บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 251
หยวนชิงหลิงพูดว่า: “ข้าจะช่วยตรวจอาการให้ท่านอ๋องสักหน่อยนะเพคะ”
อ๋องหวยรีบยื่นมือออกมาห้ามไว้ทันที “ไม่ได้นะ ไม่ได้! ข้าได้ยินท่านแม่บอกว่าพี่สะใภ้ห้ากำลังตั้งครรภ์ ไม่ควรเข้าใกล้ข้า
หยวนชิงหลิงจึงพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไรหรอก โรคของเจ้าในตอนนี้ อยู่ในระยะที่ไม่สามารถแพร่เชื้อได้อีกต่อไปแล้ว ให้ข้าตรวจดูสักหน่อยเถอะ”
อ๋องหวยจึงทำได้เพียงต้องพูดว่า: “เช่นนั้นก็ดี พวกเราไปหลังฉากบังลมด้านโน้นกันเถอะ”
มีฉากบังลมอยู่ในห้องโถงใหญ่ หยวนชิงหลิงเปิดฉากกั้นออก แล้วเดินเข้าไปตรวจอาการให้เขา น่าแปลกที่นางได้ยินเสียงรบกวนในปอดได้อย่างชัดเจนมาก
กลับกลายเป็นว่า อาการป่วยของเขามันยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าแต่ก่อนอีก
หยวนชิงหลิงเดินออกมาจากหลังฉากบังลมพร้อมเขา ถามออกไปว่า “ท่านอ๋องไม่ได้กินยาตรงเวลาทุกวันหรอกหรือเพคะ?”
“ข้ากินนะ กินทุกวันเลย”
หยวนชิงหลิงจึงถามอีกว่า: “วันละสามครั้ง? ครั้งละแปดเม็ด?”
หลู่เฟยยิ้มพลางพูดว่า: “วันละครั้ง ยานี้หากกินมากไปคงไม่ดี ตอนนี้เขาก็ดีขึ้นมากแล้ว อีกทั้งหลังจากลดยาลง เขาก็บอกว่าเขาสดชื่น มีเรี่ยวมีแรงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย”
หยวนชิงหลิงได้ยินดังนั้นก็โกรธมาก แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นผู้อาวุโส จึงทำได้เพียงส่ายหน้าแล้วถามว่า “ลดยาลงนานแค่ไหนแล้ว? ลดยาตัวไหนลง? แล้วยาที่ลดไปพวกนั้นหายไปอยู่ไหนแล้ว?”
หลู่เฟยตอบว่า “ขายให้พระชายาจี้”
อ๋องหวยหันไปมองหลู่เฟยด้วยความตกตะลึง “ท่านแม่ นี่ท่านขายยาของพี่สะใภ้ห้าได้อย่างไรกัน? นอกจากนี้ ไม่ใช่ว่าพี่สะใภ้ห้าเป็นคนสั่งให้ข้าลดยาลงหรอกหรือ?”
หลู่เฟยยิ้มแล้วพูดว่า: “ดูท่าทางเจ้าสิ จะตื่นตระหนกอะไรขนาดนั้น วันก่อนหมอหลวงมาตรวจชีพจรให้เจ้า เขาบอกว่าตอนนี้อาการเจ้าดีขึ้นเกินครึ่งแล้ว ในเมื่อเจ้าดีขึ้นเกินครึ่ง เช่นนั้นก็ลดยาไปสักส่วนหนึ่งก็ไม่เป็นไร แต่จะพูดไป ยาส่วนนั้นข้าก็ขายให้กับพระชายาจี้ต่อ เพื่อจะได้ขูดเลือดขูดเนื้อนางเสียหน่อย”
หยวนชิงหลิงถึงกับหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออกจริง ๆ แล้วตอนนี้
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดขึ้นว่า “ท่านแม่หลู่ ข้าขอคุยกับท่านเป็นการส่วนตัวสักครู่ได้หรือไม่?”
หลู่เฟยหันไปมองเจ้าหญิง
เจ้าหญิงใหญ่ยกพระหัตถ์ขึ้น “ไปเถอะ”
เจ้าหญิงย่อมรู้แจ้งแก่ใจดีว่า เรื่องที่หยวนชิงหลิงจะพูด คงมีการใช้คำพูดที่รุนแรงไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่สมควรพูดออกมาต่อหน้านาง
หลู่เฟยกับหยวนชิงหลิงเข้าไปในห้องโถงด้านข้าง ไม่ทันรอให้หลู่เฟยได้นั่งลง หยวนชิงหลิงก็ชิงพูดขึ้นว่า ” ท่านแม่หลู่ ท่านทำเช่นนี้จะทำให้มีคนตายได้ ท่านรู้หรือไม่?”
