บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 17
หลังจากพระโอรสลำดับที่สี่ของฮ่องเต้หมิงหยวน นามหยู่เหวินอันและพระชายาของเขาเข้าไปแล้ว ลำดับต่อไปก็คือหยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิง
หยวนชิงหลิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ปรับอารมณ์ตัวเองให้มั่นคง ปล่อยวางความรู้สึกไม่สบายกายไม่สบายใจทั้งหมด
เรื่องที่เกี่ยวพันถึงชีวิตคน นางไม่อาจทำอะไรโดยสะเพร่าได้
ฉางกงกงประกาศเชิญ “ขอเชิญท่านอ๋องฉู่ พระชายาฉู่ เข้าไปได้พ่ะย่ะค่ะ”
หยวนชิงหลิงลุกขึ้นพร้อมหยู่เหวินเห้า เขาเดินอยู่ข้างหน้า ยกม่านขึ้นแล้วตรงเข้าไปข้างใน
หยู่เหวินเห้าคุกเข่าลงที่ข้างแท่นบรรทม ส่วนหยวนชิงหลิงคุกเข่าอยู่ข้างหลังเขา รีบหยิบกล่องยาออกมาอย่างรวดเร็ว ทันทีที่กล่องยาถูกทิ้งลงบนพื้น มันก็เปลี่ยนขนาดตัวเองให้ใหญ่ขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ หยวนชิงหลิงไม่มีเวลาคิดแล้วว่าทำไมกล่องยาถึงเป็นอย่างนี้ได้ นางมีแต่ต้องรีบหยิบเข็มฉีดยา กับยาชาออกมาให้เร็วที่สุดเท่านั้น
หยู่เหวินเห้าที่กำลังจมอยู่ในความเศร้าโศกเสียใจนั้น ไม่ได้สังเกตเห็นพฤติกรรมของนางเลยสักนิด เขาพูดพึมพำในลำคอว่า “เสด็จปู่ ….. ”
หยวนชิงหลิงจับมือของเขาไว้ เขาหันหน้ามามองตามสัญชาตญาณ ตวัดสายตาขึ้นมองนางด้วยความรังเกียจ หยวนชิงหลิงก็พลันปักเข็ม แล้วฉีดยาชาเข้าไปในมือของเขาแล้วเรียบร้อย
เขาสะดุ้งไปเฮือกหนึ่ง ในแววตาแฝงเร้นไปด้วยความโกรธเกรี้ยว หยวนชิงหลิงสะบัดมือออก มองเขา ปากก็พูดว่า “เสด็จปู่ หลานสะใภ้ขอน้อมถวายพระพร … ”
แต่ในใจนางก็แอบนับเลขไปด้วย หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที …
ร่างกายของหยู่เหวินเห้าพลันอ่อนยวบลง แต่ดวงตาทั้งสองข้างกลับเบิกกว้าง
หยวนชิงหลิงแอบรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ที่เคตามีนสามารถทำให้คนเข้าสู่สภาวะชาจนไร้ความรู้สึกได้เร็วขนาดนี้ คนไม่ได้หมดสติไป เขายังรู้สึกตัว แต่แค่ขยับร่างกายไม่ได้ดั่งใจ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ยังพยายามตั้งสติให้ตัวเองตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
ไท่ซ่างหวงก็ทรงสังเกตเห็นความผิดปกตินี้แล้วเช่นกัน แววพระเนตรที่เดิมทีเลื่อนลอยไร้จุดหมาย กลับค่อยๆมารวมกัน แล้วเพ่งความสนใจไปที่ตัวของหยวนชิงหลิง
ปากของหยวนชิงหลิงยังคงพูดว่า ขอน้อมคำนับ ขอน้อมถวายพระพรไปเรื่อยๆ มือก็หยิบเข็มฉีดยาที่นางออกแบบ และพัฒนาเองออกมา ผสมโดปามีนเจือจางเข้ากับกลูโคส ม้วนแขนฉลองพระองค์ของไท่ซ่างหวงขึ้น ตรวจสอบหาเส้นพระโลหิต จากนั้นจึงค้อมตัวลงไปข้างหน้า กระซิบพูดข้างพระกรรณของพระองค์เบาๆว่า ” ท่านผู้อาวุโสท่านนี้ อย่าได้กลัวไป ข้ากำลังช่วยท่านอยู่นะ ”
เมื่อเจ้าหมาน้อยฝูเป่า ได้เห็นว่าหยวนชิงหลิงใช้เข็มแทงไท่ซ่างหวง ก็ส่งเสียงร้องออกมาทันที หยวนชิงหลิงกลัวว่าจะเป็นสัญญาณให้คนที่อยู่ด้านนอกแตกตื่นได้ จึงรีบกดเสียงลงแล้วพูดขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “ช่วยข้าซะ! ข้ากำลังช่วยชีวิตเจ้านายของเจ้าอยู่นะ ออกไปซื้อเวลาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
นางสามารถเข้าใจภาษาที่ฝูเป่าสื่อออกมาได้ แต่นางไม่รู้ว่า ฝูเป่าจะเข้าใจคำพูดที่นางสื่อออกไปได้หรือไม่
