บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 129
หยู่เหวินเห้าพลิกตัวลุกขึ้น สีหน้าท่าทางไม่เป็นมิตรสุดขีด “เจ้า…มาเอาผ้าปูที่นอนของข้าไปซักเดี๋ยวนี้”
สวีอีปิดตาข้างหนึ่ง พลางหันไปมองด้วยความตกใจ “ท่านอ๋อง นี่ท่านฉี่รดที่นอนอย่างนั้นรึ”
อีกหมัดถูกเหวี่ยงออกไปไม่รอช้า เบ้าตาอีกข้างจึงพลันเปลี่ยนเป็นสีดำปิ๊ดปี้เสมอกันในทันที
หยู่เหวินเห้าดื่มน้ำเย็นไปแก้วใหญ่ๆ ถึงค่อยฝืนระงับดับไฟในใจลงมาได้บ้าง
สวีอีถือผ้าปูที่นอนออกไปโดยด้วยใบหน้าอยากจะร้องไห้เต็มทน นี่ยังไม่รุ่งสางเลยแท้ๆ หนอ
ฉีลั่วเข้ามาปูเตียง แอบเหลือบมองหยู่เหวินเห้าอย่างระมัดระวัง เห็นเขานั่งอยู่บนดั่งด้วยใบหน้าโกรธจัด ใช้สายตาคมกริบจ้องมองนางไม่วางตา มองตั้งแต่หัวจรดเท้า มองจนในใจนางบังเกิดอาการขนลุกขนพองไปหมดแล้ว
วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับท่านอ๋องกันแน่ล่ะนี่
ฉีลั่วตกใจกลัวจนอกสั่นขวัญหาย ปูเตียงเสร็จก็รีบออกไปทันที
เมื่อหยู่เหวินเห้าเข้านอนอีกครั้ง เขาก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้งไปแล้ว
ไม่เคยมีครั้งไหน ที่เขาต้องถูกทรมานมากมายขนาดนี้มาก่อนเลย
สวีอีกำลังซักผ้าอยู่ที่ข้างบ่อน้ำ พลางร้องไห้สะอึกสะอื้นไปด้วย ทังหยางถือตะเกียงเข้ามาหา “นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือ ไม่คัดมารยาท ยุติธรรม ศีลธรรม เกียรติยศ แล้วเปลี่ยนมาซักผ้าปูที่นอนแทนรึ”
สวีอีช้อนสายตาโศกเศร้าราวภรรยาตัวน้อยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมมองมา “ทำไมใต้เท้าทังยังไม่นอนอีกล่ะขอรับ”
“ข้าหลับไปแล้วล่ะ แต่ได้ยินเสียงคร่ำครวญของเจ้าเลยตกใจตื่นน่ะสิ” ทังหยางนั่งลงข้างเขา “มันเกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ ทำไมเจ้าเอาแต่ทำให้ท่านอ๋องขุ่นเคืองใจไม่หยุดเลย”
สวีอีน้อยอกน้อยใจอย่างยิ่ง “ข้าก็ไม่รู้”
“เจ้านี่น่ะ ถ้ายังไม่รู้จักฮึดสู้เปลี่ยนแปลงตัวเองล่ะก็ ไม่ช้าก็เร็วท่านอ๋องจะต้องโยนเจ้าทิ้ง แล้วเปลี่ยนคนใหม่มาแทนที่เจ้าแน่” ทังหยางถอนหายใจเฮือก
สวีอีได้ยินเข้าก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ โยนผ้าปูที่นอนในมือทิ้งทันที “ใต้เท้าทัง ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงรึ ท่านอ๋องอยากเปลี่ยนข้าออกแล้วหรือ”
“หากเจ้าไม่ทำตัวให้ฉลาดกว่านี้สักหน่อย ก็ไม่แน่ว่าอาจจะถูกเปลี่ยนออกได้ตลอดเวลา” ทังหยางยักไหล่ “เจ้ารู้หรือไม่ ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรที่ต่อสู้แย่งชิง ยอมเลือดตกยางออก เพียงเพราะอยากจะมาเบียดในตำแหน่งพระชายาฉู่ของพวกเราน่ะ?”
