บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 183
ครุ่นคิดอยู่นาน หยวนชิงหลิงจึงพูดขึ้น: “ตอนนั้นไม่กล้า”
“ไม่กล้าหรือ? นี่เป็นเหตุผลที่ไม่ดีเลย” แม่นมสี่พูด
หยวนชิงหลิงหัวเราะ: “ใช่ ที่จริงไม่ใช่เหตุผลที่ดีเลย”
แต่ ก็มีความคิดแบบนี้จริงๆ นางในตอนนั้น มีศัตรูรอบทิศ
“แล้ว?” แม่นมสี่ถามขึ้น
หยวนชิงหลิงถอนหายใจ “ไม่รู้ พรหมลิขิตของคนสองคนนั้นอัศจรรย์มาก ตอนที่ข้าเข้ามาในวัง มีบาดแผลเต็มตัว แม่นมเป็นคนเดียวที่ดีกับข้า ข้าจำบุญคุณครั้งนั้นได้และจะจำตลอดไป”
ประโยคนี้ พอเจอแม่นมสี่หักหลังมา ก็เหมือนปากจะไม่ตรงกับใจ
แต่ว่า แม่นมสี่ฟังแล้วก็รู้สึกตื้นตัน จนน้ำตาไหลออกมา
“ตลอดไป” แม่นมสี่พูดเสียงติดขัด พร้อมกับยิ้มออกมา “เมื่อนานมาแล้ว ก็เคยมีคนพูดกับข้าว่าจะดีกับข้าตลอดไป”
“เขาทำไม่ได้หรือ?” หยวนชิงหลิงถามขึ้น คนคนนั้นต้องเป็นโสวฝู่ฉู่แน่นอน?ต้องใช้แน่ๆ โสวฝู่ฉู่จะมาชอบนางกำนัลในวังได้อย่างไร?
“ข้าไม่เชื่อ!” แม่นมสี่พูดขึ้น พร้อมกับท่าทีไม่รู้เรื่อง “ใครจะเชื่อ?เขาเป็นใคร ข้าเป็นใคร?ไม่เชื่อ งั้นข้าก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่ต้นจบนั้นมันจริงหรือไม่ แบบนี้ก็ดีออก”
ไม่มีอะไรแน่นอน
ไม่เชื่อ ไม่ลอง ตำตอบก็มีแค่สองแบบ
หยวนชิงหลิงถอนหายใจ
“ทั้งชีวิตนี้ ก็ผ่านไปแบบงงๆ” แม่นมสี่พูดเสียงนิ่ง
“เป็นเรื่องราวที่ทั้งสวยงามและเจ็บปวดเรื่องหนึ่ง” หยวนชิงหลิงพูด
แม่นมสี่หัวเราะ “อย่างนั้นหรือ?”
ไม่งดงาม เพียงแค่เป็นเรื่องของคนที่รู้ ไม่ได้สวยงามเลยสักนิด เพราะความอายุยาวนานและความเจ็บที่ยาวนาน นางค่อยๆ ผ่านมันมา
เคยเสียใจ แต่ไม่กล้าให้ความเสียใจนั้นมาทำลายความต้องการตัวเอง
เพราะว่าพอเกิดความบ้าขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก็อาจจะทำให้เกิดความคิดต่างๆ ขึ้นมากมาย อย่างนั้นตัวเราก็จะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
ตอนนี้แม้ว่าจะไม่รู้อะไร แต่กลับผ่านมาครึ่งชีวิตแล้ว อยู่อย่างสงบ เหมือนน้ำไหลนิ่ง
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มดูน่าเศร้า จึงพูดขึ้น: “จริงด้วย ท่านอ๋องบอกว่าวันนี้เป็นการเลือกพระชายารองให้อ๋องฉี มามาคิดว่า พระชายารองคนนี้จะเป็นหญิงสาวจากตระกูลฉู่หรือไม่?”
“ไม่จำเป็น!” แม่นมสี่พูดขึ้น
“ไม่จำเป็นงั้นหรือ?” หยวนชิงหลิงอึ้งสักพัก “ตอนนี้ดูแล้วพระชายาอ๋องฉีกำลังจะถูกโส่วฝู่ฉู่ทอดทิ้งแล้ว ยังไงซะ นางก็มีมลทินแล้ว ตำแหน่งพระชายาอ๋องฉีนี้ อาจจะไม่สามารถอยู่ได้แล้ว มีหรือที่โสวฝู่ฉู่จะไม่เลือกคนในตระกูลฉู่มาแทน?”
