บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 259
ช่วงเวลาที่นางดึงประตูเปิดออก ก็แอบเหลือบสายตากลับมาดูแวบหนึ่ง ได้เห็นว่าเก้าอี้และโต๊ะที่เพิ่งล้มระเนระนาดไปเมื่อครู่ กลับมาอยู่ในที่เดิมของพวกมันตามเดิม แทบจะเหมือนกับว่าพวกมันไม่เคยล้มเกลื่อนกลาดมาก่อน
“ผู้อาวุโส โปรดกลับอย่างระวังด้วย!” ท่านมหา กล่าวลาด้วยสีหน้าอบอุ่น เปี่ยมด้วยความรัก
หยวนชิงหลิงถึงกับหน้ามืดไปวูบหนึ่ง ขาขวิดกันจนเกือบหกล้ม ในสายตาของท่านมหา นางเป็นโบราณวัตถุที่มีอายุกว่าสามร้อยปี ประโยคที่เรียกนางว่าผู้อาวุโสประโยคนี้ ทำเอานางเกินจะรับไหวได้จริงๆ
กว่านางจะเปิดประตูและเดินออกไปอย่างยากเย็นได้ ก็รู้สึกว่าตัวเองแค่จะหายใจก็ยังลำบากแล้ว นางใช้มือข้างหนึ่งเกาะเข้าที่คอของหยู่เหวินเห้าเพื่อพยุงตัว กัดฟันฝืนใจพูดออกไปว่า “พวกเรากลับกันเถอะ!”
หยู่เหวินเห้าตกใจจนผงะ รีบช่วยพยุงนางไว้ ” เหตุใดสีหน้าเจ้าจึงดูย่ำแย่เช่นนี้ ? ขับไล่ผีนั่นไปได้แล้วรึ ? ผีมันหายไปแล้วใช่หรือไม่ ?”
หยวนชิงหลิงมองเขา ตัวสั่นระริก แทบจะกระอักเลือดออกมาให้มันเต็มปากอยู่แล้ว “เจ้า… นี่เจ้าคิดว่ามีผีมาสิงข้าอยู่อย่างนั้นรึ?”
หยู่เหวินเห้าช่วยพยุงนาง แทบจะแน่ใจแล้วว่านางรู้สึกทรมานมากจริง ๆ จึงเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาแล้ว ” มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าอาวาสบอกอะไรเจ้าบ้าง ?”
เสียงของเจ้าอาวาสดังขึ้นมาจากด้านหลังนาง “อาตมาขอเชิญท่านอ๋องและพระชายาค้างคืนเสียที่วัดนี้สักคืนหนึ่งเถิด”
หัวใจของหยวนชิงหลิง แทบจะถูกความตื่นตระหนกโจมตีจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ อยู่แล้ว นางหันหน้ากลับไปมองขวับ ก็เห็นว่าเจ้าอาวาสได้มายืนอยู่ที่ด้านหลังของนางแล้ว ทั้งยังคงแสดงสีหน้าที่อบอุ่นเปี่ยมด้วยความรักไม่เปลี่ยน อดใจไม่ไหวจนพูดออกไปว่า: “ทำไมท่านถึงเดินมาแบบไม่มีเสียงฝีเท้าได้ล่ะ? น่ากลัวเป็นบ้า ตกใจแทบตายแล้วเนี่ย!”
“จิตใจพระชายาว้าวุ่นไม่สงบนิ่ง จึงไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของอาตมากระมัง” เจ้าอาวาสหันมองหยู่เหวินเห้า พลางกล่าวเชื้อเชิญอย่างจริงใจ “ท่านอ๋อง นี่มันก็ดึกมากแล้ว ไม่สู้ท่านก็ค้างแรมเสียที่วัดของเราก่อนสักคืนดีหรือไม่?”
