บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 256
หยวนชิงหลิงนั่งซบอยู่ที่บ่าของเขา ร่างกายโคลงเคลงตามแรงกระแทกของรถม้า “ได้ !”
“หลังจากที่ข้าทำคดีนี้เสร็จ ข้าจะพาเจ้าออกไปจากเมืองหลวงทันที ตำแหน่งเจ้ากรมปกครองนี้ก็จะไม่ทำอีกต่อไป ไม่มีอะไรจะสำคัญไปกว่าเจ้าอีกแล้ว” หยู่เหวินเห้ากล่าว
“นั่นไม่ได้!” หยวนชิงหลิงเงยหน้ามองเขาอย่างเฉียบขาด “ข้ากับงานของเจ้าไม่มีส่วนไหนที่มันขัดแย้งกัน เจ้าสามารถทำงานของเจ้าต่อไปได้ ข้าก็แค่อยู่บ้านดูแลครรภ์ไป ทุกอย่างให้เป็นไปตามปกติ”
“ไม่ พวกเราควรออกจากเมืองหลวงก่อน รอให้ลูกคลอดออกมาแล้ว หรือไม่ก็รอจนกว่าพระชายาจี้จะตายก่อน ค่อยกลับมา”
เขาไม่อาจยอมเสี่ยงได้ ก่อนหน้านี้นางถูกลอบสังหารจนเกือบตาย ความหวาดกลัวระดับนั้น แค่เขาคิดถึง ก็ยังหวาดกลัวมาจนถึงตอนนี้ ทั้งมือทั้งเท้าของเขาเย็นเฉียบ ทั้งอ่อนแรงปวกเปียก พูดได้ว่าความหวาดกลัวนั้น มันสามารถกลืนกินความกล้าหาญ และความเชื่อมั่นของผู้คนได้จนไม่เหลือเลยจริงๆ
ในวันนั้นทุกอย่างล้วนเงียบสงบ ลมสงบ คลื่นสงบ และแสงอาทิตย์ก็สาดส่องแจ่มใสดี แต่ช่วงเวลาแห่งความสงบนั้น กลับเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ จนกลับตาลปัตร ไม่เห็นหัวไม่เห็นหางจนคลำทางแทบไม่เจอเลยทีเดียว
แต่เวลานี้ มีคลื่นลูกใหญ่ที่หมุนวนอยู่รอบ ๆ ทุกทิศทุกทางอย่างชัดเจน ทันทีที่มีอะไรเกิดขึ้น จะยังเหลือหนทางให้หนีรอดไปได้อยู่อีกรึ?
เขาจะไม่ยอมเสี่ยง ถึงแม้ว่าเขาจะมั่นใจมากถึงเก้าส่วนว่าจะหลบพ้นได้ เขาก็ยังเสี่ยงไม่ได้อยู่ดี
“ไม่ต้องหรอกกระมัง?” แม้ว่าหยวนชิงหลิงจะอยากออกไปเที่ยวเล่นก็จริง แต่มันก็เกินไปที่จะให้เขาต้องออกจากงานเพื่อจะมาดูแลนาง แค่ให้นางอยู่กับบ้าน คอยระวังความปลอดภัยให้มากหน่อย เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
หยู่เหวินเห้ายื่นมือออกไปลูบปลายคิ้วของนาง พูดขึ้นว่า “เมื่อคืนนี้ข้าคิดเรื่องนี้นานมาก แม้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเร่งรีบไปบ้าง แต่มันจะต้องปลอดภัยและแน่นอนที่สุด การออกจากเมืองหลวง คือการไปให้ห่างจากเรื่องวุ่นวาย ห่างจากการต่อสู้แย่งชิง ข้าไม่ทำงานในตำแหน่งเจ้ากรม ก็ย่อมมีคนเก่งกาจมีความสามารถมากมาย ที่เลื่อนขั้นขึ้นมารับตำแหน่งนี้แทน ไม่ใช่อะไรที่ข้าจะละทิ้งไม่ได้ แต่เจ้าต่างหาก คือสิ่งที่ข้าไม่อาจละทิ้งได้…” เขาเห็นริมฝีปากของนางขยับจะพูด จึงยับยั้งไว้ “ข้าไม่รับฟังคำโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น”
