บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 133
กู้ซือนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ถึงจะตอบออกมาด้วยเสียงเบาๆ : “อำนาจ คือทุกอย่าง!”
“ทุกอย่าง?” หยวนชิงหลิงยิ้มเยาะเย้ย , “เกรงว่าไม่จำเป็นหรอก คนมีอำนาจมากมายที่ข้ารู้จัก พวกเขาล้วนไม่ได้ครอบครองทุกอย่าง”
“อำนาจ ไม่มีวันสิ้นสุดอยู่แล้ว”
ใช่แล้ว ได้เป็นกษัตริย์แล้วยังอยากจะไปเทียบกับสวรรค์ อำนาจนั้นจะมีจุดจบได้อย่างไรเล่า?
ไม่รู้ว่าหยู่เหวินเห้าจะเป็นเช่นนี้ด้วยหรือไม่?
นางถามกู้ซืออีกครั้ง “ข้าเห็นว่าความสัมพันธ์ของท่านและอ๋องฉู่นั้นไม่เลวนัก พวกท่านรู้จักกันมานานแล้วหรือ?”
กู้ซือยิ้มออกมา “ก็นับว่าเติบโตมาด้วยกัน”
“สัมพันธ์ไมตรีตั้งแต่ยังเยาว์ ช่างเป็นสิ่งที่น่ายกย่องยิ่งนัก เช่นนั้นเรื่องระหว่างเขาและฉู่หมิงชุ่ย ท่านก็รู้ด้วยหรือ?”
“รู้ รู้ทุกอย่าง” เขาหันไปมองหยวนชิงหลิงอย่างนิ่งสงบ “พระชายาอยากจะถามสิ่งใดหรือ?”
“ไม่มีสิ่งใดน่าถามหรอก เรื่องราวของพวกเขาข้าไม่อยากรู้” หยวนชิงหลิงตอกกลับ
กู้ซือถึงกับประหลาดใจ
“หม่อมฉันนึกว่าพระชายาอยากรู้เสียอีกว่าที่แท้แล้วในใจท่านอ๋องนั้นคิดอย่างไร”
หยวนชิงหลิงหันหน้าไปยิ้มให้กับเขา “การไม่หาเรื่องทุกข์ใจแก่ตัวเอง ถือเป็นภาษิตในการเป็นมนุษย์ของข้า”
กู้ซือมองไปยังนางอย่างครุ่นคิด การไม่หาเรื่องทุกข์ใส่ตัว?การได้รู้เรื่องราวของฉู่หมิงชุ่ย นับเป็นการหาเรื่องทุกข์ใส่ตัวด้วยหรือ?
นอกเสียจากว่านางจะมีความกระวนกระวายใจเพราะพวกเขาสองคน ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่มีสิ่งใดให้น่าทุกข์ใจ
หยวนชิงหลิงกล่าวขึ้น : “ข้าเหนื่อย ไม่เดินแล้ว ข้าขึ้นรถม้าดีกว่า”
กู้ซือเปิดผ้าม่านให้กับนาง “พระชายาโปรดระวัง”
“ขอบใจ!” หยวนชิงหลิงพอขึ้นไปบนรถม้า ก็เอามือยันผ้าม่านเอาไว้แล้วมองไปยังกู้ซือ
“ขอบใจใต้เท้ากู้ที่มารับส่งทั้งเช้าเย็น”
“คำสั่งฝ่าบาทมิพ้นเกล้า!” กู้ซือตอบกลับอย่างเรียบง่าย
หยวนชิงหลิงปล่อยผ้าม่านลง พลางหลับตา พยายามขับเรื่องกระวนกระวายใจทั้งหมดให้ออกไปจากหัว
คืนนี้หยู่เหวินเห้ากลับมาเช้ากว่าหยวนชิงหลิง เดิมทีเขาอยากจะไปรับหยวนชิงหลิง แต่เมื่อคิดถึงคำปฏิเสธของนาง แล้วกลับมาคิดถึงความใจร้อนของตนเองเมื่อวานแล้ว จึงได้รู้สึกว่าทุกสิ่งมันหักเหไปจากสิ่งที่คาดหวังไว้ เขาจึงจำต้องทำความเข้าใจความต้องการของตัวเองให้ชัดเจนเสียก่อน
ดังนั้น ถึงเขาจะรู้ดีว่าหยวนชิงหลิงยังไม่กลับมา ก็ไม่คิดที่จะไปยังจวนอ๋องหวย
“ท่านอ๋อง ท่านกลับมาแล้วงั้นหรือ !” สวีอียิ้มต้อนรับอยู่หน้าประตู รอยยิ้มกว้าง เห็นได้อย่างชัดเจน