หยู่เหวินเห้าตอบรับว่า “นั่นย่อมต้องแน่นอนอยู่แล้ว ท้องฟ้ามืดมิดเส้นทางสูงชัน ต่อให้ข้าเดินได้ แต่ชายาของข้าจะเดินไปได้อย่างไรกัน” อีกทั้งยังมีเรื่องที่เขายังไม่ทันได้พูดคุยกับเจ้าอาวาสให้มันชัดเจนกระจ่างแจ้ง ก็ถูกไล่ออกมาเสียก่อนนั่นอีกเรื่องหนึ่งด้วย
หยวนชิงหลิงอยากกลับ แต่เพราะท้องฟ้ามืดมิดเช่นนี้ย่อมไม่อาจกลับไปได้แน่แล้ว จึงได้แต่เหลือบมองท่านมหา เงียบ ๆ บังเอิญท่านมหา ก็มองมาที่นางพอดี ทั้งยังยิ้มให้นางอีกด้วย
หยวนชิงหลิงเบนสายตามองไปทางอื่น ช่วงนี้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ไม่ควรให้เจอเรื่องน่าตกใจมากไป
เจ้าอาวาสให้คนไปจัดห้องให้ทั้งสองพัก ที่แห่งนี้เป็นวัดหลวง ด้านขวาของวัดมีลานกว้างแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่สำหรับให้เหล่าบรรดาราชวงศ์ หรือพวกฮูหยินตราตั้งได้มาจุดธูปสักการะโดยเฉพาะ
การที่พวกเขาเข้ามาพัก ก็ต้องใช้ห้องไปถึงสามห้อง ห้องหนึ่งสำหรับสวีอี อีกห้องสำหรับอาซี่ ส่วนห้องของหยู่เหวินเห้า กับหยวนชิงหลิงนั้นอยู่ตรงกลาง มีผู้คุ้มกันขนาบทั้งซ้ายขวา นับว่าเป็นการจัดห้องได้สมบูรณ์แบบมากทีเดียว
เมื่อเข้าไปในห้อง หยู่เหวินเห้าก็ถามหยวนชิงหลิงว่า “ท่านเจ้าอาวาสพูดอะไรกับเจ้ารึ ? ถึงได้ทำเจ้าตกใจเสียจนหน้าซีดเช่นนี้”
หยวนชิงหลิงจิบน้ำ สงบสติอารมณ์แล้วพูดว่า “เล่าเรื่องผีที่น่ากลัวมาก ๆ เรื่องหนึ่งให้ฟังน่ะ”
“ท่านเจ้าอาวาสเล่าเรื่องผีให้เจ้าฟัง?” หยู่เหวินเห้าประหลาดใจสุดขีด
“ใช่แล้ว เป็นเรื่องผีที่น่ากลัวมาก จึงทำให้ข้ากลัวจนหน้าซีดเลย” หยวนชิงหลิงพูดด้วยท่าทางที่บ่งบอกมาก ว่าแม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านไปแล้ว แต่ในใจนางยังคงตื่นตระหนกอยู่ วันนี้นางได้ยินเรื่องนี้เข้าไป ก็เป็นอะไรที่น่าตกใจมากจริงๆนั่นแหละ
หยู่เหวินเห้าจ้องมองนาง ไม่รู้สึกเชื่อเลยแม้แต่น้อย ยังคิดว่านางน่าจะมีอะไรที่ปิดบังเขาอยู่แน่ ๆ
ความรู้สึกนี้ เป็นอะไรที่ไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
“หยวน เจ้าอาวาสเล่าเรื่องผีอะไรให้เจ้าฟังรึ?” เขาถามอย่างไม่ลดละ
หัวสมองของหยวนชิงหลิงวุ่นวายอีนุงตุงนังไปครู่ใหญ่ “เล่าว่าบัณฑิตผู้หนึ่งอยู่ระหว่างการเดินทางไปสอบ ได้พักอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าวัดโร่หลัน ในตอนกลางดึก มีผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในวัด ผู้หญิงคนนั้นสวยมากชนิดที่เรียกว่าตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมา เขาไม่เคยมีโอกาสได้เห็นคนสวยขนาดนี้มาก่อน แต่เขาหารู้ไม่ว่า ผู้หญิงคนนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นผีสาวที่เชี่ยวชาญในการดูดกินวิญญาณของผู้ชาย … และอาจรวมไปถึงเนื้อหนังไปจนถึงหัวใจ ตับไตไส้ปอดด้วย จนสุดท้ายพวกเขาก็ตกหลุมรักซึ่งกันและกัน”
หยู่เหวินเห้าถึงกกับผงะไปครู่หนึ่ง มีบรรยากาศอันน่าสยดสยองอยู่ในช่วงครึ่งแรกของเรื่องแท้ ๆ แต่พอช่วงท้ายเรื่องกลับกลายเป็นจบหักมุมแบบที่ว่า พวกเขาตกหลุมรักกัน?
“แค่นี้น่ะรึ?”