หยวนชิงหลิงทำได้เพียงต้องเงียบปากไว้ แต่ในใจก็ยังไม่เห็นด้วยกับวิธีการของเขา
“พระชายาจี้เป็นคนเช่นไร เจ้ากับข้าต่างก็รู้กันดี ไม่ว่าสถานการณ์ที่นางเผชิญอยู่จะเป็นอย่างไร นางก็สามารถใช้มันเป็นตัวกำหนดวิธีการ ว่านางจะใช้วิธีไหนในการลงมือกับเจ้าได้หมด ศัตรูอยู่ในที่ลับ แต่พวกเราอยู่ในที่แจ้ง ข้าเองก็คาดเดาไม่ได้เช่นกัน ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องคอยกังวลทั้ง ๆ ที่กำลังตั้งครรภ์อย่างนี้ ก็ยังต้องระวังอีกว่าจะมีใครมาฆ่ามาดักทำร้ายหรือไม่ นับเป็นการทรมานร่างกายตัวเองเปล่าๆ ดังนั้น เรื่องนี้จึงไม่ใช่การปรึกษา แต่เป็นการตัดสินใจของข้า เจ้าต้องเชื่อฟังข้า ”
หยวนชิงหลิงพูดว่า: “ฟังการวิเคราะห์ของเจ้าแล้ว มองกลับกัน การไปรักษานางดูจะไม่ได้อันตรายมากมายอะไรนัก เพราะอย่างน้อย ในช่วงระหว่างที่ทำการรักษา นางจำต้องเคารพให้เกียรติข้านะ”
สีหน้าหยู่เหวินเห้าดำคล้ำทะมึนลงทันที “อย่าแม้แต่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เชียวนะ พระชายาจี้ถูกพี่ใหญ่ทอดทิ้งไปแล้ว ที่ฉู่หมิงหยางนั่นคิดจะแต่งเข้าไป ก็เพราะเห็นว่าพระชายาจี้ใกล้ตายแล้ว ไม่เช่นนั้น นางมีหรือจะยอมรับตำแหน่งพระชายารอง ? หากเจ้ารักษาโรคให้นาง ก็รังแต่จะทำให้ฉู่หมิงหยางตั้งตนเป็นศัตรูกับเจ้าอีกคน หากรักษาไม่หายก็เสียแรงเปล่า หากรักษาจนหาย พระชายาจี้ก็จะแว้งกัดเจ้าทันที ส่วนฉู่หมิงหยางก็จะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ แน่ เจ้าเองก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า สิ่งนี้จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ชีวิตของคนเราใช่จะเอามาวางเดิมพันกันเล่น ๆ ได้หรอกนะ โดยเฉพาะชีวิตของตัวเจ้าเอง ถ้าเจ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริง ๆ ชีวิตนี้ของข้า ก็เท่ากับว่าจบลงในมือของพวกนางสิ้นแล้ว”
หยวนชิงหลิงได้ยินคำพูดประโยคสุดท้าย ขอบตาของนางก็พลันร้อนผ่าว แทบสะกดกลั้นความรู้สึกอยากร้องไห้ไม่ได้
ความห่วงใยกังวลทั้งหมดของเขา ล้วนมีไว้เพื่อนางคนเดียวทั้งนั้น
การละทิ้งตำแหน่งเจ้ากรมการปกครอง ถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับเขา ส่งผลกระทบต่ออนาคตของเขา ซึ่งอนาคตที่ว่านั้นอาจเป็นตำแหน่งที่สูงมาก ๆ อีกด้วย
แต่การยอมละทิ้งไป อาจหมายถึงการต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปโดยสิ้นเชิง
เขายอมละทิ้งสิ่งสำคัญขนาดนี้แล้ว นางยังจะมาทำตัวเป็นคนโลเลไร้เหตุผลอะไรอยู่อีก?
