บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 261
วันรุ่งขึ้น ตอนที่หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงออกเดินทาง พวกเขาไม่ได้ลงเขาไปทันที แต่ทำตามคำแนะนำของเจ้าอาวาส คือไปวัดเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านหลังเขา
ผ่านไปไม่นาน ก็เห็นรถม้าวิ่งทยอยเข้ามาทีละคัน ๆ อย่างต่อเนื่อง รถม้าจอดอยู่บนพื้นราบบริเวณหลังเขา มีคนคนหนึ่งลงจากรถม้า แล้วเดินเข้าไปด้านใน
สวีอีถึงกับผงะไปครู่หนึ่ง พูดขึ้นว่า ” ไต้เท้าหลี่? ใต้เท้าอู๋? แม่ทัพซุน? จวิ้นอ๋องเฉา(“จวิ้นอ๋อง” เป็นตำแหน่งรองจากชินอ๋อง ตำแหน่งเชื้อพระวงศ์ชายลำดับที่ 2)?”
สีหน้าของหยู่เหวินเห้าคล้ำทะมึนจมดิ่ง ใคร ๆ ต่างก็รู้ดีว่า พี่ใหญ่ถูกเสด็จพ่อรับสั่งให้ต้องกักบริเวณอยู่ที่นี่อย่างเข้มงวด ห้ามไม่ให้ใครก็ตามมาเยี่ยมหาโดยเด็ดขาด
แต่พวกเขาก็ยังมาทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่า นั่นคือการขัดพระราชโองการ นี่ต้องไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่มีเจตนาเพียงมาเยี่ยมหา มาไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบอย่างบริสุทธิ์ใจเป็นแน่
พระอาจารย์ฮุ่ยมาส่งจนถึงที่นี่ เอ่ยขึ้นว่า “ท่านอ๋อง ใต้เท้าเหล่านี้ล้วนมาทุกวัน จะเข้าจากทางด้านหลังเขา แล้วเข้าไปหารือเรื่องต่าง ๆ กับอ๋องจี้”
หยู่เหวินเห้าพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ขอบพระคุณที่บอกแก่ข้า โปรดบอกกับท่านเจ้าอาวาสด้วยว่า ข้าขอตัวลาไปก่อน”
พระอาจารย์ฮุ่ยประสานมือพลางกล่าวว่า “ท่านอ๋อง พระชายา เดินทางระวังด้วย”
รถม้าเคลื่อนตัวลงเขาไปอย่างช้าๆ แม้ว่าจะเป็นถนนบนภูเขา แต่ก็ไม่ใช่ถนนที่ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่ออะไร เพราะที่นี่เป็นวัดหลวง
หยู่เหวินเห้านิ่งเงียบไปตลอดทาง จนกระทั่งกำลังจะถึงเมืองหลวง จึงพูดขึ้นช้าๆ ว่า “เจ้ามียาเพียงพอสำหรับใช้รักษาพระชายาจี้ใช่หรือไม่?”
“อื้ม!” อันที่จริง หยวนชิงหลิงก็เงียบกริบไม่พูดเลยอะไรมาตลอดทางเช่นกัน นางกำลังคิดอยู่ว่าจะพูดอย่างไรดี เมื่อได้ยินเขาถาม จึงตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
หยู่เหวินเห้ากล่าวอย่างเคร่งขรึม: “เจ้าสามารถรักษานางได้ แต่เรื่องนี้ต้องถูกเก็บเป็นความลับ แล้วก็ ต้องทำให้นางสำเหนียกไว้ด้วยว่า ชีวิตของนางอยู่ในมือเจ้า ต่อให้เป็นข้าเอง ข้าก็จะใช้เงื่อนไขนี้ควบคุมนางเช่นกัน”
หยวนชิงหลิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย กับการเปลี่ยนความคิดอย่างกะทันหันของเขา “คนพวกนั้นที่มาเมื่อครู่ ล้วนเป็นคนของอ๋องจี้รึ?”