“ช่วงกลางเรื่องน่ากลัวเกินไป จนข้าไม่กล้าจำน่ะ”
นางเคยได้ยินและอ่านเรื่องโปเยโปโลเยมาบ้าง แต่จิตใจของนางตอนนี้ทั้งสับสนทั้งยุ่งเหยิง จึงจำไม่ได้ไปเกินกว่าครึ่งแล้ว นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังเล่าเรื่องอะไรอยู่
เมื่อเห็นนางหน้าซีดอีกครั้ง หยู่เหวินเห้าก็ยอมเชื่อนาง เอื้อมไปจับมือนางไว้พลางพูดว่า “อย่ากลัวเลย มันเป็นแค่เรื่องเล่าที่เอ่ยถึงผี มันไม่ใช่เรื่องจริงหรอก พักผ่อนสักครู่ กินอะไรรองท้องเสียหน่อย ที่วัดฮู่กว๋อนี้อาหารการกินก็ไม่เลวทีเดียว ของที่ปกติหากินยากที่นี่ล้วนมีหมด เจ้าก็กินให้มากหน่อยเถอะนะ”
หยวนชิงหลิงไม่มีความอยากอาหารเลย นางกินนั่นนี่เพียงเล็กน้อย ก็บอกว่าง่วงนอนแล้ว ให้หยู่เหวินเห้าไปหาเจ้าอาวาส เพื่อเล่นหมากรุกและสนทนากันตามอัชฌาสัย
นางไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย ว่าท่านมหา จะพูดเรื่องของวันนี้กับหยู่เหวินเห้า หากว่าท่านพูดออกไปจริง ๆ หยู่เหวินเห้าคงจะคลั่งจนสติเตลิด ท่านมหา คงไม่คิดทำร้ายหยู่เหวินเห้าแบบนั้นแน่
หลังจากที่หยู่เหวินเห้าออกไป หยวนชิงหลิงก็หยิบกล่องยาออกมา ซึ่งขนาดของกล่องยาในวันนี้ แตกต่างจากก่อนหน้า ที่นางจะมายังวัดฮู่กว๋อแห่งนี้อย่างมาก
แม้ว่านางจะพูดไม่ได้ว่า ยาอะไรก็ตามที่นางคิดในหัว จะสามารถมาปรากฏได้ทั้งหมดที่คิดจริง แต่ในเวลาที่นางมีความอารมณ์ที่แข็งแกร่งรุนแรง ยาที่นางต้องการก็จะปรากฏขึ้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คำที่ท่านมหา พูดว่า กล่องยานี้ถูกควบคุมด้วยจิตใจของนางเองนั้น ดูไปแล้วน่าจะเป็นเรื่องจริง
หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จิตใต้สำนึกของนาง มีความต้องการที่จะช่วยพระชายาจี้ ไม่อย่างนั้น ยาที่ใช้รักษาโรคก็ไม่น่าจะมีมากมายขนาดนั้น
เมื่อก่อนอาจจะยังไม่ชัดเจน แต่วันนี้ หลังจากที่ถูกท่านมหา วิเคราะห์ให้ฟังทีละฉาก ๆ แล้ว ความสับสนวุ่นวายที่เคยเกิดขึ้นในใจนาง ก็ค่อย ๆถูกปลดปล่อยออกไป จนรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมากทีเดียว
นับตั้งแต่ที่กล่องยาเริ่มเปลี่ยนขนาดเป็นใหญ่ขึ้น นางก็ค่อย ๆ จำทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาได้ทีละน้อย ๆ
อย่างแรกคืออาการบาดเจ็บของหกเกอเอ๋อ นางมีความรู้สึกที่อยากจะช่วยเขาอย่างแรงกล้า และเพราะเหตุที่นางถูกทัณฑ์โบยด้วยไม้ถึงสามสิบครั้ง จึงรู้สึกว่าชีวิตตัวเองถูกคุกคามด้วยเช่นกัน นางต้องการยา ต้องการยาทั้งหลายที่นางคุ้นเคยดีดังนั้นกล่องยาจึงได้ปรากฏขึ้นมา
