บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 219
หยู่เหวินเห้าพอได้รู้ว่าวันนี้หยวนชิงหลิงถูกฉู่หมิงหยางทำให้โมโหจนกระเทือนถึงครรภ์ ก็ทำให้โมโหจนสั่นสะเทือนไปหมด
ให้ตายเถอะ ไม่ง่ายเลยที่จะได้รับการตรวจวินิจฉัยวันนั้นแล้วว่า ครรภ์แข็งแรงดีแล้ว ถ้าเป็นไปอย่างนี้โดยราบรื่น รอให้ครรภ์ครบสามเดือน ท่านอ๋องก็ไม่จำเป็นต้องใช้มือของตัวเองแล้ว ไม่อยากจะเรียนรู้เรื่องพรรค์นี้อีกแล้ว
ตอนนี้กระทบครรภ์อีกแล้ว ในช่วงสามเดือนจากนี้ก็คงได้แต่ดูไม่ได้แตะต้องอีกตามเคย เป็นบุรุษเลือดลมพลุ่งพล่านคนหนึ่ง อดที่จะแค้นใจจนอยากจะเรียกรวบรวมคนทั้งหมดในจวน แล้วไปลากตัวฉู่หมิงหยางมาใช้ม้าแยกร่างนางเสีย
แต่ว่า ไม่จำเป็นที่เขาต้องไปหาถึงตระกูลฉู่ ก็เห็นทังหยางเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน พูดว่า “ท่านอ๋อง พระชายา โสวฝู่ฉู่พาคุณหนูรองตระกูลฉู่มาขอขมา ”
หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงมองตากัน มีความไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง
หลายปีมานี้ ตระกูลฉู่ล่วงเกินผู้คนไปไม่รู้เท่าไหร่ ไม่เคยเห็นโสวฝู่ฉู่ไปขอขมาถึงที่มาก่อน แต่วันนี้กลับมาฉู่หมิงหยางมาขอขมาถึงที่ น่าจะมีเจตนาไม่ดีแน่ ไม่น่าไว้วางใจ
หยู่เหวินเห้าเอ่ยเสียงเย็นว่า “มาได้จังหวะพอดี ข้าจะดูสิว่า โสวฝู่ฉู่จะปิดท้องฟ้าด้วยฝ่ามือเดียวได้จริงหรือไม่ บังอาจล่วงเกินราชวงศ์”
หยวนชิงหลิงดึงมือของเขาเอาไว้ เอ่ยอย่างกังวลว่า “ท่านอย่าใจร้อน เกรงว่าผลีผลามคงยากจะกู้คืนได้ ”
สถานการณ์เช่นนี้ ฮ่องเต้ล่วงเกินโสวฝู่ฉู่ได้ แต่ว่า เหล่าชินอ๋องยังไม่สามารถทำได้ นี่มันสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจจริงๆ
“วางใจเถอะ ข้าไม่ไปถือสาฉู่หมิงหยางหรอก ดูแล้วนางก็เป็นคนอายุไม่ยืนเท่าไหร่ คนใกล้ตาย ไม่คุ้มที่ข้าจะลงมือด้วย”หยู่เหวินเห้าพูดปลอบ
หยวนชิงหลิงมองเขา พูดอย่างจริงจังว่า “ไม่ ไม่จำเป็นต้องไปล่วงเกินโสวฝู่ฉู่ แต่ฉู่หมิงหยางต้องสั่งสอนนางสักครั้ง พวกเราเลือกบดขยี้ลูกพลับที่อ่อนนุ่มดีกว่า โสวฝู่ฉู่แก่แล้วแข็งเกินไปพวกเราขยี้ไม่ได้ ขยี้ฉู่หมิงหยาง อย่างไรเสียก็เหลือเฟือ”
“ล้ำเลิศ ล้ำเลิศ ”หยู่เหวินเห้าชื่นชม
หยู่เหวินเห้านำคนออกไป โสวฝู่ฉู่และฉู่หมิงหยางได้ถูกเชิญไปรอที่โถงใหญ่แล้ว ฉู่หมิงหยางยืนอยู่ โสวฝู่ฉู่กำลังนั่งดื่มชา
เห็นหยู่เหวินเห้ามา โสวฝูฉู่ก็ลุกขึ้น ท่าทีถ่อมตนแต่ก็ไม่เสียบุคลิกน่าเกรงขามของโสวฝู่ สองมือประสานขึ้นมา “ข้าน้อยคำนับท่านอ๋อง”
เหมือนที่มีคนกล่าวเอาไว้ว่าไม่ถือสาคนแก่ที่ยอมรับผิด หยู่เหวินเห้าจึงสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้ ตอบกลับอย่างมีมารยาทว่า “ใต้เท้าโสวฝู่ไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่ง ”