แม่นมสี่พูดเบาๆ “โสวฝู่ฉู่ไม่จำเป็นต้องเลือกอ๋องฉีเป็นรัชทายาท และถึงแม้ว่าเขาจะเลือกอ๋องฉี แต่ถ้ามีคนที่ดีกว่า เขาก็จะเลือกคนที่ดีกว่า”
ประโยคนี้ทำให้หยวนชิงหลิงตกใจมาก
“ถ้าเขาไม่เลือกอ๋องฉีแล้วจะเลือกใคร?อ๋องฉีเป็นหลายชายเขาใช่หรือไม่?และที่ท่านบอกว่าถึงจะเลือกอ๋องฉี แต่ถ้ามีคนที่ดีกว่า เขาก็จะเลือกคนที่ดีกว่า เอาอะไรมาวัด?”
แม่นมสี่นิ่งไปสักพัก แล้วพูดขึ้น: “ที่จริงพระชายาไม่จำเป็นต้องมองเขาซับซ้อนขนาดนั้น ในใจเขานั้น บ้านเมืองมาก่อน ทุกอย่าง”
ประโยคนี้ หยวนชิงหลิงไม่เชื่อ
คนที่กุมอำนาจไว้ในมือ และยังเอาแต่ข่มขู่คนในราชวงศ์ เจ้าคิดว่าเขาต้องการทำเพื่อประเทศอย่างนั้นหรือ?บางทีอาจจะใช่ แต่ต้องดูว่าจะเป็นใครที่ทำให้บ้านเมืองสงบ
หัวใจของคนคนหนึ่งนั้นสามารถขยายใหญ่ได้ นางเชื่อจุดนี้
แต่ว่า โส่วฝู่ฉู่เห็นแม่นมสี่เป็นเพียงของเล่น อย่างนั้นก็ไม่ควรพูดอะไรมากแล้ว
งานชมดอกไม้ถูกจัดขึ้นที่อุทยานอวี้ฮัวซึ่งประดับด้วยโดมสว่างไสว
ไม่ใช่งานกลางวันแต่สามารถจัดได้เร็วขนาดนี้ ทำให้คนสงสัยในตัวฮองเฮาอย่างมาก
ตอนที่หยวนชิงหลิงมานั้น พระชายาอ๋องซุนเองก็มาถึงเหมือนกัน นางเดินเข้ามาทักทายหยวนชิงหลิง หยวนชิงหลิงหันไปมองแสงไฟ มีคุณหนูหลากหลายตระกูล ดูงดงามกันทั้งนั้น ทั้งเครื่องแต่งองค์ทรงเครื่อง
หน้าตาจิ้มลิ้ม มีสง่าราศี นางมองเห็นฉู่หมิงชุ่ยกับฉู่หมิงหยางอยู่ไกลๆ
“คืนนี้คึกคักจริงๆ!” หยวนชิงหลิงพูดขึ้น
พระชายาอ๋องซุนยิ้มรับ : “ต้องคึกคักอยู่แล้ว ฮองเฮาเป็นคนเชิญเองด้วย ใครจะกล้าไม่มาร่วม?”
“จัดงานตอนกลางวันไม่ดีกว่าหรือ?” หยวนชิงหลิงถาม
พระชายาอ๋องซุนตอบ: “ได้ยินสำนักดาราศาสตร์บอกว่า วันข้างหน้าจะมีฝนตก ถ้าหากว่าพวกนางเปียกขึ้นมาคงดุร้ายแน่นอน และด้วยความที่ฮองเฮาใจร้อน ตอนเย็นก็ไม่เป็นไร”
ที่แท้ก็แบบนี้
พระชายาอ๋องซุนและหยวนชิงหลิงเดินเข้าไป องค์หญิงต่างก็เข้าร่วมงานกันแล้ว
หยู่เหวินหลิงเห็นหยวนชิงหลิงมีความสุข ก็รีบไปจับมือนาง “ไปเถอะ ไปคารวะเสด็จแม่ฮองเฮา แล้วค่อยไปคารวะท่านแม่”
“ไทเฮามาหรือยัง?ต้องไปคารวะไทเฮาก่อนไหม?” หยวนชิงหลิงถาม
“เสด็จย่าไม่มา ก็ไม่ต้องไปทำให้นางตกใจหรอกนะ” หยู่เหวินหลิงกล่าว
ฮองเฮากำลังนั่งพูดคุยอยู่กับเหล่าสนมตรงศาลา หยู่เหวินหลิงจึงพาหยวนชิงหลิงเข้าไปคารวะ เมื่อครู่พระชายาอ๋องซุนได้คารวะไปแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ได้ตามมาด้วย
ฮองเฮา เสียนเฟย กุ้ยเฟย เต๋อเฟย ฉินเฟยต่างก็อยู่กันพร้อมหน้า หยวนชิงหลิงเข้าไปแล้วค่อยๆ คารวะตามลำดับ
ช่วงนี้หยวนชิงหลิงเป็นที่เลื่องลือมา หญิงสาวที่ครอบครัวตกอับอยู่ดีๆ ก็กลายมาเป็นพระชายา แถมยังได้รับการโปรดปรานจากฝ่าบาทและไท่ซ่างหวงด้วย ได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ของทั้งคนสามีภรรยาก็ลึกซึ้งมาก แน่นอนว่าต้องเป็นที่จับตามองอยู่แล้ว
นอกจากเสียนเฟย
เพราะไม่ว่าเสียนเฟยจะมองยังไงก็ยังไม่ชอบหยวนชิงหลิงอยู่ดี
ตระกูลก็ดูมีปัญหา ตอนนี้ยังมารู้ว่าใจแคบอีก ช่างน่าอับอายยิ่งนัก
ดูท่าทางของนาง ดูได้จากการข่มใจทำ ดูการแต่งตัว และดวงตาสองคู่นั้นก็ไม่รู้ว่ามองอะไรอยู่ ช่างทำให้รู้สึกรังเกียจยิ่งนัก
ทำไมหยวนชิงหลิงจะไม่รู้ว่าเสียนเฟยใช้สายตารังเกียจมองนางโดยตลอด?