สวีอีทรุดนั่งลงกับพื้น ท่าทางห่อเหี่ยวราวหัวใจแตกสลายไม่มีชิ้นดี
จะถูกทุบตีหรือดุด่าเขาก็ไม่ว่า แต่ได้โปรดอย่าเปลี่ยนเขาออก
เขารู้สึกเศร้าโศกอย่างใหญ่หลวง “แต่ข้าไม่ได้ตั้งใจไปแอบดูเขาฉี่รดที่นอนสักหน่อย”
ทังหยางหัวเราะพลางจิ้มหัวของเขาไปทีหนึ่ง “เจ้านี่นะ!ข้าล่ะสงสัยเหลือเกินว่าเจ้าเป็นผู้ชายจริงๆ หรือไม่ นี่เจ้าไม่เคยฝันถึงสาวงามในตอนเจ้าหลับบ้างเลยรึ”
สวีอีคล้ายรู้ตื่นขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน ตกใจจนคางร่วงลงมาอย่างน่าขัน “ใต้เท้าทัง เจ้าหมายถึง…ท่านอ๋องคิดถึงผู้หญิงแล้ว”
เขาคิดว่า เรื่องแบบนี้คงจะเกิดขึ้นแค่กับเขาเท่านั้น อย่างท่านอ๋องไม่ว่าต้องการผู้หญิงแบบไหน ก็ล้วนมีมาให้เลือกทุกแบบ ที่สำคัญเขายังมีพระชายาอีกด้วย
ต่อให้ไม่อยากแตะต้องตัวพระชายา ก็แค่แต่งตั้งเมียทาสสักสองสามคนก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ
แต่สาวใช้ในตำหนักเซี่ยวเยว่เหล่านั้น ดูๆ ไปแล้วก็ไม่เจริญตาจริงๆ นั่นแหละ ขนาดเขายังไม่ถูกตาถูกใจ แล้วนับประสาอะไรกับระดับท่านอ๋องล่ะ
“ใส่ใจรอบด้านให้มากขึ้นอีกหน่อยเถอะ รับใช้ท่านอ๋องให้ดี แล้วเส้นทางในอนาคตของเจ้าจะยาวไกลไร้ขีดจำกัด” ทังหยางยกตะเกียงแล้วยืนขึ้น
สวีอีก็ผุดลุกขึ้นยืนตามไปด้วยทันที ยื่นมือออกไปคว้าหมับเข้าที่มือของทังหยาง “ใต้เท้าทัง ข้ามีความคิดดีๆ อย่างหนึ่ง ที่จะทำให้ท่านอ๋องพอใจได้”
“ความคิดอะไรของเจ้า อย่าเสนออะไรมั่วซั่วน่า แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็พอ” ทังหยางเตือนด้วยความหวังดี
สวีอีลดเสียงตัวเองลงต่ำ แล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านอ๋องต้องการผู้หญิง เราก็ไปหาผู้หญิงมาให้เขาเสียก็สิ้นเรื่อง บรรดาสาวใช้ในจวนนี้อายุน้อยไม่เข้าใจในเรื่องสัมพันธ์ลึกซึ้งชายหญิง แต่ผู้หญิงในหอคณิกานั้นไม่เหมือนกัน พวกนางเป็นศิลปะอันมีชั้นเชิงลุ่มลึกถึงสิบแปดแขนง ต่างเก่งกาจชนิดหาตัวจับยากทั้งสิ้น”
ทังหยางมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ดูเหมือนว่า เจ้าคงเคยได้ลิ้มลอง ศิลปะแบบมีชั้นเชิงลุ่มลึกสิบแปดแขนง นั่นแล้วสินะ”
“ข้าน่ะหรือ ข้ามีเงินมากขนาดนี้ซะที่ไหนกัน… ความหมายของข้าก็คือ ข้าน่ะไม่ไปสถานที่เช่นนั้นหรอก แต่ข้ามักเคยได้ยินคนอื่นพูดถึงบรรดาหญิงสาวในหอคณิกา ว่าพวกนางรู้อะไรดีๆ มากมาย บรรดาคุณชาย นายท่าน ผู้ร่ำรวยทั้งหลาย ต่างก็ชอบพวกนางทั้งนั้น หากข้าสามารถเชิญพวกนางมาที่จวน มาปรนนิบัติให้ท่านอ๋องมีความสุขได้ และเมื่อท่านอ๋องมีความสุขแล้ว ท่านอ๋องก็ย่อมไม่คิดจะเปลี่ยนข้าออกเป็นธรรมดา”