วันนี้สวีอีไปยังที่ทำการปกครองเมืองหลวงพร้อมกับเขา แต่พอใกล้พลบค่ำ ก็บอกว่ามีธุระขอตัวกลับก่อน
หยู่เหวินเห้าที่มองเห็นขอบตาดำทั้งสองข้างของเขาก็หงุดหงิดขึ้นมา จึงไขว้มือทั้งสองไว้ด้านหลังแล้วเดินเข้าไปด้านในอย่างไม่แยแส
สวีอีกลืนน้ำไลลงไปทีหนึ่ง ภายใต้ความขมขื่นพลางแฝงไปด้วยรอยยิ้ม การปรนนิบัติท่านอ๋องช่างไม่ง่ายดายเลยจริงๆ
ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงสีหน้าที่ยิ้มแย้ม แค่เพียงไม่นาน ท่านอ๋องก็จะต้องชื่นชมเขา
เมื่อหยู่เหวินเห้ากลับมาถึงตำหนักเซี่ยวเยว่ ฉี่หลอก็ยืนรออยู่หนาประตูแล้วด้วยสีหน้าประหม่าเล็กน้อย
“ท่านอ๋อง กลับมาแล้วหรือ ทานอาหารหรือยังเจ้าคะ?”
“ยัง!” หยู่เหวินเห้าเดินขึ้นบันไดหินขึ้นไป พลางตอบกลับอย่างเฉยเมย
“เช่นนั้น……พอดีเลยเจ้าค่ะ ด้านในมีการจัดเตรียมอาหารไว้แล้ว” ฉี่หลอหันไปมองยังสวีอีที่เดินตามมา ภายในแววตาแฝงด้วยความกังวล ทำเช่นนี้ มันเหมาะสมแล้วจริงๆ หรือ?ท่านอ๋องจะไม่โกรธเคืองงั้นหรือ?
นางรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก สวีอีบอกว่าใต้เท้าทังก็เห็นด้วยเช่นกัน
ใต้เท้าทังนั้นไม่เคยทำการผิดพลาด นางถึงจะสงสัยสวีอี แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปสงสัยใต้เท้าทัง
แต่ทว่าหลังจากช่วงพลบค่ำใต้เท้าทังก็ไม่อยู่เสียแล้ว ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าไปยังแห่งใดแล้วด้วย
ช่างทำให้เป็นห่วงเสียจริง
เมื่อหยู่เหวินเห้าเข้าไปยังตำหนักเซี่ยวเยว่ ก็ได้กลิ่นของผงแป้งตลบอบอวลอยู่ภายในห้อง เขาขมวดคิ้วหนัก กำลังจะอ้าปากเรียกฉี่หลอ กลับได้เห็นสองหญิงสาวสวยทรงเสน่ห์ที่สวมชุดสีชมพูเดินออกมาจากแผ่นกั้นทั้งด้านซ้ายและขวา เสื้อของพวกนางนั้นเปิดออก คอเสื้อตกไปถึงบริเวณหน้าอก จนสามารถมองเห็นร่องอก และบนผิวเนินอกอันบอบบางมีลายดอกกุหลาบสีแดงประทับอยู่
พวกนางเดินก้าวมาด้านหน้าพลางบิดตัวไปมา กลิ่นหอมหยาบๆ ค่อยๆ ลอยเข้ามา เขาที่ยังไม่ทันตั้งตัว พวกนางทั้งสองก็ได้เข้าไปโอบคอของเขาเสียแล้ว แล้วทั้งสองก็ประทับรอยจูบบนแก้มทั้งสองข้างของเขาทันที
“ท่านอ๋องเจ้าค่ะ ข้าน้อยสองคนมาให้การปรนนิบัติแก่ท่านเจ้าค่ะ!” เสียงออดอ้อนอ้อล้อดังขึ้นข้างหู
หน้าอกอันกลมโตนั้นถูไถไปมาตามร่างกายของเขา โดยที่พวกนางคอยเกาะแกะบนตัวเขา
ในตอนนั้น หยู่เหวินเห้ารู้สึกเพียงว่าพลังพุ่งมาจากทั่วทุกสารทิศกำลังหลั่งไหลเข้ามาในร่างกายและพุ่งตรงไปยังสมองของเขา ก่อนที่เขาจะตะโกนออกมาด้วยความโกรธราวฟ้าผ่า “สวีอี!”