นางเป็นฝ่ายเข้าไปกอดเขา แนบใบหน้าของตัวเองลงชิดกับใบหน้าของเขา รับรู้ถึงลมหายใจของเขาที่เป่ารดอยู่บนใบหน้านาง เขาผินหน้าไปเล็กน้อย กดริมฝีปากเข้าที่แก้มของนาง กอดนางเบา ๆ รั้งเข้ามาในอ้อมแขน จ้องมองนางแน่วนิ่ง “ดังนั้น เชื่อฟังข้าได้หรือไม่?”
หยวนชิงหลิงพยักหน้า “ได้ เจ้าตัดสินใจแล้วก็ดี ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหน ข้าก็จะตามเจ้าไปทุกที่”
หยู่เหวินเห้าแค่นเสียงเย็นชาขึ้นมาเสียงหนึ่ง แล้วพูดว่า “พอถึงตอนนั้น พวกในวังไม่มีทางเห็นด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้น พวกเราก็เตรียมใจไว้หน่อยแล้วกัน เราจะหนีตามกันไปให้รู้เรื่อง!”
หยวนชิงหลิงหัวเราะลั่น “หนีตามกันมันน่าตื่นเต้นขนาดนี้เชียว ?ได้เลย หนีกันเถอะ!”
หยู่เหวินเห้าก็หัวเราะเหมือนกัน ยกมือขึ้นลูบหน้าผากของนาง “ยังจะตื่นเต้นอะไรได้อีกล่ะ? เจ้าในตอนนี้แค่เรื่องตื่นเต้นเพียงเล็กน้อยก็ไม่ได้แล้วนะ”
หยวนชิงหลิงซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา แล้วพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ ? เมื่อตอนที่ข้ายังเป็นเด็ก ข้ามักจะฝันว่าตัวข้าอยากจะเป็นวีรสตรี พกกระบี่ออกท่องยุทธภพ หากพานพบความอยุติธรรม จะชักกระบี่ออกมาช่วยเหลือ!”
“จริงรึ? เจ้ายังอยากเป็นวีรสตรีด้วย?” หยู่เหวินเห้าประหลาดใจ “นิสัยเจ้าเป็นคนที่ค่อนข้างอารมณ์ร้อน ดูเหมาะจะเป็นวีรสตรีอยู่หรอก แต่น่าเสียดายที่เจ้าไม่เป็นวรยุทธ จะพกกระบี่ออกท่องยุทธภพได้อย่างไรล่ะ?”
เพียงแต่ ด้วยบทเรียนจากจวนเจ้าพระยาจิ้งครั้งนั้น การที่นางยังจะมีความฝันแบบนี้อยู่ มันก็เป็นอะไรที่น่าแปลกใจจริงๆนั่นล่ะ
“ใช่แล้ว ความฝันนี้จึงถูกกักเก็บไว้มาเนิ่นนาน แต่ตอนนี้โชคดีที่มีเจ้าแล้ว”
หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่า ตนเองเริ่มจะไม่เข้าใจนางมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
นางดูเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้วจริงๆ
“เจ้าว่า ในโลกใบนี้มีผีจริง ๆ หรือไม่?” หยู่เหวินเห้าถาม
หยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้นมองเขา “ทำไมจู่ ๆ เจ้าก็ถามเรื่องแบบนี้ขึ้นมาล่ะ?”
“ข้าแค่รู้สึกว่า รูปลักษณ์ภายนอกของเจ้าไม่ได้เปลี่ยนไป แต่ทุกอย่างที่อยู่ภายใน ทั้งหัวใจ ทั้งความคิดของเจ้า ล้วนเปลี่ยนไปหมดโดยสิ้นเชิง” หยู่เหวินเห้ามองนาง ด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัย
หยวนชิงหลิงยิ้มพลางพูดว่า “ข้าไม่เชื่อว่ามีผี ในโลกนี้มีผีที่ไหนกัน ? อย่างน้อยทั้งเจ้าและข้าก็เหมือนว่าจะไม่เคยเห็นมาก่อน ต้องได้เห็นด้วยตาถึงจะเชื่อได้ ไม่ใช่แค่การคาดเดาเอาจากอากาศเปล่า ๆ เช่นนี้”
หยู่เหวินเห้าจ้องมองนาง “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่า เจ้ายิ้มด้วยความรู้สึกร้อนตัวเช่นนี้นะ?”