ทังหยางกำลังคิดจะเอ่ยคัดค้าน แต่เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปาก ก็กลับหยุดชะงักไปเสียดื้อๆ
เมื่อมองดูผ้าปูที่นอน อันที่จริงคืนนี้ ท่านอ๋องกับพระชายาสมควรจะนอนร่วมเตียงกัน แต่จนสุดท้ายก็ขาดการเติมเชื้อไฟจนมอดไปกลางทางเสียก่อน ไม่สู้ เขาลองเติมเชื้อไฟนี้ให้มันปะทุสักหน่อย ก็น่าจะเป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว
“เป็นความคิดที่ดี” เขาตบเบาๆ บนไหล่ของสวีอี พลางกล่าวชื่นชม “ไม่คิดว่าครั้งนี้เจ้าจะฉลาดขนาดนี้ รู้ว่าควรทำในสิ่งที่ท่านอ๋องชอบ เจ้าพูดได้ถูกต้องแล้วล่ะ เมื่อท่านอ๋องมีความสุข ย่อมไม่คิดจะเปลี่ยนเจ้าออกเป็นธรรมดา”
“ใต้เท้าทังเห็นด้วยก็เยี่ยมไปเลย” สวีอีหัวเราะแหะๆ พลางยื่นมือออกมา
“อะไรนะ”
สวีอีพูดอย่างมั่นใจ “เงินอย่างไรเล่า ข้าจะจ้างผู้หญิงมาได้อย่างไรหากข้าไม่มีเงิน สถานที่เช่นนั้นต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยเชียวนะ”
“พรุ่งนี้ค่อยมาถอนที่ห้องบัญชีแล้วกัน” ทังหยางสาวเท้าเดินออกไปช้าๆ “ไปซักผ้าปูที่นอนของเจ้าต่อเถอะ”
ทันทีที่สวีอีค้นพบวิธีแก้ปัญหาได้ ในใจก็เปี่ยมล้นด้วยความยินดี กระทั่งซักผ้าปูที่นอนก็ยังซักได้มีความสุขอย่างยิ่ง ออกแรงทุบไม้ลงไปทีละไม้ๆ ดังสนั่นด้วยใจเบิกบานแช่มชื่น
คืนนี้ หยวนชิงหลิงก็นอนไม่หลับเช่นกัน
นางนอนพลิกตัวไปมา แววตาที่ส่องประกายแผดเผาคู่นั้น ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของนางไม่หยุด
นี่นางจะเป็นบ้าอยู่แล้ว
นางยกมือมาปิดใบหน้า แล้วกุมหัวอีกครั้ง นี่สรุปแล้วเขาคิดอะไรอยู่กันแน่นะ?
แล้วเจ้าล่ะหยวนชิงหลิง คิดว่าอย่างไรบ้าง
ผู้ชายคนนี้เชื่อได้จริงๆ น่ะหรือ อย่าลืมนะว่านางเคยถูกเขาตบเขาตีมาเมื่อไม่นานมานี้เอง
แต่ทำไม ถึงได้ชอบรสจูบของเขามากขนาดนี้นะ
ตอนที่รถม้าวิ่งกลับมาถึง หัวของนางก็หนุนอยู่บนบ่าของเขา ได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวถี่ นางรู้สึกว่านั่นคือช่วงเวลาที่สงบที่สุด เป็นความจริงที่สุด นับตั้งแต่นางได้ข้ามผ่านเวลามาที่ยุคโบราณนี้
แม้ว่าตอนจบ จะถูกจุมพิตนั้นตัดบทแบบทะลุกลางปล้องไปก็ตาม
หากรถม้ายังคงวิ่งต่อไป จะเป็นไปได้ไหมว่าระหว่างที่อยู่บนรถม้า พวกเขาอาจจะ….
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้า ลมหายใจของเขา เสียงหัวใจที่เต้นแรงของเขา รสชาติของเขา จูบของเขา ริมฝีปากและฟันของเขา มือใหญ่ของเขากุมมือนางไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างของเขา กลายเป็นสิ่งที่นางเฝ้าวนเวียนเพ้อหาไม่หยุดไปในคืนนี้
ใจเย็นๆ นะ!
