บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 267
ตอนที่ 267 อีนุงตุงนัง
หยู่เหวินเห้าทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ กุมหัวครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้างุนงงสับสน จากนั้นจึงยื่นมือออกไปจับมือหยวนชิงหลิงไว้ นางทำท่าจะสะบัดออก เขาจึงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า : “อยู่นิ่ง ๆ เวลาที่ได้จับมือของเจ้าไว้ มันช่วยให้ข้าสงบจิตใจตัวเองได้มาก เช่นนี้ข้าอาจจะค่อย ๆ จดจำอะไรขึ้นมาได้บ้างก็เป็นได้ ”
หยวนชิงหลิงจึงต้องยอมให้เขาจับข้อมือนางไว้
ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ถามว่า “เจ้าจำได้บ้างแล้วหรือไม่?”
หยู่เหวินเห้าพูดอย่างเศร้าโศก: “บางทีมันอาจจะดีกว่านี้ถ้าได้กอดสักครั้ง”
“เจ้า.…” หยวนชิงหลิงโกรธขึ้นมาแล้ว “ช่วยจริงจังกว่านี้หน่อยจะได้หรือไม่?”
ดวงตาของหยู่เหวินเห้าสับสน “ข้าพูดจริงนะ ตอนนี้ในสมองข้าเป็นเหมือนก้อนปุยฝ้ายก้อนหนึ่ง ที่ลอยไปลอยมาหาจุดเริ่มต้นไม่ได้เลย”
“ลองคิดดูอีกครั้ง มือของโสวฝู่ฉู่ เสื้อผ้า หมวก หรืออะไรอย่างอื่น…” หยวนชิงหลิงช่วยย้ำเตือน
“เสื้อผ้า…เสื้อผ้า” หยู่เหวินเห้าเงยหน้าขึ้นทันที “นกกระเรียน ใช่แล้ว มันคือเสื้อผ้า นกกระเรียนมันเคลื่อนไหวได้ ทั้งยังมีเสียงดังกึกๆๆๆออกมาจากปากมันด้วย”
หยวนชิงหลิงเข้าใจแล้ว หันไปพูดกับสวีอีว่า : “ไปหยิบเหล้ามาขวดหนึ่ง แล้วก็เอาไก่เข้ามาด้วยตัวหนึ่ง”
สวีอีหันหลังออกไปทันที จากนั้นไม่นาน เขาก็เอาเหล้าขวดหนึ่งเข้ามาส่งหยวนชิงหลิง นางหันไปพูดกับหยู่เหวินเห้าว่า: “ดื่มในหนึ่งลมหายใจให้ได้ครึ่งขวด ให้เริ่มรู้สึกเมาๆหน่อยก็พอ”
หยู่เหวินเห้าถามว่า “ทำไมต้องดื่มเหล้าด้วยล่ะ?”
