บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 172
อ๋องฉีพูดขึ้นอย่างโศกเศร้าว่า “มีอะไรก็พูดต่อหน้าข้า ต่อให้ข้าจะตายแล้ว ก็ไม่ควรปิดบังข้า”
ฉู่หมิงชุ่ยขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า “พูดอะไรไปเรื่อย? หมอก็บอกแล้ว อาการของเจ้าไม่สาหัส อย่างอแง ให้หมอช่วยรักษาให้เจ้า ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่านอ๋อง”
อ๋องฉีมองดูสีหน้าของนางที่ไม่พอใจขึ้นมา แล้วคิดถึงคำพูดของหยวนชิงหลิง ในใจมีความรู้สึกผสมปนเปกันอยู่พักหนึ่ง เงียบไม่พูดอะไร
ฉู่หมิงชุ่ยนึกว่าเขายังคิดว่าตนเองบาดเจ็บสาหัส จึงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว สายตาฉายแววผิดหวังขึ้นมา
นางอภิเษกกับคนที่ไร้ประโยชน์คนหนึ่งจริงๆ
นางมองดูหยู่เหวินเห้า พูดขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า “ท่านอ๋อง เชิญ”
หยู่เหวินเห้ามองดูหนังด้วยสายตาเรียบเฉย แล้วหันไปพูดกับอ๋องฉีว่า “ข้าไปเดี๋ยวก็กลับมา”
อ๋องฉีพยักหัว พร้อมพูดว่า “รู้แล้ว”
ทั้งสองคนไปยังห้องด้านข้าง
ฉู่หมิงชุ่ยไล่ทุกคนออกไป และจะปิดประตูไว้
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า “ไม่จำเป็นต้องปิดประตู”
ฉู่หมิงชุ่ยเงยหน้า สายตามองดูเขาอย่างเฉียบคมแวบหนึ่ง พร้อมพูดขึ้นอย่างประชดประชันว่า “ทำไม? กลัวข้าทำอะไรเจ้าหรือ? เหมือนเมื่อหนึ่งปีก่อนในจวนเจ้าหญิง หยวนชิงหลิงกระทำกับเจ้าแบบนั้นหรือ?”
หยู่เหวินเห้าสะบัดเสื้อคลุมนั่งลงพร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าเพียงแค่คิดว่า เจ้ากับข้าต่างก็มีคู่ครองแล้ว ควรต้องระวังบ้าง”
“ระมัดระวัง?” ฉู่หมิงชุ่ยหัวเราะเยาะ พร้อมพูดว่า “เจ้ากับข้าต้องระมัดระวังกันตั้งแต่เมื่อไหร่? เจ้าหลงรักหยวนชิงหลิงแล้วจริงๆ เวลาเพียงแค่หนึ่งปี เจ้าเปลี่ยนใจแล้ว เจ้าทำให้ข้าเจ็บปวดใจมาก”
หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า “เจ้าจะพูดกับข้าพวกนี้หรือ? ข้าคิดว่าไม่มีอะไรน่าพูด”
เวลานี้หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่า แกล้งแสร้งบ้างก็ดี ไม่ต้องฉีกหน้าให้เสียหน้า ทุเรศ
“หยวนชิงหลิงดึงดูดใจเจ้ายังไงกันแน่? เจ้าไม่คิดว่านางเป็นคนที่ต่ำทรามคนหนึ่งหรือ?”ฉู่หมิงชุ่ยถามขึ้น และก็ไม่สนใจว่าด้านนอกมีคนหรือไม่ ไม่ว่ายังไงคนในจวนอ๋องก็อยู่ในภายใต้กำมือของนาง
ส่วนสวีอี เขาไม่กล้าที่จะพูดแพ่งพายออกไปแล้ว
หยู่เหวินเห้าแสดงท่าทีเห็นด้วยอย่างยิ่ง ถอนหายใจพร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่เพียงต่ำทรามเท่านั้น? ยังป่าเถื่อนมาก โหดเหี้ยม ดื้อรั้น ชั่วร้าย เย็นชา ใจจดำ”
ข้อเสียของหยวนชิงหลิง เขาสามารถนับได้เป็นร้อยไม่ซ้ำกันภายในหนึ่งลมหายใจ
ฉู่หมิงชุ่ยยิ้มเศร้าๆ พร้อมพูดว่า “คนแบบนี้ เจ้ากลับยังชอบ?”
หยู่เหวินเห้าโบกมือ พูดขึ้นอย่างจนใจว่า “จะให้ทำอย่างไรล่ะ? ใครใช้ให้นางเป็นพระชายาของข้า? จนใจจริงๆ”
ฉู่หมิงชุ่ยจ้องมองดูเขา ภายในใจทั้งเจ็บปวดทั้งสับสน เขาพูดได้อย่างน่าสงสารขนาดนั้น? แต่ตาคิ้วของเขากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ฉู่หมิงชุ่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ ปรับเปลี่ยนเป็นท่าทีดูเย็นชา พร้อมพูดขึ้นว่า “ครั้งนี้อ๋องฉีถูกลอบฆ่าด้านนอกจวนอ๋องฉู่ เจ้าคิดว่าใครน่าสงสัยที่สุด?”
