บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 243
หยวนชิงหลิงฟังคำพูดนี้แล้ว ก่อนอื่นนางมองหน้าเต๋อเฟยก่อน
ในฐานะนางสนมผู้มีชื่อเสียงและมีคุณธรรมในวังหลัง สิ่งที่ได้ถูกอบรมสั่งสอนจากในครอบครัว นางน่าจะรับคำพูดที่น่าสะเทือนใจแบบนี้ไม่ได้
เป็นเช่นนั้นจริงๆ เต๋อเฟยเหมือนถูกฟ้าผ่า หัวสมองเกือบจะระเบิดจนว่างเปล่า หลังจากค่อยๆได้สติกลับคืนมา นางโกรธจนมือชา ชี้ไปที่สนมซู ปากสั่นเล็กน้อย แล้วจึงพูดออกมาไม่กี่คำ “เป็นคำพูดที่ไร้ยางอายสิ้นดี!”
สนมซูเผยรอยยิ้มที่แสนวิเศษ ราวกับดอกไม่ในสายหมอก ทำให้คนรู้สึกถึงความงดงาม นางมองเต๋อเฟย แล้วกล่าวต่อ “ท่านหญิงรู้สึกว่ามันไร้ยางอายเหรอ? ท่านเป็นคนที่รู้จักยางอาย แต่ว่าในชีวิตนี้ของท่าน ก็ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง โปรดปรานก็คือความว่างเปล่า เมื่อใบหน้าท่านแก่ลง ไม่รู้ว่าจะรู้สึกเสียใจมั้ย ที่ไม่เคยมีช่วงเวลาที่ร้อนแรงเช่นนี้มาก่อน?”
“หุบปาก เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้!” เต๋อเฟยชี้ไปที่นาง โกรธจนหน้าหมองคล้ำ “เจ้ารีบๆตายซะ”
สนมซูค่อยๆเดินไปที่ผ้าขาว ยื่นมือไปลูบมันหนึ่งที
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่า แม้คนผู้นี้จะเลวทราม แต่ว่า มันเป็นสิ่งที่นางเลือก หากนางรู้สึกว่านางกับอู๋ซูฮั่วนั้นคือความรัก เติมเต็มชีวิตนาง เช่นนั้นนางก็คงจากไปอย่างไม่เสียใจ
การมีชีวิตที่ไม่เหมือนกัน ไม่มีอะไรน่าวิจารณ์
เต๋อเฟยที่ใบหน้าหมองคล้ำ มองสนมซูอย่างไม่เหลือความสงสารเลย ทำเพียงมองนางหยิบผ้าขาวอย่างเย็นชา
หยวนชิงหลิงก็รู้สึกว่า นางน่าจะแขวนคอตายอย่างไม่ลังเล
แต่แล้ว สนมซูก็กอดผ้าขาวแล้วคุกเข่าลงพื้น ร้องไห้ขอร้องอย่างเจ็บปวด ท่านหญิงเต๋อเฟย ขอร้องท่านช่วยไปขอร้องฮ่องเต้ บอกว่าหม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว หม่อมฉันไม่กล้าทำผิดอีกแล้ว ขอร้องฮ่องเต้ไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วย ไล่ข้าออกจากวังก็ได้ หรือขังข้าในคุกก็ได้ ขอเพียงแค่ไว้ชีวิตของข้า
หยวนชิงหลิงปรับตัวไม่ค่อยทันกับการเปลี่ยนแปลงที่กะทันหันเช่นนี้
เมื่อกี้นางยังไม่มีความสำนึกผิดเลยอีกทั้งยังป่าวประกาศชีวิตที่มีความหมายของนางอย่างลำพองใจ แม้ว่าจะทำให้คนไม่เห็นด้วยแต่ก็ต้องนับถือต่อความกระตือรือร้นนี้
สุดท้ายทั้งคุกเข่าทั้งร้องไห้ คนทั้งคนหมดสภาพไปเลย
เต๋อเฟยกล่าวอย่างเย็นชา “เมื่อกี้เจ้ายังพูดได้น่าฟังอยู่เลยไม่ใช่รึ? เจ้าพูดว่าข้านั้นเป็นเหมือนคนที่ตายไปแล้วไม่ใช่รึ? ข้ายินดีที่จะเป็นคนที่ตายไปแล้ว เจ้าก็ไปเป็นคนตายของเจ้าเถอะ “