เพียงแต่ตอนนั้น นางแค่รู้สึกตกใจและประหลาดใจมาก นางไม่เคยคิดเลยว่ากล่องยาจะปรากฏขึ้นเพราะการควบคุมจากจิตใต้สำนึก รวมถึงสติสัมปชัญญะของตนเองเช่นนี้
จนต่อมา เมื่อนางไปถวายการรักษาให้แก่ไท่ซ่างหวง บรรดายาที่ปรากฏขึ้นในกล่อง แม้จะไม่ครบถ้วนแต่อย่างน้อยก็มีประโยชน์มาก ในช่วงเวลานั้น จิตของนางน่าจะเป็นเพียงจิตที่อยู่ในสภาวะฟุ้งซ่าน ขาดความมั่นใจ กล่องยาจึงตัดสินตามความคิดของนาง จัดยาที่มีประโยชน์มาให้ส่วนหนึ่ง
ตอนที่รักษาอาการป่วยของอ๋องหวย นางก็ยังมีความลังเลเช่นเดิม เพราะสุดท้ายย่อมมีปัจจัยหลายอย่าง ที่นางต้องก้าวเท้าเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ห้ำหั่นกันในหมู่ราชวงศ์ แน่นอนว่าความลังเลนั้นของนาง ย่อมส่งผลต่อกล่องยาเป็นธรรมดา ดังนั้นกล่องยาในช่วงแรก ๆ จึงมียาไม่มาก แต่ค่อย ๆ มีการอัปเดทยาเข้ามาใหม่อย่างต่อเนื่อง
เมื่อกรดโฟลิกรวมถึงยาอื่นๆ ปรากฏขึ้นในกล่องยา ที่แท้ในเวลานั้น นางก็ได้สื่อสารกับกล่องยาไปเรียบร้อยแล้ว กล่องยาจึงสามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลง ทั้งทางร่างกายและจิตใจของนาง
แต่อย่างไรก็ตาม นางก็ยังไม่เข้าใจเหตุผลที่ต้องช่วยพระชายาจี้อยู่ดี
หลังจากดื่มน้ำไปสองแก้ว ในใจก็ยังยุ่งเหยิงไม่สงบ จึงเรียกอาซี่เข้ามาคุยเป็นเพื่อน
เมื่ออาซี่เห็นว่านางอารมณ์ไม่ค่อยดี จึงถามว่า “พระชายา ท่านไม่ชอบที่นี่รึ?”
“ไม่ใช่หรอก เจ้าไม่ชอบรึ?” หยวนชิงหลิงถามกลับ
อาซี่ส่ายหน้า “ข้าไม่ชอบเลย ทุกคนที่นี่เอาแต่คุกเข่าบูชารูปปั้นดินเหนียวนั่นกันหมด มีอะไรให้ชอบล่ะ?”
หยวนชิงหลิง รู้สึกขบขันกับคำพูดตรงไปตรงมาของอาซี่อย่างมาก “อาซี่พูดได้ถูกต้องแล้ว”
“พระชายามีเรื่องอะไรที่กังวลใจอยู่หรือไม่? อาซี่เห็นท่าทางของพระชายาช่วงวัน สองวันที่ผ่านมานี้ ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีความสุขเลย” อาซี่เอ่ยถาม
หยวนชิงหลิงมองอาซี่ ถามขึ้นว่า “อาซี่ คนในตระกูลหยวนของเจ้าล้วนเป็นคนกล้าหาญ ข้าขอถามเจ้าหน่อยเถอะว่า หากมีคนคนหนึ่งคิดที่จะทำร้ายเจ้า เป็นคนที่มีนิสัยน่ารังเกียจ แต่ว่าตอนนี้นางใกล้จะตายแล้ว เจ้าจะช่วยนางหรือไม่?”
“ไม่มีทาง!” อาซี่ขมวดคิ้ว “ทำไมต้องช่วยคนเลวด้วย?”
“ใช่ ทำไมต้องช่วยคนเลวด้วย? ไม่มีเหตุผลที่จะต้องช่วยคนเลว ช่วยคนที่พยายามจะทำร้ายตัวเราเอง” หยวนชิงหลิงบ่นพึมพำ จากนั้นก็มองไปที่อาซี่อีกครั้ง “แต่ สมมตินะว่าเจ้าเป็นหมอ? แล้วคนที่ว่านี้เป็นคนไข้ล่ะ?”
อาซี่พูดตรงไปตรงมาเป็นขวานผ่าซากว่า: “แต่อาซี่ไม่ใช่หมอนี่นา”
“สมมติไงสมมุติ”
ในใจอาซี่กระจ่างชัดทันที “ พระชายา ที่ท่านพูดถึงคือพระชายาจี้รึ?