หยู่เหวินเห้ามองดูนาง หัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าไง”
ฉู่หมิงชุ่ยอึ้ง สีหน้าเปลี่ยนไป พูดขึ้นด้วยเสียงแหลมว่า “เจ้าพูดว่าอะไร?”
หยู่เหวินเห้ายังคงมองดูนาง พูดพร้อมรอยยิ้มที่ลึกซึ้งว่า “ดูสิเจ้าจะตื่นเต้นขนาดนี้ทำไม? ข้าแค่ล้อเจ้าเล่น บรรยากาศเมื่อกี้ไม่ดีเลย ดูเหมือนเราจะไม่เคยคุยกันจนสถานการณ์ตึงเครียดขนาดนี้มาก่อน”
สีหน้าย่ำแย่ของฉู่หมิงชุ่ยไม่ทันได้ปกปิด พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ใช่ พวกเรามาถึงวันนี้กันได้อย่างไร? เจ้าคิดว่าเป็นความผิดของข้าหรือ?”
“ความผิดของหยวนชิงหลิง” หยู่เหวินเห้ามองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่ไหม?”
ฉู่หมิงชุ่ยพูดขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า “หรือเจ้าคิดว่าความผิดอยู่ที่ข้า?”
“ไม่ เจ้าไม่มีทางผิด” หยู่เหวินเห้ายิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ว่าเจ้าจะทำเรื่องอะไร ล้วนมีเหตุผลและความจำเป็นของเจ้า อย่างเช่นเจ้าอยากที่จะอภิเษกกับเจ้าเจ็ด”
สายตาฉู่หมิงชุ่ยฉายแววโกรธเคือง พร้อมพูดขึ้นว่า “นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าอภิเษกกับหยวนชิงหลิงแล้ว ยังจะให้ข้ารอเจ้าหรือ?”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า “ต่อให้ข้าไม่ได้อภิเษกกับหยวนชิงหลิง เจ้าก็จะอภิเษกกับเจ้าเจ็ด”
หยู่เหวินเห้ารู้สึกขึ้นมาในทันใดว่า ที่จริงต่อให้แตกหักกันก็ดี ลมพัดเปลือกไข่ ไร้สิ้นความรักคนก็จะมีความสงบสุข
ริมฝีปากฉู่หมิงชุ่ยสั่นเทา มองดูเขาอย่างไม่อยากเชื่อพร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้า….เจ้าคิดกับข้าเช่นนี้หรือ? ในใจของเจ้า เห็นข้าเป็นคนยังไงกันแน่?”
หยู่เหวินเห้าคิดว่าเรื่องนี้พูดถึงตรงนี้ก็ควรที่จะจบได้แล้ว เขาปรับเปลี่ยนท่าทีพร้อมพูดขึ้นอย่างเฉยเมยว่า “เจ้าตามข้ามาเพื่อพูดเรื่องอะไร”
ฉู่หมิงชุ่ยจ้องมองดูเขา น้ำตาไหลพรากลงมา พูดขึ้นอย่างสะอึกสะอื้นว่า “ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว เดิมเขาถูกลอบทำร้ายตรงหน้าประตูจวนเจ้า ข้าเป็นห่วงเจ้า กลัวว่าเจ้าจะเดือดร้อน กลับคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเห็นข้าเป็นแบบนี้ เจ้าทำให้ข้าต้องเสียใจมาก เจ้าไปเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว ขอให้เจ้าที่ไม่ต้องมาจวนอ๋องฉีอีก”
หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นยืน พร้อมพูดว่า “ไม่ จวนอ๋องฉีข้ายังต้องมา เจ้าเจ็ดอยู่ที่นี่”
พูดเสร็จ เขาเอามือไขว้หลังแล้วก็เดินออกไป ดูสบายอกสบายใจอย่างที่สุด
ฉู่หมิงชุ่ยโกรธจนสั่นไปทั้งตัว ยื่นมือเช็ดน้ำตา แต่น้ำตากลับยิ่งเช็ดก็ยิ่งเยอะ ยังไงก็ไม่ยอมหยุด ในใจเจ็บปวดเหมือนโดนเข็มแทงนางไม่เคยคิดไม่เคยฝัน ว่าเขาจะพูดแบบนี้กับนาง
นางคิดมาตลอดว่า ความรักครั้งนี้ เพียงพอที่จะทำให้เขาจดจำไปตลอดชีวิต มีงานอยู่ในใจของเขา ใครก็ไม่สามารถเดินเข้าไปแทนที่ได้
ทำไมถึงเป็นหยวนชิงหลิง? ทำไมถึงเป็นผู้หญิงโลภมากไม่รู้จักพอ น่าเกลียดน่าขยะแขยงคนนี้?