“ไม่เชิงทั้งหมด” นี่ต่างหากคือสิ่งที่หยู่เหวินเห้านึกกังวล ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าพี่ใหญ่คงจะสงบเสงี่ยม เจียมเนื้อเจียมตัวไปได้บ้างสักระยะหนึ่ง แต่เขากลับนัดพบผู้คนอย่างโจ่งแจ้งโดยมีจุดประสงค์ส่วนตัว ทั้งยังเชิญขุนนางในฝักในฝ่ายมาหารือในช่วงฝึกวินัยปฏิบัติธรรม นี่เรียกว่าเป็นความสงบเสงี่ยมตรงไหนกันล่ะนี่?
ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีอ๋องเฉ่าจวิ้นกับแม่ทัพอู๋ต่างก็ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ทำไมมาตอนนี้ กลับไปรวมหัวพัวพันกับพี่ใหญ่ไปเสียแล้วล่ะ?
“หยวน!” หยู่เหวินเห้ามองนางอย่างจริงจัง จับมือนางไว้แน่น “ข้ามีเรื่องจะต้องพูดกับเจ้าให้กระจ่าง เจ้าต้องฟังให้ดี หากเจ้าไม่เห็นด้วย ข้าก็ยินดีรับฟังความคิดเห็นของเจ้า”
หยวนชิงหลิงถูกท่าทีจริงจังของเขา ทำเอารู้สึกประหม่าไปหมดแล้ว “มีอะไรก็พูดมาเถอะ ตราบใดที่ไม่ใช่การฆ่าคนวางเพลิง ข้าย่อมสนับสนุนเจ้าทั้งสิ้น”
“เป็นไปได้จริงๆ ว่าอาจเป็นการฆ่าคนวางเพลิง” เขายิ้ม แต่ในดวงตาของเขากลับดูจริงจังมาก
“หา?” หยวนชิงหลิงตกใจจริงๆแล้วตอนนี้
มุมปากของเขาค่อยๆ วาดโค้งเป็นรอยยิ้มเจิดจ้า วางมือลงบนหน้าท้องของนาง ดวงตาคมกริบส่องประกายวับวาม “หากเขาเป็นลูกชาย ในวันหน้าข้าจะให้เขาได้เป็นองค์ชาย แต่หากเป็นลูกสาวล่ะก็ นางก็จะเป็นองค์หญิงใหญ่ของพวกเรา”
หยวนชิงหลิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจสุดขีด “เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดอะไรออกมา?”
หยู่เหวินเห้าจ้องมองนาง ดวงตาที่เป็นประกายวับวาวดั่งดวงดาว ค่อย ๆ ปรากฏเค้าความลังเลขึ้นมาวูบหนึ่ง “เจ้าไม่เห็นด้วยรึ?”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ไม่ใช่ไม่เห็นด้วย แต่เจ้าจริงจังอย่างนั้นรึ?”
“ข้าจริงจังอย่างยิ่ง !”
“แต่ข้าเคยถามเจ้ามาตั้งแต่แรกแล้วนี่ เจ้ายังบอกว่าผลที่จะตอบแทนกลับมา เป็นราคาที่สูงเกินจะรับได้ไหว มันไม่คุ้มที่จะเสี่ยงไม่ใช่รึ?” หยวนชิงหลิงไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน ชนิดที่ไม่มีวี่แววมาก่อนเช่นนี้ได้
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “ใช่ ข้าเคยพูดไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ที่จริงข้าก็ยังคิดอยู่ว่า ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการต่อสู้แย่งชิงให้ได้มา เป็นอะไรที่สูงเกินไปจริง ๆ หากต้องแลกกับตำแหน่งอะไรอย่างนั้น มันก็ไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยง”
“แล้วนี่มันเพราะอะไรกันแน่ล่ะ?” หยวนชิงหลิงถามอย่างไม่เข้าใจ
หยู่เหวินเห้าจ้องมองนางด้วยแววตาลึกล้ำ “เพราะนี่ไม่ใช่ปัญหาว่า มันคุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่า ตอนแรกข้าเอาแต่คิดว่า เสด็จพ่อยังหนุ่มยังแน่น ต่อให้จะมีการแต่งตั้งตำแหน่งรัชทายาทจริง แน่นอนว่าตำแหน่งนี้ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด กลับกันมันอาจสร้างความแตกแยกวุ่นวายในราชสำนักมากกว่า ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ตัวคนเดียว ข้าก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก แต่เมื่อมีเจ้า ข้าจะยอมรับความเสี่ยงนี้ไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ข้าคิดก่อนที่จะมาที่วัดฮู่กว๋อ แต่เมื่อคืนข้านอนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้ง หลายปีที่ผ่านมา ข้ากรำศึกห้ำหั่นอยู่ในสนามรบ มุ่งมั่นสร้างความดีความชอบ คิดว่าข้าจะไม่มีความทะเยอทะยานแม้แต่น้อยจริง ๆ น่ะรึ? นั่นเป็นเพราะข้าไม่มีคนในมือให้ใช้สอยได้ต่างหาก หลายปีที่ผ่านมาในการสนามรบ ข้าเองก็สร้างชื่อเสียเอาไว้ไม่น้อยเลยเชียวล่ะ บางทีคงไม่ได้น้อยไปกว่าพี่ใหญ่เสียด้วยซ้ำ แต่วิธีที่พี่ใหญ่ใช้จัดการกับสิ่งต่าง ๆ นั้นจะเป็นอะไรที่คนคิดไม่ถึง เขาจึงไม่ใช่ตัวเลือกของฝ่าบาท เขาจะไม่เลือกพสกนิกรใต้หล้าก่อน ความโหดเหี้ยมอำมหิตของเขาจะทำให้ประชาชนเดือดร้อน ดังนั้น นี่จึงไม่ใช่ปัญหาที่ว่ามันคุ้มค่าหรือไม่ แต่เป็นปัญหาว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ ต่อให้ข้าไม่อาจรับตำแหน่งนี้ไปได้ แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้พี่ใหญ่รับตำแหน่งนี้ไปเช่นกัน ”
หยวนชิงหลิงสามารถเข้าใจได้ “ความหมายของเจ้าคือ เป้าหมายของเจ้าไม่ใช่การขึ้นเป็นองค์ชายรัชทายาท แต่แค่ต้องการจะป้องกันไม่ให้อ๋องจี้ ได้ขึ้นไปเป็นองค์ชายรัชทายาทสินะ?”
หยู่เหวินเห้านิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ไม่ ไม่ ตอนนี้ข้าไม่เชื่อใจใครทั้งสิ้น ข้าในตอนนี้สมควรจะมุ่งไปที่ตำแหน่งรัชทายาทเป็นสำคัญจะดีกว่า ชีวิตตัวเอง ก็สมควรจะวางไว้ในมือของตัวเองย่อมจะปลอดภัยที่สุด”
หยวนชิงหลิงอดถามไม่ได้: “ทำไมจู่ ๆ เจ้าถึงคิดเช่นนี้ล่ะ? เจ้าอาวาสบอกอะไรเจ้าอย่างนั้นรึ?”
“เขาบอกว่า เสด็จปู่พึงพอใจในตัวข้า” หยู่เหวินเห้าเอามือยันเอาไว้กับด้านในรถม้า เพื่อให้หยวนชิงหลิงเอนตัวเข้ามาพิงแขนของเขา ระหว่างเส้นทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อ “แต่สิ่งที่เปลี่ยนใจของข้าจริงๆ คือการได้เห็นพวกขุนนางเหล่านั้นที่มาในวันนี้ ต่างก็ไม่นำพาต่อพระราชโองการของเสด็จพ่อ พากันมายังวัดฮู่กว๋อ ทั้งสี่คนนี้แบ่งออกเป็นกรมทหาร กรมอาญา กรมข้าราชการพลเรือนและกรมคลัง รวมทั้งจวิ้นอ๋องเฉาและแม่ทัพอู๋ ต่างก็เป็นคนมีสถานะไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดกลับลงทุนมาเข้าร่วมฝ่ายกับพี่ใหญ่ด้วย พูดง่าย ๆ คือ อำนาจของพี่ใหญ่กำลังแผ่ขยายออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง จนเข้าควบคุมกรมทั้งสี่กรมได้หมดแล้ว และในวันหนึ่ง เขาจะต้องหาทางบีบบังคับจนข้าไม่เหลือทางรอด ดังนั้น หากจะพูดกันอย่างร้ายแรงที่สุดคือ จุดจบของข้าคือไม่ตายไม่ได้แน่แล้ว เพราะบนฝั่งในเวลานั้น จะไม่เหลือพื้นที่ให้ข้าได้ยืนอีกต่อไป”
หยวนชิงหลิงเอนตัวเข้าไปพิงในอ้อมแขนของเขา พูดเบา ๆ ว่า: “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะสนับสนุนเจ้า”
เขาสูดหายใจเข้าอย่างแผ่วเบา พลางลูบผมของนาง “เกรงแต่ว่านับจากนี้ไป เจ้าจะไม่สามารถซ่อนตัวอยู่เงียบๆ เพื่อดูแลครรภ์ได้อีกต่อไปแล้วน่ะสิ”
“ข้าไม่กลัวหรอก” นางยกยิ้ม นางที่เป็นวิญญาณที่อ้างว้างรอนแรมมาจากอีกโลกหนึ่ง มีอะไรให้ต้องกลัวกันล่ะ?
