และถึงแม้นางอาจจะไม่ถึงขั้นหัวขาดตามไป แต่จุดจบก็คงเป็นอะไรที่ไม่สวยแน่ พอนึกย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่รักษาอาการประชวรให้แก่ไท่ซ่างหวง ก็นึกเสียใจในความวู่วามอารมณ์ร้อนแบบเด็กๆ ของตัวเองเสียจริงเชียว!
เพียงแต่ หากนางปล่อยผ่านไปไม่สนใจไยดี ก็เท่ากับว่านางเห็นคนจะตายแต่ไม่ช่วย เช่นนั้นแล้วนางจะกำจัดความรู้สึกผิด ที่เกิดจากมโนธรรมในใจตัวเองไปได้อย่างนั้นหรือ?
หยวนชิงหลิงนั่งอยู่บนโต๊ะเตี้ยข้างเตียง พร้อมกับอุ้มเจ้าตอเป่าไว้ “เจ้าว่า ข้าควรจะทำอย่างไรดีล่ะ หืม?”
บาดแผลบนตัวเจ้าตอเป่านั้นหายดีแล้ว แต่ขนรอบๆ บาดแผลเริ่มจะหลุดร่วงไป จึงมีลักษณะกระดำกระด่างเหมือนเป็นโรคเรื้อน ทั้งยังทิ้งรอยแผลเป็นไว้ไม่น้อยอีกด้วย
“โฮ่งๆ ๆ!” เจ้าตอเป่าใช้จมูกตัวเอง ถูไถเข้ากับฝ่ามือของนาง
“ทำในสิ่งที่ข้าอยากทำเช่นนั้นรึ ช่างเถอะ ถามเจ้าก็เหมือนไม่ได้ถามนั่นแหละ เจ้าก็แค่สุนัขตัวหนึ่ง จะไปรู้อะไรล่ะ?”
“โฮ่งๆ ๆ!” ตอเป่าเห่าประท้วง อย่าลืมสิ ว่าใครเป็นคนช่วยเจ้าออกมาจากจวนเจ้าพระยาหุ้ยติ่งน่ะ!
หยวนชิงหลิงยิ้ม ตบหัวมันเบาๆ แล้วพูดว่า “รู้แล้วๆ ไม่ต้องมาทวงบุญคุณหน่อยเลยน่า เดี๋ยวจากนี้ไปจะให้กินน่องไก่น่องใหญ่ๆ เลยดีหรือไม่”
เจ้าตอเป่าดีใจจนวิ่งวนเป็นวงกลมอย่างมีความสุข
บาดแผลของหยวนชิงหลิงเกือบจะหายดีทั้งหมดแล้ว และพ่อครัวหลวงก็กลับไปที่วังแล้วเช่นกัน
อ๋องซุนไม่รู้ว่าเขายังต้องมาอีกในวันรุ่งขึ้น เมื่อหยวนชิงหลิงบอกเขาว่าคนครัวหลวงกลับวังไปแล้ว เขาตกใจจนถึงกับจนผงะไปชั่วครู่ แทบจะร้องไห้โฮออกมาอยู่แล้ว หากรู้เช่นนี้ เมื่อวานเขาน่าจะกินให้มากๆ หน่อยเสียก็ดี
“อาหารทั้งหวานคาวในวัง ตอนที่ท่านอ๋องยังเด็กก็คงได้กินมาไม่น้อยแล้วเป็นแน่ เหตุใดท่านถึงได้พิสมัยมันนักล่ะเพคะ?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถาม
อ๋องซุนตอบด้วยท่าทางซังกะตาย คล้ายวิญญาณหลุดลอย “ตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าไม่รู้จักหวงแหนเวลาอันมีค่า คิดแค่ว่าอาหารอร่อยๆ ทั่วหล้านี้ จะที่ไหนก็ล้วนเหมือนกันหมด ภายหลังเมื่อข้าได้รับจวนของตัวเอง จึงได้รู้ว่าเสด็จพ่อได้ทรงรวบรวมพ่อครัวที่เก่งที่สุดในใต้หล้า ไปไว้ในวังหลวงจนหมดสิ้นแล้วน่ะสิ”
เขาโบกมือ “ช่างเถอะ ไม่สู้ข้าเอาเวลาไปเยี่ยมเจ้าหกเสียยังดีกว่า”
หัวใจของหยวนชิงหลิงเต้นระทึก ” ท่านอ๋องพอจะพาข้าไปที่นั่นด้วยได้หรือไม่เพคะ?”
