บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 279
แม่นมสี่หันไปมองนางด้วยความสงสัย “เหตุใดถึงไม่ยอมเปิดเผยเล่าเจ้าคะ ?นี่ยังคิดจะเก็บนางไว้ที่นี่หรือเจ้าคะ?”
หยวนชิงหลิงตอบกลับ: “ข้าได้ยินพวกเจ้าพูดในตอนที่นางยินยอมเข้ามานางได้แจ้งตัวตนของนางอย่างชัดเจนแล้วว่านางมาจากจวนตระกูลฉู่ ซึ่งจุดนี้นางไม่ได้พูดปดต่อพวกเจ้า แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่มีจุดประสงค์อื่น เพียงทว่าการที่นางบอกตัวตนของตัวเองชัดเจนขนาดนี้แล้วเข้ามายังจวนอ๋องฉู่ แท้จริงแล้วนางต้องการสิ่งใดกันแน่ ?นางไม่ได้ปลอมตัว และไม่ได้เปลี่ยนฐานะ พอคิดว่าหากข้าคงจะไม่ค่อยได้เรียกใช้งานนาง นางก็ไม่มีทางที่จะได้เข้าใกล้ข้า แล้วเช่นนั้นนางมาที่นี่เพื่อทำสิ่งใด ?”
ทันใดนั้นแม่นมสี่ก็นึกบางอย่างออกมาได้ : “นางไม่รู้ว่าที่นี่คือจวนอ๋องฉู่”
“ไม่รู้งั้นหรือ ?” หยวนชิงหลิงประหลาดใจ “จะไม่รู้ได้อย่างไร?นางลงนามในหนังสือสัญญาแล้วไม่ใช่หรือ?”
“เจ้าค่ะ แต่นางไม่รู้หนังสือ นางบอกว่าตนเป็นคนหนานเจียงจึงไม่รู้หนังสือ” แม่นมสี่คิดอยู่ครู่หนึ่ง “วันนั้นข้าบอกว่าที่นี่คือจวนอ๋องฉู่ นางมีท่าทีตกใจอย่างมากจนสีหน้าเปลี่ยนไปเลยทีเดียว ตอนนั้นข้าเกิดความสงสัยขึ้นมา แต่พอนางบอกว่าไม่เคยถวายงานในจวนอ๋องมาก่อนกลัวว่าจะไม่เข้าใจกฎระเบียบ ข้าจึงปักใจเชื่อ”
“ไม่รู้ว่าที่นี่คือจวนอ๋องฉู่งั้นหรือ?” หยวนชิงหลิงแหงนหน้าครุ่นคิด “เสแสร้งหรือเปล่า?”
“ไม่น่าจะเสแสร้งเจ้าค่ะ” แม่นมสี่ตอบ “ถึงอย่างนั้นคนผู้นี้ก็เป็นคนอันตราย ข้าคิดว่าควรรีบขับไล่นางออกไปโดยเร็วจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
อะซี่เห็นด้วย : “ใช่แล้วเจ้าค่ะ อันตรายเกินไป ทั้งนางยังรู้วิชาลวงตาอีกด้วย”
“นั่นคือวิชาสะกดจิต ไม่ใช่วิชาลวงตา” หยวนชิงหลิงแก้ไข
“แต่ว่านางรู้การใช้พิษกู่นะเจ้าค่ะ คนหนานเจียงส่วนมากต่างรู้การใช้พิษกู่ทั้งนั้น” อะซี่นึกถึงเรื่องที่หมันเอ่อเคยช่วยฉู่หมิงหยางก็รู้สึกรังเกียจขึ้นมาทันที
แม่นมสี่กล่าวเสริม: “ไม่ผิด เช่นนี้ต่อให้นางไม่ได้เข้าใกล้พระชายาก็สามารถวางพิษกู่ได้”
หยวนชิงหลิงที่เคยศึกษาวิจัยการใช้พิษกู่กล่าวแย้งทันที : “ไม่ การจะใช้วิชาพิษกู่ยังไงก็ต้องมีการลงพิษกู่ ไม่ว่าลงในอาหาร หรือจะลงในเลือด อย่างไรเสียนางยังคงต้องได้เข้าใกล้ข้าอยู่ดี อะซี่เจ้าจงจับตามองนางเอาไว้ ห้ามให้นางเข้าใกล้แหล่งอาหารหรือตำหนักเซี่ยวเยว่เด็ดขาด รอดูก่อนว่านางต้องการทำสิ่งใดกันแน่ ถ้าหากว่าฉู่หมิงหยางต้องการส่งไส้ศึกมาที่นี่จริงๆ ต่อให้จะไล่หมันเอ่อออกไปแล้ว ยังไงก็จะต้องมีคนอื่นที่จะเข้ามาแทนอยู่ดี ตอนนี้ในเมื่อหมันเอ่อถูกจับได้แล้ว พวกเราสามารถที่จะจับตาดูนางไปก่อนได้ ดีกว่าได้คนที่มีตัวตนไม่ชัดเจนมา”