โสวฝู่ฉู่นั่งลง รอให้หยู่เหวินเห้านั่งลงแล้ว ก็เอ่ยด้วยเสียงหนักดุดันว่า “เจ้ายังไม่คุกเข่าขอโทษต่อท่านอ๋องอีกหรือ”
ในใจของฉู่หมิงหยางมีความโกรธอัดอั้นอยู่ การขอขมาครั้งนี้ เดิมทีนางไม่ยอมมา แต่ก็ขัดคำสั่งเด็ดขาดของท่านปู่ไม่ได้ นางได้แต่คำตามคำสั่ง
แต่นางกำลังจะเป็นพระชายารองอ๋องจี้แล้ว นับได้ว่าเป็นพี่สะใภ้ของหยู่เหวินเห้า การมาขอขมาครั้งนี้ ภายหน้าก็คงไม่จบไม่สิ้น
นางไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมท่านปู่จึงได้เกรงกลัวอ๋องฉู่นัก อีกทั้ง ยังให้ความสำคัญกับลูกในท้องของหยวนชิงหลิงนัก เด็กคนนี้ สมควรต้องกำจัดจึงจะถูกต้อง
“คุกเข่าลง ”โสวฝู่ฉู่เห็นนางยังคงยืนอยู่อย่างแข็งข้อไม่ขยับ จึงได้ตะคอกเสียงดัง
ฉู่หมิงหยางตกใจกับเสียงดังดุจฟ้าผ่านี้ นางขวัญหนีดีฝ่อ รีบคุกเข่าลงทันที แม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็ได้แต่พูดว่า “วันนี้ข้าน้อยพูดจาเสียมารยาทวัง กระทบกับพระชายา ขอท่านอ๋องกับพระชายาให้อภัยข้าน้อยที่อายุน้อยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้วย”
หยู่เหวินเห้าไม่มองนางเลยด้วยซ้ำ คำขอโทษของนางก็เหมือนจะไม่ได้ยิน เพียงแต่บอกกับข้ารับใช้ว่า “เด็กๆ มาเปลี่ยนน้ำชาให้โสวฝู่ฉู่ด้วย”
ฉู่หมิงหยางโกรธจนตัวสั่น อ๋องฉู่ตั้งใจจะทำให้นางอับอาย นางทนไม่ได้จนพูดออกมาว่า “ท่านอ๋อง ที่ข้าน้อยทำผิดครั้งนี้ เรื่องมีที่มาที่ไป ท่านอ๋องโปรดตรวจสอบให้ชัดเจนด้วย ”
แววตาเย็นเหยียบของโสวฝู่ฉู่กวาดมองมา แม้ในใจของฉู่หมิงหยางจะรู้ดีว่าอาจทำให้ท่านปู่ไม่พอใจ แต่ก็ไม่ควรไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้ “ท่านอ๋อง เป็นพระชายาฉู่ที่ดูถูกเหยียดหยามพี่สาวข้าก่อน ข้าน้อยไม่อาจทนดูได้ จึงได้ออกหน้าโต้ตอบนางไป แม้ว่าเรื่องที่ข้าออกหน้าแทนพี่สาวนั้นจะทำไม่ถูกต้อง แต่ว่า ก็พออภัยได้ ”
นางรู้ว่าพี่ใหญ่เป็นคนเปลี่ยนใจก่อน ไม่ยินดีจะแต่งกับอ๋องฉู่ แต่อ๋องฉู่เป็นคนเลอะเลือน เขาไม่รู้ จนตอนนี้ก็ยังรักพี่ใหญ่อยู่ ถ้าหากเขารู้ว่าหยวนชิงหลิงเสียมารยาทกับพี่ใหญ่ก่อน เหยียดหยามพี่ใหญ่ เรื่องนี้ยังไม่แน่ว่าใครจะซวย
หยู่เหวินเห้ายังคิดไม่ตกว่าจะจัดการกับนางอย่างไรดี พอได้ยินนางพูดเช่นนี้ หยู่เหวินเห้าก็โมโหขึ้นมา พูดเสียงเย็นว่า “เด็กๆ ไปเชิญแม่นมสี่มา ”
เดิมทีโสวฝู่ฉู่คิดว่าจะตำหนิฉู่หมิงหยางอยู่แล้ว ได้ยินคำนี้ของหยู่เหวินเห้า เขาก็ได้แต่หุบปากลง ค่อยๆดื่มชาไป
ครู่เดียว แม่นมสี่ก็เข้ามา
โสวฝู่ฉู่เงยหน้าขึ้นมองนาง ใบหน้าซูบผอมนั้นมีความสดใสขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันมีคนเห็น เขายืนขึ้นพยักหน้าให้ รอแม่นมสี่คำนับเรียบร้อยแล้ว เขาจึงค่อยๆนั่งลง
เห็นท่านปู่ปฏิบัติอย่างมีมารยาทต่อแม่นมสี่ ใบหน้าของฉู่หมิงหยางก็ขาดซีดไปหมด