หลู่เฟยนั่งลงอย่างช้า ๆ แล้วมองนางด้วยท่าทางภาคภูมิใจเล็กน้อย “ข้ารู้ และข้าก็จงใจด้วย เจ้าพูดในตอนแรกแล้วว่า ยานี้หากเริ่มกินแล้วจะหยุดกินไม่ได้ มิเช่นนั้นจะส่งผลให้อาการร้ายแรงยิ่งกว่าเดิม กระทั่งเป็นอันตรายจนถึงชีวิตได้ ข้าจงใจขายยาส่วนหนึ่งให้พระชายาจี้ แต่หลังจากที่ให้ไปสองครั้งแล้ว จากนั้นก็จะไม่ให้อีก แน่นอนว่านางจะต้องบากหน้าไปหาเจ้า ข้ารู้ดีว่าเจ้ามีความคับข้องใจบางอย่างกับนาง ขอแค่เจ้าไม่ให้ยาเสียอย่าง นางก็ทำได้แค่รอให้อาการป่วยหนักหนายิ่งขึ้น จะให้ดีคือทนได้ไม่พ้นปีนี้ก็ยิ่งเหมาะเลยเชียวล่ะ”
เสียงของหลู่เฟย เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความขุ่นเคือง
พระชายาจี้วางแผนการชั่วร้ายมาแต่เดิมตั้งมากมายเท่าไหร่? พวกนักฆ่านั่นก็เป็นอ๋องจี้ที่ส่งมาแท้ๆ ตอนแรกที่หวยเอ๋อถูกวางยาพิษ ไม่ใช่ว่าเป็นฝีไม้ลายมือชั่วๆของพระชายาจี้หรอกหรือ
หลู่เฟยแทบจะอดรนทนไม่ไหว อยากจะให้พระชายาจี้ตายไปให้พ้นหน้านางแทบแย่ แต่นางก็รู้ว่าตนเองไม่อาจลงมือทำอะไรได้ ทั้งไม่อาจต่อกรกับฉินเฟยได้อีกด้วย แต่เมื่อพระชายาจี้ต้องการซื้อยา นางก็รู้ว่าโอกาสของนางได้มาถึงแล้ว ด้วยวิธีนี้ นางก็จะสามารถเร่งเวลาตายของพระชายาจี้ได้ รอจนพระชายาจี้ตายไปเสียให้พ้น ๆ นางก็จะได้กลับวังไปได้อย่างสบายใจ ไม่เช่นนั้นแล้ว ใจนางคงต้องกระสับกระส่ายทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นแน่
หลังจากหยวนชิงหลิงฟังจบ ก็อดถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้มไม่ได้: “ท่านแม่หลู่ เหตุใดท่านถึงได้เลอะเลือนเช่นนี้ล่ะเพคะ? เดิมทียานี้ไม่เพียงพออยู่แล้ว ท่านยังเอาให้นางอีก หากถึงเวลาจำเป็นแล้วมันไม่มีขึ้นมาจริง ๆ ต่อให้ท่านจะใช้ทองนับพันนับหมื่นชั่ง หรือแลกด้วยชีวิตของพระชายาจี้ มันก็แลกกันไม่ได้นะเพคะ”
หลู่เฟยมองนางแวบหนึ่งด้วยท่าทางไม่พอใจอย่างหนัก “ ดูเจ้าสิ สมควรจะต้องโกรธถึงเพียงนี้เชียวรึ ? เจ้าจำไม่ได้แล้วหรือไร ? ว่านางส่งนักฆ่ามาฆ่าเจ้า….. ไม่สิ เกือบจะฆ่าเจ้าอยู่แล้ว เจ้ายังมีหน้าไปห่วงใยชีวิตของนางอีก นางแทบจะอดรนทนไม่ไหว อยากให้เจ้าตายไปแทบแย่แล้วกระมัง ยังจะมาเล่นเป็นพระโพธิสัตว์ผู้มาโปรดอยู่ได้ ช่างจอมปลอมเสียจริง!”