“ไม่ ไม่” สนมซูคลานเข่าขึ้นมา ร้องไห้ได้น่าสงสารมาก “กระหม่อมไม่รู้ว่าต้องใช้ความตายเป็นค่าตอบแทน หากรู้แต่แรก หม่อมฉันยินดีที่จะโดดเดี่ยวทั้งชีวิต ท่านหญิง ท่านช่วยขอร้องแทนข้าด้วยเถอะ”
สนมซูขอร้องเต๋อเฟยเสร็จ ก็ไปขอร้องหยวนชิงหลิง “พระชายาฉู่ ข้ารู้ว่าไท่ซ่างหวงเอ็นดูท่าน ท่านไปขอร้องไท่ซ่างหวง ให้ไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะ”
หยวนชิงหลิงหันหลัง อยากให้เมื่อกี้นางแขวนคอตายไปเลย อย่างน้อย คนที่มองดูอยู่ยังจะสบายใจหน่อย
ความคิดที่เปลี่ยนไปมาของสนมซู อันที่จริงนางนั้นเข้าใจ
คำพูดที่นางพูดกับเต๋อเฟย เพียงเพื่อที่ต้องการเพิ่มความกล้าให้กับตัวเอง อยากให้ตัวเองเผชิญกับความตายสงบ นางเคยได้ในสิ่งที่คนที่มีฐานะสูงส่งอย่างเต๋อเฟยไม่เคยได้ ไม่มีความเสียใจอะไรแล้ว ชีวิตนี้ไม่มีอะไรจะเสียใจแล้ว ตายก็ไม่กลัวแล้ว
แต่สุดท้ายนางก็เป็นคนที่โลภแต่ความสุขโดยไม่ยอมรับผิดชอบผลที่ตามมา
เมื่อวินาทีที่ต้องเผชิญกับความตาย นางไม่สามารถโน้มน้าวตัวเองด้วยความสุขที่ไร้สาระเหล่านั้นได้
นางรับไม่ได้ ความสุขที่ขโมยมา ต้องใช้ชีวิตตัวเองไปชดใช้
เผชิญกับการขอร้องของนาง หยวนชิงหลิงทำได้เพียงกล่าว “สนมซู ทุกคนต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง”
สนมซูกล่าวอย่างกระวนกระวาย “ข้ารู้ว่าพระชายาเกลียดข้า เกลียดข้าที่ใส่ร้ายอ๋องฉู่ แต่ข้าไม่มีทางเลือก เป็นหลี่กงกงที่สั่งให้ข้าทำเช่นนี้ หากข้าไม่ทำตามที่เขาพูด เขาจะพูดเรื่องของข้ากับองครักษ์อู๋ พระชายา ข้านั้นก็เป็นคนที่ถูกบงการ โทษข้าไม่ถึงกับตาย ต่อให้ข้าต้องอยู่ในคุกตลอดชีวิต ข้าก็ยอม ข้าไม่อยากตาย ข้าไม่อยากตาย”
สนมซูร้องไห้เสียงดัง ร้องไห้จนตัวสั่นไปหมด
เต๋อเฟยเกลียดความไม่เอาไหนของนาง กล่าวด้วยเสียงสั่น “เจ้ารู้ว่าต้องมีว่านี้ ทำไมตอนนั้น? ตอนนี้ราชโองการลงมาแล้ว มีใครจะกล้าขัดบ้าง? ชีวิตของเจ้า ไม่มีทางรอดแล้ว แต่ว่าชีวิตของพ่อแม่พี่น้องเจ้า จะไม่ถูกเจ้าทำให้ลำบาก เจ้าไปเถอะ”
สนมซูกุมหน้าเอาไว้ “ไม่ ไม่นะ!”
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าตัวเองทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว
ในสายตานาง โทษของสนมซูไม่ถึงกับต้องตาย
อู๋ซูฮั่วต่างหากที่สมควรตาย อู๋ซูฮั่วฆ่าขันทีน้อย ทำร้ายองค์ชายแปด และสิ่งเหล่านี้น่าจะไม่เกี่ยวข้องกับสนมซู
นางถาม “ตอนที่อู๋ซูฮั่วจะฆ่าขันทีกับทำร้ายองค์ชายแปด เจ้าได้ห้ามปรามหรือไม่?”
