บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 167
อ๋องฉีหดคอลง พูดขึ้นด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “พี่ห้า จะดุขนาดนี้ทำไม?”
หยู่เหวินเห้าหมดความอดทนอย่างที่สุด ตะคอกพูดขึ้นว่า “ไปไหม?”
“เจ้าใจเย็นๆก่อน อย่าทำให้ชุ่ยเอ๋อตกใจ”อ๋องฉีพูดขึ้นด้วยเสียงเบา แต่ก็ยังนำทางไปอย่างเชื่องช้า
หยู่เหวินเห้าสูดหายใจเข้าลึกๆ ค่อยระงับโทสะที่วิ่งขึ้นมาลงไป
อ๋องฉีพูดขึ้นอีกว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่หน้าประตูเมือง พี่สะใภ้ห้าพูดว่านางไม่ได้ผลักชุ่ยเอ๋อตกน้ำ กลับใส่ร้ายว่าชุ่ยเอ๋อผลักนาง ยังพูดว่าชุ่ยเอ๋อใส่ร้ายนาง พี่ห้า เจ้ากลับไปต้องไปต่อว่านาง ข้าเห็นแก่เจ้า จึงไม่เอาโทษเรื่องนี้”
หยู่เหวินเห้าก้าวเดินไปข้างหน้า เรียกคนใช้คนหนึ่งไว้ พร้อมพูดว่า “ไปเชิญพระชายาฉีมาตรงเรือนด้านข้าง บอกว่าข้ามาถามความ”
คนใช้นิ่งอึ้ง หันไปมองดูอ๋องฉี อ๋องฉีก็พูดได้เพียงว่า “ไปเถอะ”
คนใช้ไปทำตามคำสั่ง
หยู่เหวินเห้าไม่สนใจอ๋องฉี หันตัวเดินไปรอที่เรือนด้านข้างพร้อมกับสวีอี
อ๋องฉีเร่งฝีเท้าเดินตามมาจนทัน ยังไม่ลืมที่จะพูดต่ออีกว่า “พี่ห้า เรื่องนี้เจ้าต้องจัดการให้ดี เจ้าไม่ให้ข้าปกป้องชุ่ยเอ๋อ เจ้าปกป้องพี่สะใภ้ห้า ก็ไม่มีเหตุผลไม่ใช่หรือ?”
สวีอีเห็นหยู่เหวินเห้าหน้าดำคร่ำเครียด ก็อดทนไม่ไหว พูดขึ้นว่า “ท่านอ๋องท่านหยุดพูดบ้างเถอะ รอจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้วค่อยพูดไม่ได้หรือ?”
อ๋องฉีมองดูสวีอีแวบหนึ่ง สวีอีส่งสายตาเตือนเขา จากนั้นก็ชี้ไปที่หยู่เหวินเห้า
ยังไงอ๋องฉีก็ยังคงกลัวเกรงหยู่เหวินเห้า ถึงแม้จะยังไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
รออยู่ที่เรือนด้านข้างสักพัก แล้วก็เห็นฉู่หมิงชุ่ยพาหญิงคนใช้มา
บาดแผลตรงคางของนางถูกพันแผลไว้ กระโปรงทรงหลวม แต่ยิ่งดูยิ่งจับเอว เปราะบางและอ่อนโยน
หญิงคนใช้ประคองนางเข้ามา สีหน้าดูซีดเซียว ดวงตาแดงก่ำ
มองเห็นหยู่เหวินเห้า นางไม่พูดอะไร ดวงตาแดงขึ้นมาอีกครั้ง พูดขึ้นอย่างสะอึกสะอื้นว่า “พี่เห้ามาแล้วหรือ?”
หยู่เหวินเห้ามองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “อาการบาดเจ็บดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง?”
ฉู่หมิงชุ่ยพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ไม่เป็นอะไรมากแล้ว”
“ยังจะบอกว่าไม่เป็นอะไร ตกใจจนจะแย่อยู่แล้ว” อ๋องฉี ลุกขึ้นมาประคองนางไปนั่งอย่างห่วงใย พร้อมพูดว่า “เจ้าวางใจ พี่ห้ามาในครั้งนี้ เป็นการมาเพื่อถามคำถามเพียงไม่กี่ครั้งตามคำสั่งของเสด็จพ่อ เจ้าตอบตามความจริงของพอ”
ฉู่หมิงชุ่ยพยักหัวเล็กน้อย นั่งลงแล้วก็รีบถามขึ้นว่า “ผู้บาดเจ็บพวกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง? อะไรมากไหม?”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า “มีผู้บาดเจ็บหลายคนอาการค่อนข้างหนัก มีหมอให้การรักษาแล้ว ตอนนี้ คนที่อาการสาหัสที่สุดก็คือจวิ้นจู่หงเติง เสด็จลุงเชิญมาหลวงมาแล้ว โชคดีที่ห้ามเลือกไว้ได้ทัน คิดว่าคงจะพ้นขีดอันตรายแล้ว”
ฉู่หมิงชุ่ยน้ำตานอง พร้อมพูดขึ้นว่า “หากหงเติงเป็นอะไรไป ต่อให้ต้องตายข้าก็ยากที่จะชดใช้”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้ากำหนดไว้ว่าจะแจกโจ๊กในวันนี้ และก็มีคนเตรียมการไว้เสร็จเรียบร้อยแต่เช้าแล้ว ทำไมถึงยังชักช้า จนถึงเที่ยงแล้วก็ยังไม่แจก? และทำไมเสด็จป้ากับหงเติง ยังมีฮูหยินเหลียงพวกเขาอีกก็มาด้วยกัน?”