“ดื่ม!” หยวนชิงหลิงไม่อธิบายอะไร แค่สั่งอย่างหนักแน่น
หยู่เหวินเห้ารับขวดเหล้าไป เงยหน้าขึ้นและดื่มรวดเดียวครึ่งขวด “ไม่ค่อยเมาเท่าไหร่”
“ดื่มต่อลงไปอีกหน่อย รออีกครู่ ก็ไปนอนลงบนเก้าอี้เอนหลังตัวนั้น” หยวนชิงหลิงสั่ง
หยู่เหวินเห้าเดินตรงไปเอนหลังนอนลงบนเก้าอี้ เวลานั้นเขาก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเล็กน้อย
สวีอีไปแย่งไก่ตัวหนึ่งที่กำลังจะถูกเชือดมาจากโรงครัว แล้ววิ่งตึงตัง ๆ เข้ามา
หยวนชิงหลิงสั่งให้เขาอุ้มไก่ไว้กับอก แล้วเดินไปหาหยู่เหวินเห้า ไก่ตกใจจนส่งเสียงร้องดังกะต๊าก ๆ ไม่หยุด
หยู่เหวินเห้าเวียนหัวอยู่ครู่หนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงร้องดังสนั่นหวั่นไหวของไก่ตัวนั้น มันทำให้เขาอดหลับตาลงไม่ได้
หยวนชิงหลิงลูบหน้าผากของเขา พูดเบา ๆว่า “ผ่อนคลายร่างกาย ปลดปล่อยความคิดของเจ้าให้เป็นอิสระ”
หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่าร่างกายค่อย ๆ จมดิ่ง เริ่มผ่อนคลายลง
“เจ้ากำลังกลับไปเมื่อวานซืนนี้ ที่กรมปกครอง เจ้ากำลังนอนหลับ นอนครึ่งหลับครึ่งตื่น เจ้าง่วงมาก ง่วงมาก ง่วงมาก ง่วงมาก จู่ ๆ ก็มีคนมาเคาะประตู จึงสะดุ้งตื่น เจ้าโกรธเล็กน้อยที่มีคนมารบกวน แต่เจ้าก็ยังลุกไปเปิดประตูให้ ในเวลานั้นเอง เจ้าก็เห็น….”
สองวันก่อน
ในความเลือนรางนั้น หยู่เหวินเห้ามองเห็นโสวฝู่ฉู่กับฉู่หมิงหยาง “เป็นพวกเจ้าเองรึ?”
โสวฝู่ฉู่เดินเข้ามา แสงอาทิตย์ในฤดูหนาวสาดตามเข้ามาจากข้างนอก แสงจ้าจนตาพร่าไปเล็กน้อย เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ดวงตาพร่าเลือนไปชั่วขณะ เมื่อเห็นว่าที่หน้าอกของโสวฝู่ฉู่มีของบางอย่างที่ดูแปลก ๆ เขาจึงเหลือบมองดูให้ชัด ลายนกกระเรียนปักบนเสื้อนั้น มันเคลื่อนไหวได้จริงๆ
ในหัวเขารู้สึกหนัก ๆ เล็กน้อย ขมวดคิ้วมุ่น “โสวฝู่ฉู่ให้เกียรติมาเยี่ยม ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรอย่างนั้นรึ?”
แต่โสวฝู่ฉู่กลับถอยห่างออกไป ฉู่หมิงหยางก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วจ้องมองเขา “ท่านอ๋อง ยังจำที่ข้าบอกเจ้าไว้ ที่ศาลาริมน้ำวันนั้นได้หรือไม่”
“เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร?” หยู่เหวินเห้านั่งลงบนเก้าอี้ รู้สึกเวียนหัว ทั้งยังมีลางสังหรณ์แปลกๆ ผุดขึ้นในใจไม่หยุด
“ข้าบอกว่า” ฉู่หมิงหยางเดินช้าๆ ไปนั่งลงข้างๆ แล้ววางมือทั้งสองข้างลงบนหัวเข่าของเขา “ข้าบอกว่าข้าอยากแต่งให้เจ้า”
หยู่เหวินเห้ารู้สึกง่วง จึงหลับตาลง แต่ยังไม่ลืมเอามือของนางออกไป “อย่าแตะต้องข้า รู้จักเคารพตัวเองเสียบ้าง”
ฉู่หมิงหยางค่อยๆ เคลื่อนมือออกจากช่วงท้องขึ้นไป ปลดเข็มขัดเขาแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “เคารพตัวเอง? หากข้ามัวเคารพตนเอง ข้าก็คงมีแต่ต้องกลายเป็นชายารองของอ๋องจี้ไปแล้ว เจ้ายินดีให้มันเป็นเช่นนั้นจริงๆน่ะหรือ?”
นางก้มตัวลง ประทับริมฝีปากลงบนแก้มของเขา แล้วย้ายขึ้นไปที่ใบหูส่วนล่าง “พี่เห้า เจ้าเป็นของข้า เจ้ารู้หรือไม่?”