อ๋องซุนมองนางอย่างนึกประหลาดใจ “เหตุใดเจ้าจึงไม่ไปกับเจ้าห้าล่ะ วันนี้เจ้าห้าก็ไปที่นั่นด้วยนะ”
“เขาไม่ได้กลับไปที่ศาลาว่าการหรือเพคะ ข้าไม่รู้ว่าเขาไป ยังคิดอยู่ว่าเขากลับไปที่ศาลาว่าการแล้วเสียอีก” ในช่วงสองวันที่ผ่านมา หยวนชิงหลิงไม่ได้พบหน้าเขาเลย บางทีเขาก็อาจจะยุ่งมากเช่นกัน
“ข้าเผอิญไปพบเขาข้างนอก เขาบอกข้าว่าเขาไปที่นั่นมา เกรงว่าคงไม่ได้กลับไปที่ศาลาว่าการหรอกกระมัง เพราะถึงอย่างไร เรื่องของจวนเจ้าพระยาหุ้ยติ่ง ก็จัดการจนเสร็จสิ้นหมดแล้วนี่”
“จัดการเสร็จแล้วหรือ ถูกตัดสินแล้วหรือเพคะ?” เร็วขนาดนี้เชียวหรือ คดีใหญ่แบบนี้ นางยังคิดว่าคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็สักเดือน หรือสองเดือนเป็นอย่างต่ำ
“ถูกถอดบรรดาศักดิ์เจ้าพระยา ลดชั้นไปเป็นชนชั้นสามัญ แล้วตัดสินเนรเทศ”
ยังปล่อยให้เขามีชีวิตรอดไปได้อีก ช่างให้อภิสิทธิ์กันเสียจริงนะ เขาทำให้ผู้หญิงต้องตายไปตั้งมากมายเท่าไร
“เจ้าห้าไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเจ้าอย่างนั้นรึ?” อ๋องซุนเอ่ยถาม
“ช่วงนี้ข้าได้พบพี่รองบ่อยกว่าที่ได้พบเขาเสียอีกเพคะ”
“เช่นนั้น ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรสามีภรรยาของพวกเจ้าก็ไม่ค่อยดีน่ะสิ?” อ๋องซุนขมวดคิ้วมุ่น
หยวนชิงหลิงพูดแบบสรุปใจความสั้นๆ ว่า “ไม่ตีกันก็ถือว่าเป็นสามีภรรยาที่รักกันดีแหละ”
อ๋องซุนจ้องมองนาง “พวกเจ้าสองคนตีกันบ่อยหรือ?”
“จะเป็นไปได้อย่างไรล่ะเพคะ ข้ากับท่านอ๋องเป็นสามีภรรยาที่รักกันดี เขาตัดใจทำร้ายข้าลงเสียได้ที่ไหนกัน?” หยวนชิงหลิงเดินเข้าไปด้านใน “พี่รองรอข้าสักครู่นะเพคะ ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปกับท่านด้วย”
อาการของอ๋องหวยทรุดหนักมากแล้ว และถึงแม้ความสัมพันธ์พี่น้องจะไม่ได้ลึกล้ำมากมายอะไรนัก แต่พวกเขาต่างก็พากันมาเยี่ยมเยียนตามมารยาท
ตอนที่หยวนชิงหลิงไปถึงที่นั่น มีคนมากมาย รวมถึงบรรดาญาติสนิทเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย ซึ่งนางไม่รู้จักอยู่หลายคน ในจำนวนนั้นก็มีเจ้าหญิงที่มาด้วยอีกไม่น้อย
อ๋องซุนเข้าไปแล้ว แน่นอนว่าหยวนชิงหลิงไม่สามารถแทรกตัวเข้าไปได้ จึงทำได้เพียงเดินวนเวียนไปรอบๆ ไปประมาณสองรอบ แต่ก็ไม่พบหยู่เหวินเห้า
ในตอนที่นางเดินเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกนั้นเอง ก็ได้พบกับฉู่หมิงชุ่ยที่เดินออกมาจากข้างใน ดวงตาทั้งสองข้างของนางล้วนเป็นสีแดงก่ำ
ฉู่หมิงชุ่ยปรายตามองนางเพียงแวบเดียว ก็หันหลังแล้วเดินจากไปทันที
เจ้าหญิงโล่ผิงกับเจ้าหญิงฉินผิง ต่างก็ทยอยออกมาพร้อมกับบรรดาราชบุตรเขย เจ้าหญิงทั้งสองเดินนำอยู่ด้านหน้าด้วยดวงตาสีแดงเรื่อ แต่ท่าทางของพวกนางยังคงเย่อหยิ่ง รักษาท่วงท่าอันงามสง่า คงศักดิ์ศรีและกิริยาของเจ้าหญิงไว้อย่างเหมาะสมทุกประการ
หยวนชิงหลิงก้าวถอยไปจนชิดทางเดินอีกด้านแล้ว ทั้งสี่คนเดินตรงดิ่งมาตามทางเดิน โดยไม่แม้แต่จะชายตามองนางแม้แต่หางตา
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ก็เห็นสาวใช้พยุงหลู่เฟย พระราชมารดาของอ๋องหวยเดินออกมา ใบหน้าของนางซีดเซียว ตาและจมูกล้วนแดงก่ำและบวมเป่งอย่างเห็นได้ชัด ดูคล้ายว่านางน่าจะผ่านการร้องไห้หนักๆ มาเป็นเวลานานมากทีเดียว
ระหว่างที่เดินออกมา นางก็ยังคงร้องไห้ไม่หยุด “ลูกของข้า ลูกชายที่น่าสงสารของข้า!”