เวลานานแค่ไหนเอง? เขาก็หลงเชื่อผู้หญิงคนนั้นแล้วทุกอย่าง
หลังจากหยู่เหวินเห้าออกมาจากห้องด้านข้าง ก็พาสวีอีไปหาอ๋องฉี
“ท่านอ๋อง เมื่อกี้คำพูดของพระชายาฉีน่าตกใจมาก”สวีอีพูดขึ้น
“หุบปากเน่าๆของเจ้า”หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างเย็นช้า
“ได้”สวีอีรีบหุบมาก
หยู่เหวินเห้าไปหาอ๋องฉี ซึ่งอ๋องฉีพันแผลเสร็จแล้ว ทังหยางกำลังถามอาการ เห็นหยู่เหวินเห้ามา ทังหยางพูดขึ้นว่า “ได้ถามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นของสมควรแล้ว น่าจะสืบไม่ยาก”
อ๋องฉีได้ยินคำพูดนี้ ก็กัดฟันพูดคือว่า “พี่ห้า จะต้องจับตัวคนร้ายคนนี้ออกมาให้ได้”
หยู่เหวินเห้านั่งลง มองดูเขาพร้อมพูดว่า “เจ้าวางใจ ข้าสืบแน่นอน รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
อ๋องฉีพูดขึ้นอย่างทรมานว่า “เจ็บ”
“เจ็บปวดแค่นี้ก็ทนไม่ได้แล้วหรือ ยังเป็นผู้ชายอยู่ไหม?”หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างตำหนิ
อ๋องฉีร้องตะโกนพูดขึ้นว่า “คนที่บาดเจ็บไม่ใช่เจ้านี่”
“ข้ากับพี่สะใภ้ห้าของเจ้าก็เคยถูกลอบทำร้าย” หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า “อาการบาดเจ็บของพี่สะใภ้ห้าของเจ้าหนักกว่าเจ้าเยอะมาก ข้ายังไม่เคยได้ยินนางร้องสักคำ”
อ๋องฉีหันหน้ามามองดูเขา แล้วก็พูดไม่ออก
“มีอะไรจะพูดก็พูดมา”หยู่เหวินเห้ากวาดสายตามองดูเขา
อ๋องฉีถามขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “หากตอนนี้ให้เจ้าเลือกอีกครั้ง เจ้าจะเลือกพี่สะใภ้ห้าที่ดุร้ายหรือเลือก….”
เอาเงียบไปสักพัก แล้วพูดออกมาสองคด้วยเสียงเบาว่า “ชุ่ยเอ๋อ”
หยู่เหวินเห้าแตะบนหัวของเขาเบาๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “คืนนี้พี่สะใภ้ห้าของเจ้าบอกข้าว่าสมองของเจ้าพิการ ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าหมายความว่าอย่างไร”
“หมายความว่าอย่างไร?”อ๋องฉีอึ้งไปสักพักแล้วถามขึ้น
“ก็คือหัวสมองของเจ้ายังไม่มีประโยชน์เท่าเส้นผมของเจ้าเลย” หยู่เหวินเห้าพูดจบ แล้วก็ยิ้มลูกขึ้นพร้อมพูดว่า “ในขณะที่รักษาตัวก็ให้คิดใคร่ครวญให้ดี วันหลังค่อยมาเยี่ยมเจ้า”
“อ้า เจ้ายังไม่พูดถึงเรื่องคนร้ายเลย? เจ้าคิดว่าคนร้ายเป็นใคร?”อ๋องฉีถามขึ้นอย่างเสียงดัง
หยู่เหวินเห้าไม่หันหน้ากลับ โบกมือพร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่รู้”
ตอนที่กลับไป สวีอีถามขึ้นว่า “ท่านอ๋อง ท่านรู้ไหมว่าคนร้ายคือใครส่งมา?”
หยู่เหวินเห้าเปลี่ยนท่าทีขี้เล่นเมื่อตอนที่อยู่ในจวนอ๋องฉี พูดขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า “เดารู้แล้ว วันเดียวกัน พระชายาฉีจัดงานทำบุญนอกเมืองเกิดอุบัติเหตุ และคืนนี้อ๋องฉีถูกลอบทำร้าย เรื่องนี้หากเจ้าไม่อยู่ในสถานการณ์ เจ้าจะเห็นว่าอย่างไร?”
สวีอีคิดสักพัก พร้อมพูดขึ้นว่า “มีคนต้องการทำร้ายจวนอ๋องฉี”
หยู่เหวินเห้าตบบ่าเขา พร้อมพูดว่า “โชคดี สมองเจ้าไม่ได้พิการเหมือนเจ้าเจ็ด”
ทังหยางหัวเราะ
“สมองพิการอะไร? ท่านอ๋องท่านสิสมองพิการ”สวีอีฟังแล้วก็รู้ว่าเป็นคำพูดด่าคน เพราะใต้เท้าทังหัวเราะ