ลมหายใจของเขาค่อย ๆ กระชั้นถี่ขึ้น ทันใดนั้น เขาก็คว้าผมของฉู่หมิงหยางด้วยมือข้างหนึ่ง ลืมตาโพลงขึ้นทันใด แล้วตวาดเสียงดังว่า “ไสหัวไป!”
ดวงตาของฉู่หมิงหยางเต็มไปด้วยความดื้อรั้นดุร้าย ใบหน้าเปลี่ยนสีทันที “เจ้าชอบข้าแท้ๆ ทำไมถึงต้องต่อต้านด้วย?”
เสียงดังก๊อก ๆ ที่แว่วมาเข้าหูไม่หยุดนั้น ทำให้เปลือกตาของเขาไม่อาจเปิดออกได้ไหว แต่ความรู้สึกคล้ายเผชิญกับวิกฤตนั้น ก่อตัวจนเกิดแสงไฟฟ้าเป็นประกายในใจของเขา บังคับให้เขาลืมตาและจ้องมองฉู่หมิงหยางเขม็ง ไม่อนุญาตให้นางเข้ามาสัมผัสเขาได้อีก
โสวฝู่ฉู่ที่ยืนอยู่อีกด้าน เข้ามาดึงตัวฉู่หมิงหยางออกไป ส่ายหน้าพลางพูดว่า “ไม่ไหว เขาต่อต้านรุนแรงเกินไป พวกเราไปกันเถอะ”
ฉู่หมิงหยางมองมาที่เขาอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ แต่คนข้าง ๆ กลับเอาแต่ดึงนางออกไป นางพูดอย่างโกรธเคืองว่า : “ข้าไม่ยอมวางมือง่าย ๆ แน่”
โสวฝู่ฉู่ก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ฉีกหน้ากากออก เผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นเหมือนก้นไก่ นางยกยิ้ม “ท่านอ๋อง วันนี้รบกวนท่านแล้ว อย่างไรก็ขอรับสัญลักษณ์แทนใจจากท่าน เป็นของขวัญแทนคำสัญญาแก่คุณหนูรองของข้าสักชิ้นเถอะนะ คุณหนูรองจะเฝ้ารอวันที่ท่านอ๋องมาสู่ขอแน่นอน”
หลังจากพูดจบ ก็เอื้อมมือไปหยิบจี้หยกที่ห้อยอยู่ที่เอวของหยู่เหวินเห้ามา ในขณะที่ฉู่หมิงหยางก็ถอดต่างหูออก แล้วใส่ลงในกระเป๋าผ้าปักของเขาเช่นกัน
เสียงก๊อกๆเป็นจังหวะนั่นยังดังต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เขายืนขึ้น เปิดประตู ส่งทั้งสองออกไป เดินกลับไป แล้วล้มตัวลงนอนต่อ
หยู่เหวินเห้าลืมตาขึ้นทันใด มีแสงสว่างจ้าปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
เขาเห็นหยวนชิงหลิง สวีอี ทังหยาง และยังมีอาซี่อีกคน เขาผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรง หยิบกระเป๋าผ้าปักออกมา แล้วเทของที่อยู่ข้างในออก จึงเห็นต่างหูไข่มุกชิ้นหนึ่ง
เขากัดฟันกรอดจนแทบจะหักอยู่แล้ว มารดาลุงมันเถอะ! เขาถูกผู้หญิงคนหนึ่งวางแผนดักเข้าแล้ว ทั้งยังถูกล่วงเกินไปอีกทีหนึ่งด้วย!