ตอนที่ตัวเองเกลียดใครบางคน แค่หายใจยังผิดเลย
ดังนั้น นางจึงไม่พยายามสบตาเสียนเฟย ถ้าหากว่านางไปสบตากับแววตาแบบนั้น ก็คงจะรู้สึกทำอะไรไม่ถูก
หยวนชิงหลิงเก็บความรู้พึมพำรังเกียจกันและกันไว้ให้เป็นความไม่ลงรอยกันของแม่ผัวกับลูกสะใภ้
ฮองเฮาหันไปมองหยวนชิงหลิง : “ได้ยินว่าพระชายาอ๋องฉู่ได้รักษาอาการป่วยของอ๋องหวยหายแล้ว พอข้าได้ยิน ก็รู้สึกสบายใจ ช่วงนี้ข้าเองก็ยุ่งกับงานในวัง เลยยังไม่ทันได้ตกรางวัลให้……”
นางพูดร่ายยาว พร้อมกับถอดกำไลหยกที่ข้อมือออกมา แล้วส่งให้หยวนชิงหลิง “กำไลข้อมืออันนี้ติดตัวข้ามานานกว่ายี่สิบปีแล้ว เป็นตอนที่ข้าอยู่ในจวนแล้วเสด็จปู่เป็นผู้มอบให้ สำหรับข้าแล้ว มันมีความหมายมากเลย วันนี้ข้าได้มอบมันให้กับเจ้า เพื่อเป็นการขอบใจที่เจ้ารักษาลูกชายข้า”
หยวนชิงหลิงหันไปมองกำไล ช่างดูเก่ามากจริงๆ
นางเคยเห็นลู่หยาใส่อันหนึ่ง สียังดูดีกว่านี้เลย
แต่ว่า นางไม่สามารถจะรังเกียจได้ เพราะนางก็บอกว่าเสด็จปู่ได้ให้นางมายี่สิบกว่าปีแล้ว มีความหมายมาก ขนาดกำไลแขนของเสด็จปู่ก็ยังมอบให้นาง ในสายตาของทุกคน ช่างดูเป็นที่โปรดปรานมาก
หยวนชิงหลิงรีบรับ แล้วยังต้องแสร้งทำเป็นประหลาดใจ “ขอบพระทัยเพคะเสด็จแม่!”
เสียนเฟยแทบจะไม่อยากได้ยินจึงพึมพำ ก็แค่ของที่ฮองเฮาหยิบมาอย่างไม่สนใจแค่นั้น ?จำเป็นต้องทำหน้าตะลึงจนแทบจะลงไปเลียฮองเฮาอยู่แล้ว
ช่างน่าอับอายยิ่งนัก!
หยู่เหวินหลิงเป็นคนใสซื่อ พอเห็นกำไลนั่น ก็พลางขมวดคิ้ว แต่นางก็ไม่กล้าพูด แต่รอจังหวะให้หยวนชิงหลิงถอยออกมาก่อน ถึงถามขึ้นเบาๆ : “กำไลอันนี้ข้าไม่เคยเห็นเสด็จแม่ใส่เลย และกำไลอันนี้ดูไม่ใช่ของดีอะไร ข้าว่าตระกูลฉู่ก็ไม่มีทางสองของแบบนี้ให้ลูกหลาน ลูกสะใภ้ตัวเองหรอก ของแบบนี้ไม่มีทางเป็นของล้ำค่า”
หยวนชิงหลิงมองความใสซื่อของนาง พลางโอบไหล่นาง “องค์หญิง เรื่องนี้ไม่ต้องพูดออกมา ใจเราเข้าใจก็พอ เดี๋ยวปากจะพาซวยได้”