หยู่เหวินเห้าประคองไหล่นาง จ้องมองด้วยแววตาที่ไม่อาจกักเก็บความรู้สึกไว้ได้อีกต่อไป “เดิมทีข้าคิดว่า ขอแค่เจ้าสามารถให้กำเนิดเด็กคนนี้ออกมาได้อย่างปลอดภัย แค่นั้นข้าก็พอใจแล้ว แต่แท้ที่จริง ข้าแค่กำลังหลอกตัวเอง ขอแค่ไม่ไปวุ่นวายระรานใคร ลูกที่เกิดมาก็จะปลอดภัยแล้วอย่างนั้นรึ?”
หยวนชิงหลิงกระซิบ: “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องลองลงสนามแข่งขันกันดูสักตั้ง”
หยู่เหวินเห้าโอบกอดนาง คางแนบเข้าหน้าผากนวลเนียน มีคำพูดนับหมื่นนับพันที่อยากจะพูดออกมา แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น แค่มีแรงสนับสนุนจากนางเพียงคนเดียว ก็เพียงพอจนไม่ต้องการอะไรอื่นอีกต่อไปแล้ว
เมื่อกลับมาถึงจวน หยู่เหวินเห้าก็ออกไปพร้อมกับทังหยาง
หยวนชิงหลิงสั่งให้คนรอบตัวนางออกไป จึงหยิบกล่องยาออกมาอีกครั้ง มองสำรวจดูยารอบหนึ่ง แอบวางแผนในใจเงียบๆ
หลังจากเก็บกล่องยาแล้ว นางก็พูดกับอาซี่ว่า: “เจ้าไปจวนอ๋องจี้ แล้วแจ้งกับพระชายาจี้ว่า นับตั้งแต่พรุ่งนี้ข้าจะเริ่มปรุงยาให้นาง ให้นางมาที่นี่สักครั้ง ข้าต้องวินิจฉัยว่าอาการของนางหนักขนาดไหนแล้ว และต้องใช้ยาอะไรในการรักษาบ้าง”
อาซี่ไม่ได้ถามอะไรมากมาย แค่ตอบรับว่า “รับทราบ!”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอีกครั้งในขณะที่อาซี่หันหลังไปแล้ว “อาซี่ เจ้าแจ้งกับพระชายาจี้ด้วยนะว่า ให้นางปรับแก้ทัศนคติของตัวเองให้ดีเสียก่อนที่จะมาพบข้า ถ้าข้าได้เห็นร่องรอยของความลำพองใจ หรือความเย่อหยิ่งอวดดีในสายตา รวมถึงสีหน้าท่าทางของนางแม้แต่น้อยนิดล่ะก็ ก็บอกนางไปได้เลยว่าไม่ต้องมาเสียจะดีกว่า”
อาซี่ยิ้ม “พระชายา นี่ท่านกำลังตัดไม้ข่มนามใส่นางอยู่รึนี่?”
หยวนชิงหลิงยกมือขึ้นสัมผัสลงบนกล่องยา พูดอย่างนิ่ง ๆ ว่า: “ไม่ ข้าต้องการให้นางเข้าใจว่า ชีวิตของนางอยู่ในมือของใคร ถ้านางอยากจะมีชีวิตอยู่ นางมีหน้าที่ต้องทำให้ข้าพอใจ สบายใจถึงจะถูก”