เขาหันไปมองหยวนชิงหลิง ยกมือขึ้นสาบานว่า ” ข้าสาบานได้ วันนั้นข้าไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อเจ้าเลยแม้แต่น้อย”
สวีอียิ้มพลางพูดว่า “ข้ารู้ เมื่อครู่ท่านเพิ่งจะพูดมันออกมา”
หยวนชิงหลิงพูดอย่างแปลกใจว่า: “ทำไมฉู่หมิงหยางถึงต้องทำเช่นนี้ด้วย? เรื่องที่นางจะแต่งเป็นชายารองของอ๋องจี้ นับเป็นความต้องการนางเองแท้ ๆ ทำไมถึงคิดจะกลับลำ แล้วทำไมถึงต้องไปใช้กรมปกครองสร้างสถานการณ์ฉากนี้ด้วย?”
หยู่เหวินเห้ายืนขึ้น ใบหน้าของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง “แทนที่จะเดาอยู่ที่นี่ ไม่สู้ไปถามให้ถึงที่เลยน่าจะดีกว่านะ”
ทังหยางตกใจ “นั่นคงไม่เหมาะสมกระมังท่านอ๋อง?”
“ทังหยาง ไปนำตัวพยานมา แล้วไปอธิบายให้โสวฝู่ฉู่ฟังเสียหน่อย” หยู่เหวินเห้าสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หยวนชิงหลิงลุกขึ้นยืนทันที “ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้วว่าทำไมนางถึงทำเช่นนี้”
ทังหยางถามทันที: “ทำไมรึ?”
หยวนชิงหลิงหันไปมองหยู่เหวินเห้า “จำสิ่งที่เจ้าบอกข้าได้หรือไม่? ตอนที่กลับมาจากวัดฮู่กว๋อ เจ้าบอกว่าไท่ซ่างหวงพึงพอใจในตัวเจ้า ข้าพบว่าแท้ที่จริงแล้วโสวฝู่ฉู่คนนี้ ฟังความต้องการของไท่ซ่างหวงเป็นสำคัญ ด้วยเหตุนี้ฉู่หมิงหยางก็อาจจะพบว่า จริง ๆ แล้วโสวฝู่ฉู่เองก็ชอบใจในตัวเจ้ามากกว่าอ๋องจี้ ดังนั้นจากตอนแรกที่นางตกลงจะแต่งให้อ๋องจี้ พอมาตระหนักถึงความคิดของเสด็จปู่ของเจ้าแล้ว นางก็เกิดเปลี่ยนใจ แต่เหตุเพราะการยื่นขอแต่งเข้ามาเป็นชายารองของนาง ล้วนถูกเจ้าปัดตกไปทั้งสองครั้ง แม่นมสี่ก็ถึงกับไปหาโสวฝู่ฉู่ ขอให้เขาล้มเลิกความคิดนี้ซะ ดังนั้นนางรู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้แน่ ที่นางจะได้แต่งเข้าจวนอ๋องฉู่อย่างถูกทำนองคลองธรรม นางจึงต้องใช้วิธีนี้ เพราะวิธีนี้เคยมีแบบอย่างที่ประสบความสำเร็จให้เห็นมาแล้ว ซึ่งนั่นก็คือข้าเอง ”
หยู่เหวินเห้าหันไปมองนาง “เป็นไปไม่ได้ ที่ข้าจะตกหลุมพรางอุบายเดิม ๆ ซ้ำกันถึงสองครั้งติดต่อกัน”
“ด้วยเหตุนี้ เจ้าก็คิดวิธีจัดการเอาเถอะ” หยวนชิงหลิงชี้ไปที่ดาบยาวที่แขวนอยู่บนผนัง
หยู่เหวินเห้าเดินสะบัดแขนเสื้อออกไป ” สวีอี ทังหยาง มากับข้า!”
อาซี่ไล่ตามออกไป “ข้าก็อยากไปด้วย”
หยวนชิงหลิงทรุดตัวลงนั่ง ลูบขมับตัวเองหนัก ๆ นี่มันอีนุงตุงนังไปหมดแล้ว
หวังว่าเรื่องอีนุงตุงนังครั้งนี้ จะถูกย้ายไปที่ฝั่งของจวนตระกูลฉู่ได้บ้างซะทีเถอะนะ