หยวนชิงหลิงกระทืบเท้าเร่าด้วยความโกรธเคือง “ใครบอกว่าข้าห่วงใยชีวิตนางกัน ? ข้าห่วงใยชีวิตของอ๋องหวยต่างหาก ท่านจำได้หรือไม่ ว่าข้าเคยบอกท่านแล้วว่าห้ามหยุดยาเด็ดขาด ? ท่านเล่นหยุดยาเองโดยไม่ถามข้า มันจะส่งผลร้ายต่ออ๋องหวย ร้ายแรงมากจนอาจถึงแก่ชีวิต!”
หลู่เฟยถึงกับตะลึงงัน รีบละล่ำละลักพูดขึ้นว่า “ไม่นะ! เจ้าบอกว่าเขาดีขึ้นมากแล้วไม่ใช่รึ ? เจ้าบอกว่าอาการของเขาจะไม่แพร่เชื้อแล้ว เมื่อไม่แพร่เชื้อแล้วก็น่าจะหายแล้วไม่ใช่รึ ? ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกรึ?”
หยวนชิงหลิงพูดอย่างจนใจว่า: “เขาแค่ไม่แพร่เชื้อ แต่โรคยังไม่หาย เขายังหยุดยาไม่ได้ สรุปแล้วท่านลดยาไปเท่าไหร่? ลดไปกี่วันแล้ว? บอกข้ามาตามตรง!”
หลู่เฟยตื่นตระหนกจริง ๆ แล้ว “แค่ไม่กี่วันนี้เอง ราว ๆ สามถึงสี่วัน หรือไม่ก็สี่ถึงห้าวัน ไม่ใช่ว่าไม่ได้กินเลยนะ แค่กินน้อยลง มันไม่สำคัญใช่หรือไม่?”
“ท่านว่าอย่างไรล่ะ? ท่านไม่เห็นว่าเขาเริ่มกลับมาไออีกครั้งแล้วรึ ? ไม่รู้สึกว่าเขาเริ่มมีไข้สูงอีกแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“นั่นเป็นเพราะเขาต้องลมเย็นเท่านั้นเองไม่ใช่รึ?” หลู่เฟยพูดด้วยท่าทีตะลึงลาน
หยวนชิงหลิงถอนหายใจอย่างหนัก อยากจะต่อว่าก็ต่อว่าไม่ได้ ช่างเป็นคนที่สร้างความเหนื่อยใจได้อย่างไม่รู้จักไตร่ตรองให้ดีเสียจริง!
นางโบกมือ คร้านจะอธิบายแล้ว พูดถ้อยคำหนักๆ ว่า “ท่านแม่หลู่ หากท่านยังหยุดหรือลดยาของเขาต่อไปอย่างนี้เรื่อยๆ เขาจะไม่สามารถหายจากอาการป่วยที่เป็นได้ ท่านจำไว้แค่ว่า พระชายาจี้จะอยู่หรือตาย จะตายเมื่อไหร่ ย่อมมีชะตากรรมและผลกรรมที่เป็นของนางเองเป็นตัวกำหนด ท่านไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งสิ้น ท่านควรทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาชีวิตของอ๋องหวยก่อน ถึงค่อยไปทำสิ่งอื่น ดีหรือไม่?”
เมื่อเห็นท่าทีเคร่งขรึมของนาง หลู่เฟยก็กลัวขึ้นมาจริง ๆ แล้ว “ถ้าอย่างนั้น…หวยเอ๋อจะมีอันตรายหรือไม่? เขายังจะสามารถรักษาให้หายได้อยู่หรือไม่?”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “นับจากวันนี้ไป ข้าจะมาที่นี่ทุกวันเป็นเวลาสิบวันติดต่อกัน เพื่อดูแลเรื่องการกินยา และหากจำเป็นก็อาจต้องมีการฉีดยาให้เขาด้วย ก็หวังแค่ว่าสถานการณ์จะไม่เลวร้ายจนเกินไป”
หลู่เฟยรู้สึกผิดเหลือจะเอ่ย “ครั้งนี้ข้าเลอะเลือนไปมากจริงๆ ข้าได้เรียกหมอหลวงมาตรวจดูก่อนแล้ว หมอหลวงบอกว่าไม่เป็นไร ข้าถึงได้ขายยาให้กับพระชายาจี้ไป”
หยวนชิงหลิงไม่อยากพูดอะไรอีกต่อไป ในเมื่อหยุดก็หยุดไปแล้ว ดังนั้นก็ทำได้เพียงต้องจับตาดูให้แน่นหนาขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น
เดิมทีนางค่อนข้างวางใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ใครจะไปคิดล่ะว่า แม่ผู้ให้กำเนิดแท้ ๆ ดันเป็นคนที่พึ่งพาไม่ได้ไปเสียเองแบบนี้น่ะ?