หยวนชิงหลิงรู้สึกทนไม่ได้ ที่ต้องเห็นคนผมขาวมาส่งคนผมดำจากไป ย้อนนึกถึงตัวเอง ถ้าแม่ได้รู้ว่านางตายไปแล้ว ไม่รู้ว่าแม่จะโศกเศร้ามากมายขนาดไหน
นางถอนหายใจเบาๆ
“ลู่หยา เราไปกันเถอะ!” หยวนชิงหลิงเอ่ยขึ้น
ลู่หยารีบถามว่า “พระชายาไม่เข้าไปหรือเพคะ?”
“ไม่ดีกว่า” นางกลัวว่าถ้าเข้าไปแล้ว ตัวเองอาจจะทำอะไรที่มันหุนหันพลันแล่นอีกก็เป็นได้
นางไม่สามารถอาศัยโชคช่วยไปได้ตลอด เพราะถ้ารักษาอ๋องหวยไม่ได้ขึ้นมาจริงๆ นางก็ไม่อาจแบกรับผลที่จะตามมาได้ไหว
ไม่เข้าไปดีกว่า
เพิ่งจะหันหลังไป ก็เห็นคนคนหนึ่งวิ่งออกมาจากข้างใน แล้วไปทรุดนั่งอยู่บนขั้นบันไดหิน ยกมือขึ้นปิดปากแล้วร้องไห้อย่างเป็นทุกข์
เมื่อหยวนชิงหลิงเห็นนาง ในสมองก็พลันผุดชื่อขึ้นมาทันที เป็นเจ้าหญิงชางผิง หยู่เหวินหลิงนั่นเอง
หยู่เหวินหลิงเป็นพระธิดาของเสียนเฟย นับเป็นพี่น้องท้องเดียวกันกับหยู่เหวินเห้า
หยวนชิงหลิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง คิดในใจว่าควรจะเข้าไปพูดปลอบใจนางให้คลายทุกข์สักหน่อยดีหรือไม่
พลันเห็นหยู่เหวินเห้าเดินออกมาจากข้างใน เขาเองก็ไม่ทันสังเกตเห็นหยวนชิงหลิงเช่นกัน เดินออกมาได้ก็ไปนั่งลงข้างๆ หยู่เหวินหลิง ยกมือไปโอบไหล่นาง พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวดว่า “อย่าร้องไห้อีกเลยนะ เดี๋ยวเขาได้ยินเข้า จะยิ่งทำให้เขาเป็นทุกข์เสียเปล่าๆ ”
หยู่เหวินหลิงปาดน้ำตาลวกๆ ฝืนยิ้มอย่างยากลำบาก “ข้ารู้ ข้าก็ไม่อยากจะร้องไห้ แค่พอได้เห็นเขาพยายามล้อให้พวกเราหัวเราะ เพราะกลัวว่าพวกเราจะเศร้าเพราะเขา แต่ตัวเองกลับไอออกมาจนทรมานขนาดนั้น ข้าก็ทนต่อไปไม่ไหวจริงๆ”
หยู่เหวินเห้าถอนหายใจหนักๆ เงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นหยวนชิงหลิงที่ยืนเซ่อซ่า ทำอะไรไม่ถูกอยู่ที่นั่น
“ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ด้วยล่ะ?” หยู่เหวินเห้าถาม
“ข้ามากับพี่รองน่ะ” หยวนชิงหลิงเดินขึ้นมาข้างหน้า เอ่ยตอบเสียงเบา ใบหน้าของเขาดูซีดเซียวอย่างมาก สีหน้าย่ำแย่ดูไม่ได้ซะยิ่งกว่าตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บเสียอีก
“พี่สะใภ้ห้า!” หยู่เหวินหลิงยืนขึ้นค้อมกายคำนับ น้ำเสียงของนางทั้งหนักแน่นและจริงใจ
หยวนชิงหลิงค้อมกายคำนับกลับ “เจ้าหญิง!”
“อาการบาดเจ็บยังไม่หายดี อย่าเที่ยวเดินเพ่นพ่าน ลู่หยา พาพระชายากลับจวน” หยู่เหวินเห้าออกคำสั่ง
“เพคะ!” ลู่หยารับคำ
หยวนชิงหลิงพยักหน้า ” เช่นนั้น ข้าไปก่อนนะเพคะ”
นางก้าวเดินไปได้สองก้าว จู่ๆ ก็หันกลับมามองหยู่เหวินเห้า ทำท่าอึกอักลังเลคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง