บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 266
หยวนชิงหลิงหันหลัง เดินจากไปโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมาทั้งสิ้น หยู่เหวินเห้าไล่ตามนางไปคว้าจับข้อมือนางไว้ “มันไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด”
“แล้วมันควรจะเป็นอย่างไรล่ะ? เจ้าว่ามาสิ บอกเหตุผลมาแล้วข้าจะเชื่อ” หยวนชิงหลิง ประนีประนอมกับตัวเอง เฝ้าเตือนสติตัวเองว่า ผู้ชายคนนี้จะไม่ทำเรื่องอะไรที่มันเหลวไหลไร้ยางอาย นางโกรธก็ส่วนโกรธ แต่ก็ยังอยากได้ยินเหตุผลว่า ทำไมเขาถึงต้องปิดบังเรื่องนี้
หยู่เหวินเห้าพูดด้วยความรู้สึกขุ่นเคือง: “นางเคยมาที่นี่จริง แต่ข้าจำไม่ได้ว่านางพูดอะไร หรือทำอะไรบ้างหลังจากนั้น แต่นางมาด้วยกันกับโสวฝู่ฉู่”
“สวีอีไม่เห็นโสวฝู่ฉู่ เห็นแค่เพียงหญิงชราตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้น” หยวนชิงหลิงพูดด้วยท่าทีเย็นชา
หยู่เหวินเห้าหันกลับไปมองสวีอี ถามอย่างคลางแคลงใจว่า “ไม่เห็นโสวฝู่ฉู่? แต่เห็นเป็นหญิงชราตัวเล็ก ๆ?”
สวีอีตบขาหนา ๆ ของตัวเอง โพล่งออกมาเสียงดังว่า “ข้าน้อยจำได้แล้วขอรับ เป็นโสวฝู่ฉู่….. ไม่ๆๆ เป็นเสื้อผ้าของโสวฝู่ฉู่ ปักเป็นลายนกกระเรียน นั่นคือเสื้อผ้าของเขา แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่โสวฝู่ฉู่ มีคนปลอมตัวเป็นผู้ชาย เป็นหญิงชราตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่มีรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า”
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ ข้าไปถามคนเฝ้าประตูแล้ว เป็นคนเฝ้าประตูที่นำทางโสวฝู่ฉู่กับฉู่หมิงหยางเข้ามาด้วยตัวเอง เขาบอกว่าพอข้าเปิดประตู เขาก็จากไปทันที ก่อนจะไป ยังทันเห็นโสวฝู่ฉู่กับฉู่หมิงหยางเดินเข้าห้องข้างไปด้วย”
“หลังจากเข้าห้องข้างไปแล้วล่ะ?” หยวนชิงหลิงถาม
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้า แววตาว่างเปล่า “ข้าจำอะไรไม่ได้เลย ตอนที่ออกมา ผู้ช่วยเจ้ากรมบอกว่าบนใบหน้าของข้า … ” เขาเหลือบมองหยวนชิงหลิงแวบหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า: “บอกว่ามีรอยชาดสีแดงรอยใหญ่ติดอยู่บนหน้าข้า แต่ข้ากลับไม่รู้ตัวเลย”
หยวนชิงหลิงดูแล้ว รู้สึกว่าเขาไม่เหมือนกำลังโกหกจริง ๆ “แล้วพวกเขาเข้าไปกันนานแค่ไหน?”
“ราว ๆ หนึ่งถ้วยชาเห็นจะได้ คนเฝ้าประตูว่ามาเช่นนั้น”
“ตอนที่ออกไป คนเฝ้าประตูไม่เห็นรึว่าเป็นโสวฝู่ฉู่ หรือเป็นหญิงชราตัวเล็ก ๆ กันแน่?”
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้าอีกครั้ง “คนเฝ้าประตูไม่กล้ามองชัดๆ แค่ก้มศีรษะส่งเขากลับไปเท่านั้น”
คำอธิบายนี้มีความเป็นไปได้จริงๆ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะกล้ามองความอหังการของโสวฝู่ฉู่แบบตรง ๆ เต็ม ๆ ตาได้
“เจ้าหมายถึง หลังจากช่วงเวลาที่โสวฝู่ฉู่ กับฉู่หมิงหยางเข้าประตูไป เจ้าก็จำเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในนั้นไม่ได้เลยอย่างนั้นรึ?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถาม
“ข้าจำไม่ได้เลยจริงๆ” หยู่เหวินเห้าดูหดหู่เซื่องซึมอย่างยิ่ง
สวีอีมองหยู่เหวินเห้า ในใจแอบคิดไปว่า เดี๋ยวนี้ท่านอ๋องเริ่มพูดมั่วซั่วแล้ว กระทั่งเขายังไม่เชื่อด้วยซ้ำ จะหาเหตุผลที่มันดีกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้รึ?
แต่หยวนชิงหลิงกลับถามว่า: “เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะถูกวางยา?”
“ตอนนั้นข้าก็ไปหาหมอให้ตรวจชีพจร ก็ไม่พบว่ามีพิษอะไร ทั้งยังไม่มีกลิ่นยาอะไรในห้องอีกด้วย”
หยู่เหวินเห้ายื่นมือออกไปดึงข้อมือของนางเข้ามา พลางยื่นหน้าเข้าไปหา “เจ้าเชื่อข้าหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงสะบัดมือออก แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า: “รักษาระยะห่างหน่อย ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ต้องสงสัย ก่อนจะตรวจสอบจนรู้ความจริงแน่ชัด จงอยู่ให้ห่างข้าไปอีกแปดร้อยจ้าง นอกจากนี้ เจ้าต้องเช็ดหน้าด้วยน้ำยาฆ่าเชื้ออีกหนึ่งร้อยครั้ง หลังจากนี้ ข้าจะให้สวีอีไปส่งน้ำยาฆ่าเชื้อให้ คืนนี้ไปหาที่นอนเองคนเดียว ห้ามเข้าตำหนักเซี่ยวเยว่ ข้าเห็นหน้าเจ้าแล้วรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน”
หยู่เหวินเห้าทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ “ข้าสั่งให้ทังหยางไปตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว นี่ไม่ใช่ว่ายังไม่เห็นผลสรุปหรอกรึ ? อย่ามองที่แก้มขวาก็พอ มองแค่ที่แก้มซ้ายก็ได้ ดูสิ! แก้มซ้ายสะอาดมากเชียวนะ! ”
เขาขยับแก้มซ้ายเข้าไปใกล้ กะพริบตาดอกท้อปริบๆเพื่อออดอ้อน
หยวนชิงหลิงเงื้อมือขึ้นตบเพี๊ยะเข้าไปฉาดใหญ่ กัดฟันจนเจ็บพลางพูดว่า “หยู่เหวินเห้า หลังจากตรวจสอบเรื่องนี้เสร็จสิ้น ข้าจะวาดหน้าเจ้าให้ลายเป็นแมวโพงเลยคอยดู ถ้ายังกล้าออกไปล่อลวงใครข้างนอกอีกล่ะก็ ข้าจะตัดน้องชายของเจ้าทิ้งซะ!”
สวีอีตกใจ จนรีบหนีบขาตัวเองเข้ามาอย่างรวดเร็ว หันไปมองหยวนชิงหลิงด้วยความรู้สึกสยองขวัญอย่างยิ่ง
เป็นดั่งที่ใต้เท้าทังพูดมาจริง ๆ เรื่องนี้ไม่ควรบอกกับพระชายาเด็ดขาด ตอนนี้นางหงุดหงิดอย่างน่าประหวั่นพรั่นพรึงมาก
หยู่เหวินเห้าอดนอนในห้องนอนไปในคืนนี้ แต่ก็ไม่กล้าไปไหนไกล จึงได้แต่ม้วนหมอนกับผ้าห่ม ออกไปนอนที่ระเบียงทางเดินด้านนอกตำหนัก
ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด รอให้เรื่องนี้ตรวจสอบได้แน่ชัดเสียก่อนเถอะ เขาจะต้องได้ฆ่าคนแน่!
นอนบนพื้นกระดานแข็งๆ จนปวดเอวเจ็บหลังไปหมดแล้ว กลางดึกสงัดจึงค่อย ๆ เดินย่องๆเข้าไป หยวนชิงหลิงยังไม่หลับ นางเห็นร่างตะคุ่ม ๆ ที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าเข้ามาในความมืด นางก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา รอจนเมื่อเขาปีนขึ้นมาจากปลายเตียง นางก็ยกฝ่าเท้าพิฆาตขึ้นมา ถีบเปรี้ยงออกไปทันที ไม่รู้ว่าไปถีบโดนส่วนไหน เห็นแค่หยู่เหวินเห้ากระโดดเหยงๆ พลางใช้มือกุมส่วนนั้นของเขา ด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดจนพูดอะไรไม่ออกไปแล้ว
เขาต้องออกไปอย่างน้อยเนื้อต่ำใจอีกครั้ง แล้วล้มตัวลงนอนบนพื้นต่อไปโดยปริยาย
หยวนชิงหลิงมองดูเขาออกไป ในใจยังคงเต็มไปด้วยความโกรธ
นางหลับตาเชื่อเจ้าห้าไปก่อนแล้ว รู้สึกว่าหากเขามีสติแจ่มชัด คงจะไม่ทำอะไรแบบนั้นลงไปแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออีกฝ่ายคือฉู่หมิงหยาง เจ้าห้ารู้สึกรังเกียจนางอยู่ไม่ใช่น้อย
แต่ทำไมฉู่หมิงหยางถึงต้องทำเช่นนี้ ? จะเข้าไปเล่นผีผ้าห่มรึ ? คนคนนี้จะทำอะไรล้วนแล้วแต่ต้องมีจุดมุ่งหมายสินะ?
ในตอนเช้าของวันถัดมา หยู่เหวินเห้ามาตั้งแต่เช้าตรู่ เดินเชิดหน้าเข้ามาอย่างกระตือรือร้น
หยวนชิงหลิงเหลือบมองใบหน้าของเขาแวบหนึ่ง “เจ้าเช็ดหน้าไปกี่ครั้ง?”
“สามร้อยครั้ง ข้าเช็ดมันถึงสามร้อยครั้งเลยทีเดียว” หยู่เหวินเห้าเอียงหน้าเข้าไป “เจ้าดูสิ เช็ดจนแทบจะเห็นกระดูกได้อยู่แล้ว”
ไม่ต้องพูดว่ารังเกียจแค่หน้าเลย ทั้งเนื้อทั้งต้วของเขาตอนนี้นางก็รังเกียจ แทบอดรนทนไม่ไหว อยากจะข่วนหน้าให้ลายสักทีจริงๆ
อาซี่เปิดประตูเข้ามาพลางรายงานว่า ” พระชายา ใต้เท้าทังมาขอพบท่าน”
นางไม่ได้มองหยู่เหวินเห้าแม้แต่น้อย เรียกว่าไม่เห็นเขาในสายตาเลยก็ว่าได้
หลังจากฟังคำพูดของอาซี่แล้ว หยู่เหวินเห้าก็ลุกขึ้นยืดเอวของเขาให้ตรง “รวดเร็วใช้ได้ จะต้องมีผลลัพธ์แล้วเป็นแน่”
ทันทีที่ทังหยางมาถึงตำหนักเซี่ยวเยว่ เขาก็ถูกสวีอีดึงตัวไว้ แล้วเล่าถึงสถานการณ์อันชวนเวทนาของท่านอ๋องเมื่อคืน เช้านี้พอเขามาถึง ก็เห็นสีหน้าประจบประแจงของท่านอ๋องเกลื่อนเต็มใบหน้า เขาก็รู้ว่าความทุกข์ยากทั้งหลายที่สวีอีเล่ามา อาจเป็นเพียงหยดน้ำหยดเล็ก ๆ ในมหาสมุทรก็เป็นได้
“ตรวจสอบเป็นอย่างไรบ้าง?” หยู่เหวินเห้าถามอย่างรวดเร็ว ไม่รอให้เขาแสดงการคำนับก่อนด้วยซ้ำ
ทังหยางรายงานว่า: “ข้าได้ตรวจสอบแล้วพบว่า เมื่อวานซืนโสวฝู่ฉู่อยู่ในวังตลอด ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไปที่กรมการปกครอง ข้าน้อยยังถามคนเฝ้าประตู รวมถึงคนในกรมด้วย ไม่เพียงแต่คนเฝ้าประตูเท่านั้น แต่ตอนที่ออกมา มีคนผู้หนึ่งเห็นว่าฉู่หมิงหยางมากับคนแก่ที่มีรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ทั้งคนที่ว่านี้ยังสวมเสื้อผ้าของโสวฝู่ฉู่…..”
“เรื่องนี้ข้ารู้อยู่แล้ว ไม่ต้องพูด เจ้าบอกข้ามาว่าตรวจสอบพบอะไรแล้วบ้าง?” หยู่เหวินเห้าพูดขัดจังหวะเขา
ทังหยางตกตะลึง “ท่านทราบแล้ว เอ่อ… ข้าน้อยเริ่มตรวจสอบจากคนใกล้ตัวที่คุณหนูรองตระกูลฉู่ได้มีการติดต่อใกล้ชิดก่อน และยังสอบถามคนงานที่คุ้นเคยกันดีจากตระกูลฉู่ จนรู้ว่า มีหญิงรับใช้ข้างกายของคุณหนูรองคนหนึ่ง เป็นคนที่มาจากหนานเจียง มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการสะกดจิต รวมถึงศาสตร์แห่งการปลอมตัว ข้าน้อยจึงสงสัยว่าคนที่ปลอมตัวเป็นโสวฝู่ฉู่เมื่อวันนั้น จะเป็นสาวใช้ผู้นี้”
“สะกดจิต?” หยู่เหวินเห้าตกใจ “ มันคืออะไร? ทำให้ข้าหลับไปรึ? ”
ทังหยางอธิบายว่า: “ไม่ ศาสตร์แห่งการสะกดจิตนี้ คือการควบคุมสติสัมปชัญญะของคนจริง ๆ ไม่ต้องใช้ยาหรือควันใด ๆ เพียงแต่ต้องทำผ่านคำสั่งชี้นำบางอย่าง เพื่อทำให้คนผู้นั้นไร้สติในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อให้อีกฝ่ายสามารถควบคุมได้โดยง่าย คนส่วนใหญ่มากกว่าครึ่งที่ถูกสะกดจิต จะไม่สามารถจดจำเหตุการณ์ระหว่างนั้นได้”
หยวนชิงหลิงมองใบหน้าตื่นตะลึงของหยู่เหวินเห้า “เจ้าหมายถึง เขาถูกสะกดจิต?”
“ใช่ ข้าได้ถามแล้วเช่นกัน ตอนที่คุณหนูรองออกจากจวนตระกูลฉู่ นางสั่งให้คนยกเกี้ยวไปยังประตูหน้าเรือนโดยตรง ในเกี้ยวมีคนนั่งอยู่สองคนจริง ๆ ทั้งยังถามคนเฝ้าประตูด้วย คนเฝ้าประตูบอกว่า เขาเห็นโสวฝู่ฉู่ลงมาจากเกี้ยวหลังเดียวกันกับฉู่หมิงหยาง”
หยู่เหวินเห้าได้ฟังก็ยิ่งเดือดดาล “เช่นนั้นข้าจะอย่างไรถึงจำมันได้ล่ะ? คนที่ถูกสะกดจิตจะสูญเสียความทรงจำหมดทุกคนเลยรึ? แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่า ข้าถูกคนรังแกเมื่อวันก่อนไปบ้างหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงมองมาที่เขา “ลองคิดดูดี ๆ พวกเขาสองคนเข้าไปแล้ว ได้พูดอะไร หรือมีวัตถุอะไรในมือ ที่ใช้แกว่งไกวไปมาตรงหน้าเจ้าบ้างหรือไม่?”