นางลุกจากเตียงไปดื่มน้ำเย็นๆ เข้าไปแก้วใหญ่ ถ้านางยังนอนไม่หลับอีก ก็คงต้องกินยานอนหลับแน่แล้ว
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ลุกขึ้นไปดูในกล่องยา ปรากฏว่าไม่มียานอนหลับ
จึงทำได้เพียงต้องนอนลงอีกครั้ง ยอมรับชะตากรรมแล้วเริ่มนับแกะ แกะหนึ่งตัว แกะสองตัว แกะสามตัว แกะสี่ตัว หยู่เหวินเห้าห้าตัว หยู่เหวินเห้าหกตัว …
วันรุ่งขึ้น ทั้งสองคนตื่นแต่เช้า และเมื่อพวกเขาพบกันในห้องโถงใหญ่ ทั้งสองก็จ้องมองเบ้าตาที่เป็นจ้ำสีดำขนาดใหญ่ของอีกฝ่าย
พวกเขาสะดุ้งกันไปครู่หนึ่ง แล้วจึงทักทายกันอย่างงุ่มง่าม
สวีอีก็เดินหาวเข้ามาด้วย แต่รอยคล้ำใต้ตาของเขานั้น ทั้งใหญ่กว่าและดำคล้ำกว่าของทั้งสองคนมาก
เมื่อกู้ซือเดินเข้ามา ก็เห็นวงกลมสีดำหกวงที่กำลังจ้องประสานสายตามองกันไปมา
เขาระงับความอยากรู้ของเขา แล้วก้าวไปข้างหน้าพูดกับหยู่เหวินเห้าว่า “หากว่าท่านอ๋องกำลังยุ่งอยู่กับงานที่กรมปกครอง ข้าน้อยสามารถเป็นธุระไปส่งพระชายาให้ก็ย่อมได้”
“ดี วันนี้ข้ายุ่งมากจริงๆ เช่นนั้นรบกวนมหาดเล็กกู้เป็นธุระด้วยล่ะ” หยู่เหวินเห้าพูดขึ้น ที่จริงเขาแค่กลัวว่า เขาอาจจะเป็นบ้าไป ถ้าเขานั่งในรถม้าคันเดียวกันกับนาง
กู้ซือยิ้มแย้ม “ไม่รบกวนๆ นี่เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ไปรับส่งพระชายา เมื่อคืนวานท่านอ๋องก็ช่วยรับส่งพระชายาให้แทนข้า เท่ากับเป็นข้าเองที่เอาเปรียบท่านแล้ว”
หยู่เหวินเห้ายิ้มให้อย่างพอเป็นพิธี แล้วหันไปมองหยวนชิงหลิง ” คืนนี้…คงต้องให้กู้ซือไปรับเจ้าแหละ ข้าคงจะกลับดึก”
สิ่งที่เขาต้องการจะพูดคือ คืนนี้เขาจะเป็นคนไปรับนางเอง แต่เขาไม่สามารถพูดมันออกจากปากได้
หยวนชิงหลิงแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ได้”
พลันรับรู้ได้ถึงบรรยากาศน่าอึดอัดระหว่างคนทั้งสอง กู้ซือจึงเอ่ยถามว่า “พระชายา พวกเราไปเลยดีหรือไม่”
“ได้ทุกเมื่อเลย” หยวนชิงหลิงแอบเหลือบมองหยู่เหวินเห้า แวบหนึ่งจากปลายหางตาของนาง อันที่จริงก็อยากจะมองเขาอย่างเปิดเผย แต่นางไม่กล้า
กู้ซือประสานมือเดินจากไปแล้ว หยวนชิงหลิงจึงต้องเดินตามไป หลังเดินออกไปได้ไกลแล้ว จึงค่อยมองย้อนกลับไปทางหยู่เหวินเห้า อีกฝ่ายยืนอยู่ที่ประตูหน้าห้องโถงใหญ่สายตาจ้องมองดูนาง ตาสี่ข้างประสาน หัวใจนางพลันรู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่าง กระแทกเข้าใส่อย่างจังจนแทบตั้งตัวไม่ทัน
เมื่อไปถึงที่จวนอ๋องหวย หยู่เหวินหลิงก็รออยู่ที่นั่นแล้ว นางออกมาต้อนรับแล้วพาหยวนชิงหลิงเข้าไป แล้วจับมือนางขึ้นมาถามว่า “เมื่อคืนพี่สะใภ้นอนไม่ค่อยหลับรึ เหตุใดขอบตาดำคล้ำเช่นนั้นล่ะ”
หยวนชิงหลิงยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดว่า “ใช่ มัวแต่คิดถึงอาการของอ๋องหวยทั้งคืนจนนอนไม่หลับเลย”
“ต้องลำบากพี่สะใภ้แล้ว” หยู่เหวินหลิงพูดพลางทอดถอนใจ
หยวนชิงหลิงแอบรู้สึกผิด นึกละอายยามได้รับคำชมนี้!