ฉู่หมิงชุ่ยสะอึกสะอื้น พร้อมพูดขึ้นว่า “เดิมจะแจกตั้งแต่แรกแล้ว แต่ข้ารู้สึกว่าหากเพียงแค่แจกโจ๊ก ก็ไม่สามารถทำให้อิ่มท้องได้ จึงสั่งคนไปสั่งซาลาเปามาเพิ่มหลายร้อยลูก ซาลาเปานี้ใช้เวลาทำค่อนข้างนาน เมื่อรอแล้วก็รอจนถึงเที่ยง ส่วนเสด็จป้ากับพวกฮูหยินเหลียง พอรู้ว่าข้าจะแจกโจ๊ก ก็เลยอยากตามมาดู พวกนางต่างก็มีจิตเมตตา อยากทำอะไรเพื่อประชาชนบ้าง กลับคิดไม่ถึงว่า…..”
ฉู่หมิงชุ่ยก้มหน้า แล้วก็ร้องไห้ขึ้นมา เสียงร้องไห้คร่ำครวญ ใครฟังแล้วก็เจ็บปวดไปด้วย
อ๋องฉีสงสารนางอย่างมาก อยากยื่นมือไปโอบกอดนาง แต่กลับติดตรงที่หยู่เหวินเห้ากับสวีอีก็อยู่ด้วย
หยู่เหวินเห้าไม่แสดงท่าทีอะไร เพียงแค่ฟังอยู่อย่างเงียบๆ รอนางร้องไห้ไปสักพัก แล้วค่อยพูดขึ้นว่า “แจกซาลาเปา เป็นการตัดสินใจกะทันหันหรือ?”
“ใช่ เพิ่งตัดสินใจเมื่อตอนเช้า”ฉู่หมิงชุ่ยร้องไห้ไปสักพัก ค่อยสงบสติแล้วพูดตอบ
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า “ในเมื่อเจ้ากำหนดแล้วว่าวันนี้จะแจกโจ๊ก แล้วทำไมถึงไม่วางแผนเรื่องซาลาเปาก่อนล่วงหน้าล่ะ? ต่อให้เป็นการตัดสินใจกะทันหัน หาคนขายหลายเจ้าหน่อย ซาลาเปาไม่กี่ร้อยลูกก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาจนถึงเที่ยงวัน อีกอย่าง ข้าดูที่เกิดเหตุแล้ว มีซาลาเปาเพียงสิบชั้น ทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบลูก เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถทำเสร็จแล้ว”
ฉู่หมิงชุ่ยอึ้งไปสักพัก น้ำตาคลอเบ้าอย่างอึ้งเล็กน้อย จ้องมองดูหยู่เหวินเห้าอย่างแน่นิ่ง
ภายในใจของนาง ปกคลุมไปด้วยความเจ็บปวดและโกรธเคือง
เขามา เป็นการสืบความ? หรือเป็นการมาเพื่อถามตามคำสั่งเพียงไม่กี่ประโยค?