สวีอีที่กำลังรอดูผลสำเร็จที่หน้าประตูอย่างมีความสุข จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงตะโกนของท่านอ๋อง เดิมคิดว่าเป็นเสียงฟ้าร้องจึงรีบแหงนหน้ามองฟ้า
ฉี่หลอที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับหน้าเสียขึ้นมา จึงรีบเดินเข้าไปทันที
สวีอีที่เพิ่งจะรู้สึกตัว รีบเดินตามเข้าไปทันที เกิดเหตุอันใดขึ้น?อัปลักษณ์เกินไปงั้นหรือ?ท่านอ๋องไม่ชื่นชอบ?แต่แม่เล้าบอกว่าพวกนางสองคนเป็นถึงระดับโออิรันเลยเชียวนะ
เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ท่านอ๋องได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเชียว
หลังจากเกิดพายุฝนหนักภายในจวน สวีอีเดินออกมาพร้อมสองสาวทรงเสน่ห์จากหอนางโลมออกมาด้วยสีหน้าที่บูดบึ้ง
ระหว่างทางระเบียง กู้ซือและหยวนชิงหลิงก็กำลังเดินกลับมาพอดี
หยวนชิงหลิงมองไปยังสองหญิงสาวที่สวีอีพามานั้น ดูแล้วไม่เหมือนกับหญิงที่เป็นกุลสตรีเสียเท่าไหร่ ทั้งการแต่งหน้าที่จัดจ้าน กลิ่นหอมเย้ายวนเตะจมูก ตามด้วยท่าทางการเดินที่บิดไปมา คิ้วที่ขมวดเล็กน้อย ดูแล้วยากที่จะพรรณนาออกมาได้
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ……
หยวนชิงหลิงอดละสายตาไม่ได้ที่จะมองไปยังทรวงอกของพวกนางทั้งสองได้ ขนาดนี้ก็มีความแอบเกินจริงไปหน่อยแล้ว
คิดไม่ถึงเลยว่าสวีอีที่ดูจะเป็นคนไร้ซึ่งความคิด จะมีความเข้าใจเรื่องเช่นนี้ดีถึงเพียงนี้
แต่จะว่าไป มีผู้ชายที่ไหนไม่ชอบผู้หญิงที่มีหน้าอกใหญ่เช่นนี้?
นางกระแอมออกมาทีหนึ่ง เพื่อเรียกสติให้กับกู้ซือที่เอาแต่จ้องมองไปยังทรวงอกของพวกนางอย่างไม่ละสายตา
กู้ซือรีบดึงสติกลับ แล้วปั้นหน้าปกติถามสวีอี
“สวีอี ที่นี่คือจวนอ๋อง เหตุใดเจ้าถึงพาคนเข้าออกโดยพลการเช่นนี้?”