สนมซูร้องไห้จนจะบ้าอยู่แล้ว ได้ยินสิ่งที่หยวนชิงหลิงถาม ลูกตาของนางก็หมุนไปหนึ่งรอบ “ข้าห้าม ข้าได้ห้าม แต่ข้าห้ามไม่อยู่ เป็นอู๋ซูฮั่วที่ลงมือ เขาโหดเหี้ยมมาก เขาเป็นคนที่โหดเหี้ยมมาโดยตลอด ทุกอย่างนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย”
เพียงแต่ การหมุนของลูกตานาง กลับทำให้หยวนชิงเห็นพิรุธ
หยวนชิงหลิงจ้องมองนาง “อ๋องฉู่เคยถามอู๋ซูฮั่ว เขาบอกว่าการฆ่าขันทีกับทำร้ายองค์ชายแปด เป็นความคิดของเจ้า”
“เขาโกหก สนมซูโกรธมาก เขาเป็นคนลืมบุญคุณคนและจิตใจชั่วช้า เขาเป็นคนฆ่า ข้าไม่ได้พูด ไม่ได้ให้เขาลงมือ”
“ดังนั้น อู๋ซูฮั่วโกหกอ๋องฉู่?” หยวนชิงหลิงกล่าว
“เขาโกหก เขาโกหก……….” สนมซูกล่าวด้วยสายตาล่อกแล่ก
หยวนชิงหลิงนั่งลง แล้วกล่าว คนที่โกหกคือเจ้า “สนมซู แม้ว่าข้าจะไม่ได้เรียนจิตวิทยามาโดยเฉพาะ แต่ข้าดูออกว่าเจ้ากำลังโกหก ความสัมพันธ์ของเจ้ากับอู๋ซูฮั่ว เจ้านั้นเป็นผู้นำ ดังนั้นอู๋ซูฮั่วต้องฟังคำสั่งของเจ้า เป็นเจ้าที่บอกให้เขาฆ่า” สนมซูหายใจหอบ หน้าซีดขาว “ข้า…….ข้าไม่มีทางเลือก แผนของหลี่กงกงมันจะทำให้ข้าต้องตาย เขาทำให้องค์ชายแปดเห็นใบหน้าข้า ไม่ให้องค์ชายแปดเห็นใบหน้าอู๋ซูฮั่ว ข้านั้นต้องตายอย่างแน่นอน ข้าไม่สามารถที่จะให้เขาทำให้ข้าตาย ข้าต้องต่อต้าน ฆ่าขันที ข้าองค์ชายแปด ข้าถึงจะมีทางรอด”
หลี่กงกงให้นางเผยใบหน้าให้องค์ชายแปดเห็น ดังนั้นนางต้องตายอย่างแน่นอน ไม่ว่าคนที่กอดนางอยู่จะเป็นหยู่เหวินเห้าหรืออู๋ซูฮั่ว สรุปมันไม่ใช่ฮ่องเต้ นางก็ต้องตายอย่างแน่นอน
ผู้หญิงคนหนึ่งที่โดนบีบจนถึงทางตัน นางไม่สามารถที่จะคิดแผนที่รอบคอบในการต่อต้านหลี่กงกงแล้ว นางทำได้เพียงเดินตามแผน แม้สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถรักษาชีวิตของตัวเองได้ นางก็ไม่สามารถที่จะนั่งรอความตาย ดังนั้น นางต้องฆ่าองค์ชายแปดกับขันที ตามแผนที่นางวางเอาไว้ ตอนที่หยู่เหวินเห้ามาถึง นางนั้นหนีไปแล้ว ต่อให้ตรวจสอบภายหลัง ก็ไม่แน่ว่าจะสืบถึงตัวนาง
แต่มันดันมีกู้ซือโผล่เข้ามา
กู้ซือเห็นนาง
แผนของหลี่กงกงคือต้องการให้หยู่เหวินเห้าเป็นชู้กับนางสนมของฮ่องเต้ ทำให้ฮ่องเต้โกรธ
แต่ความคิดของสนมซู นั้นต้องการให้หยู่เหวินเห้าแบกรับโทษฆ่าน้องชายตัวเอง ไม่เพียงแต่เจตนา มันน่ากลัวและอันตรายกว่า
หยวนชิงหลิงไม่หลงเหลือความเห็นอกเห็นใจนางแล้ว กล่าวอย่างเย็นชา “หากเจ้าไม่ยอมตายด้วยตัวเอง ข้าทำได้เพียงเรียกคนมาช่วยเจ้า”
สนมซูตะโกนใส่นางอย่างสิ้นหวังไปหนึ่งที “จิตใจของพวกเจ้า ทำไมถึงชั่วร้ายเช่นนี้”
ภายใต้การล่อถามของหยวนชิงหลิง เต๋อเฟยก็ฟังออกมาแล้ว การฆ่าองค์ชายแปด เป็นความคิดของสนมซู
แววตาของเต๋อเฟยเยือกเย็น “องค์ชายแปดเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง เจ้ากลับลงมือฆ่าเขาได้ลงคอ เจ้าตายหนึ่งร้อยครั้ง ก็ชดใช้ความผิดของเจ้าไม่หมด” นางสั่งการอย่างเฉียบขาด “เด็กๆ!”