เมื่อหยู่เหวินเห้ากลับมาในตอนค่ำ แล้วได้ยินว่าหยวนชิงหลิงจะต้องไปที่จวนอ๋องหวย ทุกวันนับจากนี้เป็นต้นไป ใบหน้าของเขาก็ห่อเหี่ยวยับย่น จนมีสภาพคล้ายกะหล่ำปลีดองเค็มก็ไม่ปาน ทั้งยังบ่นออกมาตรงๆว่า “ไม่ไปไม่ได้รึ ? ตอนนี้อันตรายแค่ไหนเจ้ารู้หรือไม่? ต้องอุ้มท้องใหญ่ๆกระเตงเข้าออกไม่หยุด ข้างนอกก็ล้วนมีแต่คนชั่วร้ายโหดเหี้ยม หากพบเรื่องอะไรขึ้นมา แล้วไม่มีข้าอยู่เคียงข้าง จะอันตรายเกินไปนะ แค่ให้ยาเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้รึ? หลังจากนี้หลู่เฟยก็คงไม่กล้าทำอะไรแบบนี้แล้วล่ะ”
หยวนชิงหลิงขมวดคิ้ว พูดอย่างใจเย็นว่า “ท่านอ๋องวางใจเถอะ ข้ามีอาซี่คอยคุ้มครอง คงไม่เกิดเหตุร้ายอะไรได้หรอก พวกคนเลวพวกนั้น กลัวแซ่ของฝ่าบาทกันทั้งนั้นแหละ”
หยู่เหวินเห้ายังคงขมวดคิ้ว “แต่คนเลวพวกนั้น ชอบรังแกบรรดาผู้ที่ใช้แซ่หยวนมากที่สุดนะ ไม่ได้ ! ข้าต้องคิดหาวิธี ข้าจะตามไปด้วยทุกวัน ไม่เช่นนั้นข้าไม่วางใจ”
ต่อให้ตอนนี้ คนนั่งเฉย ๆ อยู่ในบ้าน แล้วจู่ ๆ หายนะก็ร่วงลงมาจากฟากฟ้าตกใส่หัว อยู่แต่ในบ้านก็ใช่ว่าจะปลอดภัย อย่างไรก็ต้องออกไปอยู่ดี
นางเดิมทีหาได้มีความผิด แต่ผิดก็เพราะมีครรภ์อยู่กับตัวนี่ล่ะ
หยวนชิงหลิงรู้ว่าการพูดจาโน้มน้าวเขา นับเป็นสิ่งที่ยากที่สุดแล้ว ตอนนี้เขายิ่งมีแผลใจอยู่ด้วย หากเอะอะอะไรหน่อย เขาก็จะพูดอยู่เสมอว่ามีคนคิดจะทำร้ายนาง
นางนั่งลงข้าง ๆ เขา จับมือเขาแล้วตัดสินใจเป็นฝ่ายเข้าหาก่อนอย่างจริงใจ “บอกตามตรง การลดยาเองของหลู่เฟย จะส่งผลกระทบอย่างมากต่ออาการของอ๋องหวย ข้ายังไม่ได้บอกความจริงกับนางในวันนี้ แต่ชีวิตของเขาสามารถตกอยู่ในอันตรายได้ทุกเมื่อ ถ้าไม่สังเกตอย่างใกล้ชิด เมื่อเกิดโรคแทรกซ้อนหรือวัณโรคกำเริบแล้วตรวจพบไม่ทัน จะเป็นการคุกคามต่อชีวิตเขาได้โดยตรง ความผูกพันระหว่างเจ้ากับอ๋องหวยดีขนาดนั้น เจ้าจะทนได้รึ ?”
หยู่เหวินเห้าตกใจ “เจ้าไม่ได้โกหกข้าใช่หรือไม่?”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า พูดด้วยสีหน้าจริงจัง: “ข้าไม่เคยโกหกเจ้า ไม่อย่างนั้นข้าคงจะไม่เสี่ยงออกไปข้างนอกอย่างนี้แน่”
แค่พูดเกินจริงไปบ้างเล็กน้อย แต่ความน่าจะเป็นของการผันแปรอาการของวัณโรคนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น รวมไปถึงสภาวะแทรกซ้อนด้วยเช่นกัน