สวีอีตอบกลับด้วยทาทีที่แทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
“เป็นความต้องการของใต้เท้าทัง ที่จะให้ดับไฟของท่านอ๋องขอรับ”
เมื่อวานนี้เขาได้สอบถามใต้เท้าทังแล้ว ซึ่งใต้เท้าทังเห็นด้วย อีกทั้งเงินก็เป็นใต้เท้าทังที่เป็นมอบให้ด้วย แล้วเหตุใดท่านอ๋องถึงต้องด่าทอเขาเพียงคนเดียว?
ครั้งนี้ ต้องถูกไล่ออกเป็นแน่
หยวนชิงหลิงมองไปยังสวีอี “ทังหยางบอกว่าดับไฟท่านอ๋องงั้นหรือ?”
ห่างออกไป ใต้เท้าทังที่อยู่หลังต้นไม้ชะโงกหัวออกมา พลางกระทืบเท้าด่าทอ สวีอีเจ้าคนโง่เขลา ข้าได้พูดเช่นนั้นเมื่อไหร่กัน?
สวีอีพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เฮ้อ ข้าต้องพาพวกนางกลับไปแล้ว ช่วงนี้ท่านอ๋องนั้นเอาใจยากเสียจริง”
เมื่อกล่าวจบเขาก็พาพวกนางออกไป
เมื่อโออิรันทั้งสองเดินผ่านกู้ซือไป ก็ได้ทำการโบกมือให้เขาแล้วยังยิ้มให้กับกู้ซือด้วยท่าทางที่อ้อร้อ
กู้ซือบ่นออกมา : “หญิงโสเภณี!”
“ใต้เท้ากู้ โปรดระงับสายตาของท่านได้แล้ว” หยวนชิงหลิงแสดงสีหน้าเรียบเฉยมองไปยังกู้ซือที่คอยทำหน้าที่รับส่งหญิงงาม
แต่ก็อดพูดไม่ได้ว่า พวกนางสองคนนั้น ช่างมีเสน่ห์และน่าดึงดูด ชายใดได้พบเห็นก็ล้วนแต่มีท่าทีเช่นเดียวกับกู้ซือ
นางยิ้มออกมา ก่อนจะเดินต่อไป
หยวนชิงหลิงเจ้าช่างโง่เขลา!
การที่เขาเข้าหาเจ้ามีตั้งหลากหลายเหตุผลที่จะเป็นไปได้ เจ้ายังจะคิดเข้าข้างตัวเองอีกว่าเขาจะชอบเจ้าแม้จะมีเพียงนิดเท่านั้น
กู้ซือมองดูแผ่นหลังที่ไร้จิตวิญญาณของนาง ก็คิดว่ายังไม่ควรเข้าไปหาท่านอ๋องน่าจะเป็นการดีกว่า เพราะคาดว่าเรือนหลังบ้านจวนอ๋องฉู่กำลังเกิดไฟปะทุขึ้นมาแล้ว
กู้ซือผิดไปแล้ว เรือนหลังบ้านจวนอ๋องฉู่นั้นสงบเป็นอย่างยิ่ง
หยวนชิงหลิงเมื่อกลับมาถึงห้อง ก็ได้สั่งให้ลู่หยาไปเตรียมน้ำร้อนเพื่ออาบน้ำให้นางทันที
หลังอาบน้ำเสร็จ นางก็ทานอาหารมื้อดึก นางทานเข้าไปค่อนข้างเยอะ พอทานเสร็จจึงพาตอเป่าเข้าไปเดินเล่นที่ลาน นั่นทำให้ตอเป่ามีความสุขเป็นอย่างมากจนวิ่งรอบตัวนางไปมา โดยบาดแผลบนตัวของมันก็ดีขึ้นจนเกือบจะหายดีแล้ว
หยวนชิงหลิงนั่งลงแล้วโอบมันเอาไว้ในอ้อมอก “ตอเป่า ใจของข้ามันเจ็บ”