กลายเป็นว่า ฝูเป่ากลับวิ่งทะยานออกไปข้างนอกทันที กระโดดโลดเต้นสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายไปทั่ว ทั้งกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ ล้มเก้าอี้จนระเนระนาด ทั้งขึ้นไปกระโดดโลดเต้นบนพระเพลาของไทเฮา ทุกคนต่างก็สุดจะทานทนกับพฤติกรรมเหล่านี้ แต่ถึงอย่างนั้น ในช่วงเวลาก่อนที่ไท่ซ่างหวงยังไม่สิ้นลมสวรรคตไป ก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะเข้าไปจัดการฝูเป่าเช่นกัน จึงทำได้เพียงยอมให้มันอาละวาดไปอย่างนั้นก่อน
หยู่เหวินเห้าไม่ได้ชาจนไร้ความรู้สึกไปทั้งหมด ยังคงจ้องมองหยวนชิงหลิงด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว ไฟโทสะที่ลุกโชนอยู่ในดวงตาคู่นั้น สื่อความหมายได้เพียงอย่างเดียวเลยคือ ต้องการจะแล่เนื้อเถือหนัง แล้วบดกระดูกนางให้ป่นปี้เป็นขี้เถ้าชนิดไม่ให้เหลือซาก
หยวนชิงหลิง ไม่กล้าหันไปมองตาของเขาแม้แต่แวบเดียวด้วยซ้ำ หัวใจของนางแทบจะกระดอนขึ้นมาถึงลำคออยู่แล้ว นางแทบจะมั่นใจได้เต็มร้อยเลยว่า ถ้าเกิดมีใครเข้ามาเห็นฉากนี้เข้า นางไม่มีทางรอดจากโทษประหารแน่ ๆ ดีไม่ดีอาจถึงขั้นไปลากเอาตระกูลของเจ้าของร่างเดิมมาติดร่างแหไปด้วยก็ได้
หนึ่งนาที สองนาที สามนาที สี่นาทีผ่านไป ตอนนี้ยาในหลอดที่ฉีดให้กำลังจะเสร็จสิ้นกระบวนการ ที่ด้านนอกม่านกั้น มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างแผ่วเบา หยวนชิงหลิงรู้สึกกระวนกระวายแล้ว รีบกล่าวรัวเร็วขึ้นว่า “เสด็จปู่ ท่านโปรดวางพระทัยเถิดเพคะ หลานสะใภ้จะต้องให้กำเนิดบุตรชายหลาย ๆ คนให้กับท่านอ๋องแน่ๆ ต้องทำได้แน่ๆเพคะ”
การฉีดยาเสร็จสิ้นสมบูรณ์
นางรีบเก็บเข็มฉีดยากลับเข้าที่ หยิบกล่องยาขึ้นมา หลังจากที่กล่องยาถูกยกขึ้นพ้นจากพื้น มันก็หดขนาดตัวเองจนเล็กลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง นางรีบซ่อนมันกลับเข้าไปไว้ในแขนเสื้อ
นางโน้มตัวลงไป กระซิบข้างพระกรรณไท่ซ่างหวงอีกครั้งว่า “อีกสักครู่ท่านจะรู้สึกดีขึ้น ได้โปรดให้ข้าอยู่ในวังต่อ เพื่อการถวายยาอย่างต่อเนื่องนะเพคะ”
นางไม่สนว่าไท่ซ่างหวงจะมีปฏิกิริยาเช่นไร แค่ยกม่านกั้นขึ้นแล้วเดินออกไป พูดอย่างเศร้า ๆ ว่า “ท่านอ๋องเสียใจมาก ตอนนี้ไม่อาจลุกขึ้นยืนได้แล้วเจ้าค่ะ”
ฉางกงกงรีบตรงดิ่งเข้าไปทันที จึงได้เห็นว่าหยู่เหวินเห้ากึ่งนั่งกึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ช่างดูเป็นท่วงท่าที่เหมือนคนโศกเศร้าจนเกินจะรับได้ไหวจริง ๆ เสียด้วย
ฮ่องเต้ก็ทรงทอดพระเนตรเห็นแล้วเช่นกัน จึงถอนพระปัสสาสะเบา ๆ แววพระเนตรที่ทอดมองหยู่เหวินเห้าก็อ่อนโยนลงมาก รับสั่งให้คนเข้าไปช่วยพยุงเขา ให้ออกไปพักผ่อนยังห้องโถงในตำหนักข้าง
หยวนชิงหลิงค้อมกายถวายพระพรต่อไทเฮาและฮ่องเต้ ด้วยฐานะพระชายาของอ๋องฉู่ นางจึงจำต้องตามไปดูแลเขาเป็นธรรมดา
นางเตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว ว่าจะเผชิญหน้ากับความโกรธของเขาอย่างไร เมื่อเขาตื่นขึ้นมา
ไท่ซ่างหวงยังคงต้องการการรักษาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น นางจึงจำเป็นต้องปิดปากของเขาให้แน่น ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่อาจทำแค่นั่งรอถูกซ้อมถูกตีอยู่อย่างนี้ต่อไปได้อีก