หยวนชิงหลิงผลักเขาออกไป “ให้มันน้อยหน่อยเถอะ ข้ามีอะไรต้องร้อนตัว ? แค่พูดเรื่องผี มีอะไรต้องร้อนตัวกัน?”
“ข้าก็ยังรู้สึกว่า เจ้ามีอะไรปิดบังข้าอยู่จริง ๆ นั่นล่ะ” ในตอนนี้หยู่เหวินเห้าเกือบจะแน่ใจถึงแปดเก้าส่วนแล้ว หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นทันที คงไม่ใช่ว่าการเดาของเขาถูกต้องแล้วใช่หรือไม่?
ภายนอกคือหยวนชิงหลิง แต่แกนกลางวิญญาณเปลี่ยนไป ?
“ข้าไม่มีอะไรปิดบังเจ้าสักหน่อย เป็นผู้ชายที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวทั้งที ก็อย่าสงสัยอะไรให้มันมากนักเลยน่า!” หยวนชิงหลิงโวยเสียงดัง
หยู่เหวินเห้าคิดในใจว่า ถ้ามีสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณจริงๆ รอให้ถึงเวลา แล้วถามเอาจากท่านเจ้าอาวาสดู ก็คงจะเข้าใจได้ชัดเจนขึ้น จึงพูดว่า “ก็ได้ ข้าเชื่อเจ้า”
หยวนชิงหลิงแอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ
แต่หลังจากผ่านไปไม่นาน หยู่เหวินเห้าก็ถามขึ้นมาอีกครั้ง: “ตอนนั้น…คนที่ถูกข้าสั่งโบยสามสิบไม้ครั้งนั้น เป็นเจ้าใช่หรือไม่?”
“เป็นข้าเอง ข้าเอง!” หยวนชิงหลิงมองเขาอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าสั่งโบยข้าตั้งสามสิบไม้ ข้านี่ด่าเจ้าในใจแบบสาดเสียเทเสีย จนไม่เหลือชิ้นดีเลยล่ะจะบอกให้!”
หยู่เหวินเห้าชำเลืองมองนาง น้ำเสียงอ่อนลง “แล้วก็….คนที่เข้าวังไปฟ้องว่า ข้าไม่ยอมร่วมหอกับเจ้า พอออกมา ข้าก็เลยไปกินยา คนนั้นคือ…..คนนั้นคือ… เจ้าด้วยหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงกลอกตามองบนใส่เขา “เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่?”
“แล้วยังมีตอนนั้น… ที่อยู่ในจวนเจ้าหญิง…”
หยวนชิงหลิงจ้องเขาด้วยสายตาดุเดือด “ไหนคุยกันไว้ดีแล้วว่าจะไม่ขุดคุ้ยเรื่องเก่าในอดีต?”
หยู่เหวินเห้าพูดเสียงกระซิบ: “ข้าแค่รู้สึกว่า ทำไมเจ้าก่อนเข้าหอ กับเจ้าหลังเข้าหอ ถึงได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเช่นนี้ล่ะ ?”
หยวนชิงหลิงยกมือขึ้นในท่ายอมแพ้ “ตกลง ข้ายอมรับ ข้าไม่ใช่หยวนชิงหลิง ข้าเป็นแค่ผีอีกตัวหนึ่งที่ตายไปแล้ว จากนั้นมาเกิดใหม่ในร่างของหยวนชิงหลิง ทั้งยังมีชื่อว่าหยวนชิงหลิงเหมือนกันพอดีด้วย”
พอพูดอย่างนั้นออกไป หยู่เหวินเห้ากลับไม่เชื่อแล้ว รีบพูดว่า: “ข้าก็แค่สงสัย เดาอะไรไปเรื่อยเปื่อย ทำไมเจ้าต้องโกรธขนาดนี้ด้วยล่ะ เอาเถอะ ๆ ไม่พูดแล้ว ข้าเชื่อเจ้าแล้วพอใจหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงหันหน้าหนีด้วยความรู้สึกผิด นางไม่ได้อยากจะดุด่าอะไรเขา แต่นางก็ไม่มีหนทางอธิบายให้เขาเข้าใจได้จริงๆ