หากเป็นอย่างหลัง ก็ไม่จำเป็นต้องถามอย่างละเอียดขนาดนี้
หากเป็นอย่างแรก….เขาเปลี่ยนไปอย่างมาก
นางยื่นมือกุมหน้าผาก พร้อมพูดขึ้นทั้งน้ำตาว่า “ข้าค่อนข้างปวดหัว เรื่องพวกนี้ ข้าสั่งพวกคนใช้ไปทำ พี่เห้า เจ้าไปถามพวกเขาเถอะ วันนี้ข้า….ข้าทรมานใจ และกระวนกระวายใจมาก”
อ๋องฉีรีบพูดขึ้นว่า “พี่ห้า ก็บอกแล้วว่าการสั่งซาลาเปาเป็นความคิดที่ตัดสินใจกะทันหัน ไม่ใช่การตัดสินใจตั้งแต่แรก ต่อให้ซาลาเปาหนึ่งร้อยห้าสิบลูกจัดการได้ไม่เรียบร้อย ก็ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ ชุ่ยเอ๋อก็ทำไปเพราะหวังดี”
หยู่เหวินเห้ามองดูอ๋องฉีที่ไม่ได้เรื่อง รู้จะถามต่อไปก็ไม่ได้ความอะไร จึงพูดขึ้นว่า “งั้นดี เรื่องเป็นยังไง ข้าก็เข้าใจแล้ว เจ้าพักผ่อนให้ดี ข้าไปล่ะ”
ฉู่หมิงชุ่ยหลบสายตา สีหน้าเศร้าหมอง พูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “เชิญอ๋องฉู่ตามสบาย”
คำว่าอ๋องฉู่ แฝงไปด้วยความเย็นชาและเฉยเมย ไม่เหมือนพี่เห้าที่เรียกอย่างสนิทสนมมาตลอด
สีหน้าหยู่เหวินเห้าไม่แสดงท่าทีใดๆ ลุกขึ้นแล้วก็จากไป
อ๋องฉีไล่ตามมา
“พี่ห้า คำพูดเมื่อกี้พูดให้เข้าใจชัดเจนจะดีกว่า”
หยู่เหวินเห้ามองดูใบหน้าที่ไร้เหตุผลของเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “ได้ ในเมื่อเจ้าจะพูด งั้นก็พูดมาให้เข้าใจ เจ้าอยากพูดอะไร?”
อ๋องฉีพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า “ตอนนั้นเจ้าบอกข้าว่าช่างเถอะ แต่นางไม่ได้สำนึกผิดเลย เรื่องนี้จะช่างไม่ได้ จะต้องสั่งสอนนางเสียหน่อย ต่อให้นางมีไม้ปราบข้าก็ไม่กลัว เสด็จปู่ก็เป็นคนที่มีเหตุผลคนหนึ่ง หากเรื่องนี้รู้ไปถึงเสด็จปู่ เสด็จปู่ไม่มีทางเข้าข้างนางแน่”
“จะให้สั่งสอนเสียหน่อย? ได้ เจ้าพูดมาสิ สั่งสอนยังไง? ต่อยนางสักทีหรือ?”หยู่เหวินเห้าดูเหมือนไม่โกรธเลยสักนิด ถามขึ้นมาด้วยท่าทีเฉยเมย
อ๋องฉีคิดอยู่สักพัก ต่อยตีผู้หญิง เหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสม จึงพูดขึ้นว่า “สั่งสอนเสียหน่อย คงได้อยู่มั้ง? ก่อนหน้านี้เจ้าพูดว่านางไม่มาขอโทษ แต่ข้ากลับมาลองคิดดูแล้ว คิดว่านางควรที่จะมาขอโทษ”
หยู่เหวินเห้าพยักหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่ เจ้าพูดถูก แต่ข้าคิดว่านางไม่มีทางมาขอโทษพระชายาฉี ไม่อย่างนั้น คืนนี้เจ้าหาเวลาว่างไปจวนอ๋องฉู่ไหม? ให้นางขอโทษเจ้าน่าจะเป็นไปได้”
“ขอโทษข้า? ขอโทษข้าจะมีประโยชน์อะไร? ขอโทษชุ่ยเอ๋อจะดีกว่า”อ๋องฉีพูดขึ้น
“งั้นก็เป็นไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้น เจ้าไปหานาง จากนั้นค่อยมาบอกพระชายาฉีไหม?”หยู่เหวินเห้าพูดขึ้น
อ๋องฉีรู้สึกว่าต้องเป็นเช่นนี้จริงๆ หากนางยืนกรานที่จะไม่ขอโทษชุ่ยเอ๋อ งั้นก็ไม่มีหนทางบีบบังคับ แต่เรื่องนี้ต้องพูดให้กระจ่าง จะให้นางใส่ร้ายชุ่ยเอ๋อไปตลอดไม่ได้ วันนี้พูดว่าชุ่ยเอ๋อผลักนาง พรุ่งนี้ก็จะพูดว่าชุ่ยเอ๋อฆ่านาง
“งั้นดี ข้าปลอบชุ่ยเอ๋อก่อน แล้วจะรีบไป”อ๋องฉีพูดขึ้น
หยู่เหวินเห้ากับสวีอีหันตัวเดินออกไปแล้ว
หลังจากขี่ม้าไป สวีอีก็รีบไล่ตามมาพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋อง จะให้อ๋องฉีไปจริงๆหรือ? พระชายาจะขอโทษอ๋องฉีไหม?”
“ไม่มีทางแน่นอน”
สวีอีอึ้ง “งั้น…..”
หยู่เหวินเห้าขยับบังเหียน ควบขี่ม้าไป พร้อมพูดขึ้นว่า “ก็ต้องลองว่าไม้ปราบนั่นน่าใช้หรือไม่น่าใช้”