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “แม่นมสี่ วันนี้ที่ทะเลาะกันในวังเจ้าก็อยู่ด้วย เจ้าลองพูดมาซิ พระชายาฉู่ใช้คำพูดอะไรเหยียดหยามพระชายาฉีกัน ”
แม่นมสี่มองฉู่หมิงหยางด้วยสายตาเย็นชา พูดว่า “ตอนที่รออยู่หน้าพระตำหนักไทเฮา คุณหนูรองก็ได้พูดจาเหยียดหยามพระชายาก่อนแล้ว ถูกรองพระชายาหยวนสั่งสอนไปทีหนึ่งจึงได้หยุดลง จากนั้นตอนที่ออกจากวังก็พบเข้ากับพระชายาฉีและคุณหนูรอง พระชายาฉีได้ขออภัยพระชายาแทนคุณหนูรอง พี่สะใภ้น้องสะใภ้คุยกันพอเป็นพิธี ไม่ได้มีใครเหยียดหยามใคร แต่เป็นคุณหนูรองที่ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร ได้ใช้วาจาสามหาวกับพระชายา บอกว่าพระชายาใช้วิธีการสกปรกจนได้ตำแหน่งพระชายามา ใช้ถ้อยคำต่ำตม ต่ำช้ามาด่าว่าพระชายา ระหว่างนั้น พระชายาฉีกับพระชายาไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนวาจาที่ไม่น่าฟังกันเลยสักคำเดียว แน่นอนว่า พระชายาฉีเองก็ไม่ได้ห้ามคุณหนูรองที่พูดเหยียดหยามพระชายา ”
“เจ้า เจ้าคนรับใช้”ฉู่หมิงหยางโกรธมาก สำหรับแม่นมสี่นั้นนางก็เกลียดจนเข้ากระดูก และไม่เข้าใจว่าทำไมท่านปู่ต้องฟังคำพูดนางด้วย “เจ้ากล้าพูดจาใส่ร้ายข้าหรือ”
ถ้วยชาใบหนึ่งหลุดออกจากมือของโสวฝู่ฉู่ ตามเส้นทางที่สิ่งของถูกส่งออกไปคือหน้าผากของฉู่หมิงหยาง
“โป๊ก”หนึ่งเสียง แก้วหล่นลงที่พื้น ก่อนที่ถ้วยชาจะถึงพื้น น้ำชาได้สาดกระจายเต็มหน้าฉู่หมิงหยางแล้ว
ชาถ้วยนี้ เป็นชาที่อ๋องฉู่หยู่เหวินเห้าเพิ่งจะให้คนไปเปลี่ยนมาใหม่ เป็นชาหลงจิ่งชั้นดี ใช้น้ำแร่เดือดในการชง ข้างนอกพูดกันว่า ชาหลงจิ่งนี้สนนราคาถ้วยละสามร้อยอีแปะ จุดสำคัญคือใช้น้ำต้มจนเดือดแล้ว
หยู่เหวินเห้าสะกดกลั้นคำว่า “เอามาอีกถ้วย” อย่างหุนหันเอาไว้ มองฉู่หมิงหยางที่ร่างค่อยๆอ่อนยวบลงไปบนพื้น หน้าผากถูกลวกจนแดง ตอนที่ถ้วยชาหล่นลงมา ยังมีรอยเลือดเป็นสาย
เขาเอ่ยด้วยเสียงเรียบๆว่า “โสวฝู่อย่าโมโหเลย หลานสาวไม่รู้อะไร ค่อยๆสั่งสอนก็พอแล้ว ”
เดิมทีเขาคิดว่าโสวฝู่ฉู่ก็แค่แกล้งทำไปอย่างนั้นเอง แต่ใครจะรู้ว่าพอหยู่เหวินเห้ามองไป ก็เห็นสายตาเขาที่เต็มไปด้วยความโกรธเคือง
เขาอึ้ง จิ้งจอกเฒ่าฝีมือการแสดงไม่เลวเลย
“เด็กๆ ส่งคุณหนูรองกลับจวน ไม่มีคำสั่งข้า ห้ามให้นางก้าวออกจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว ”โสวฝู่ฉู่ออกคำสั่งอย่างกราดเกรี้ยว
องครักษ์ที่ตามมาด้วย ลากเอาตัวฉู่หมิงหยางออกไปทันที ร่างนางอ่อนยวบ รู้สึกเจ็บที่หน้าผากจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ นางมึนงงไปหมด นางไม่เข้าใจถึงความเกรี้ยวกราดของท่านปู่ คิดถึงเรื่องที่พี่ใหญ่บอกว่าท่านย่าต้องสูญเสียเสียงไปก็เพราะท่านปู่เป็นคนทำ ในใจของนางเหมือนถูกความหวาดกลัวเข้ามาเกาะกุมอย่างกะทันหัน ไหนเลยจะกล้าเปล่งเสียงอะไรอีก ได้แต่แกล้งตายให้คนพาออกไป