อะซี่ถึงแม้จะเป็นคนที่เฉื่อยชา แต่บางครั้งก็มีความคิดที่ละเอียดยิ่งนัก นางจึงแสดงความเห็นด้วยความประหลาดใจเช่นกัน: “ถ้าหากฉู่หมิงหยางต้องการส่งคนมาแฝงตัวอยู่ข้างพระชายาจริงๆ เหตุใดนางถึงได้ส่งคนที่เคยต่อสู้กับเจ้าอ๋องมาด้วย ?หากเจ้าอ๋องรู้ไม่มีทางเก็บนางเอาไว้แน่ อีกอย่างฉู่หมิงหยางเองก็ไม่ใช่คนโง่เขลาด้วย”
หยวนชิงหลิงพยักหน้าเห็นด้วย “นี่ก็เป็นข้อสงสัยของข้าด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ให้จับตาดูนางไปก่อนเถอะ”
“เช่นนั้นก็อย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่นดีกว่าเจ้าค่ะ” อะซี่กล่าวรับ
แม่นมสี่หันไปพูดกับหยวนชิงหลิง : “อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ต้องแจ้งให้กับเจ้าอ๋องทราบ เกรงว่าเจ้าอ๋องจะไม่มีทางเอานางไว้ในจวนอ๋องเด็ดขาดเจ้าค่ะ”
“ข้าจะเกลี้ยกล่อมเขาเอง” หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างมั่นใจ
ช่วงนี้อ๋องฉู่เชื่อฟังเป็นอย่างมาก ไม่ว่านางจะพูดอะไรเขาก็จะว่าตามนั้นเสมอ
การเก็บหมันเอ่อเอาไว้ในจวน คงจะไม่เป็นปัญหาใหญ่หรอก
ทว่าพอถึงช่วงเย็นหยู่เหวินเห้ากลับมาที่จวน แล้วได้ฟังคำบอกเล่าของหยวนชิงหลิง เขาก็พูดด้วยความฉุนเฉียวทันที “นางช่างโอหังยิ่งนัก ถึงได้กล้ามายังจวนอ๋องฉู่ ?โสวฝู่ฉู่กล้าปกป้องเข้าข้างไม่ตีนางให้ตายเสียตอนนั้น”
“ข้าอยากเก็บนางเอาไว้ที่จวนก่อน ดูว่านางมีเป้าหมายใดกันแน่” หยวนชิงหลิงกล่าว
หยู่เหวินเห้าคัดค้านหัวชนฝา “ไม่ได้ ต่อให้ไม่ตีนางให้ตาย ยังไงก็ต้องไล่นางออกไป”
“เก็บไว้ก่อนเถอะ เจ้าไม่คิดว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือไร?นางเคยปราบมือกับเจ้า ทั้งข้ายังได้ยินมาว่านางมีความสามารถในการปลอมตัว แต่นางกลับมาที่นี่ด้วยรูปลักษณ์เดิมไม่มีการปลอมตัวใดๆ หากด้วยนิสัยของเจ้าแล้วไม่มีทางเก็บนางเอาไว้แน่นอน แล้วเพราะเหตุใดเล่า ?”
หยู่เหวินเห้ามองนางแล้วตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ : “เพราะว่านางรู้ว่าพระชายาฉู่เป็นคนโง่เขลา จะต้องทำการวิเคราะห์ต่างๆ นาๆ จากนั้นก็เก็บเลี้ยงนางเอาไว้ แค่นี้นางก็บรรลุผลสำเร็จแล้ว”
“แล้วเหตุใดถึงไม่ปลอมตัวตั้งแต่แรกเล่า?หากนางปลอมตัวจะง่ายต่อการเก็บเลี้ยงนางเอาไว้ อย่างน้อยการปลอมตัวก็ทำให้พวกเราไม่มีผู้ใดรู้จักนาง เจ้าเองก็อย่าเพิ่งทำท่าว่ารู้จักนาง ข้าอยากเก็บนางเอาไว้ก่อน” หยวนชิงหลิงกล่าว
หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้วแน่น “เจ้าหยวน ความคิดนี้ของเจ้ามันเสี่ยงเกินไป ไม่ได้ ข้าขอคัดค้าน ไม่ควรเก็บนางเอาไว้”
“เดี๋ยวสิ……”
หยู่เหวินเห้าจ้องนาง “ห้ามพูด ไม่เช่นนั้นข้าจะโกรธแล้ว”
หยวนชิงหลิงขมวดคิ้ว “เหตุใดจู่ๆ ถึงได้กลายเป็นเผด็จการไปซะแล้ว?เรื่องนี้น่าจะปรึกษากันก่อน ให้เวลาสังเกตการณ์สักสองสามวันค่อยตัดสินใจได้หรือไม่ ?”
“ปรึกษา?สังเกตการณ์?แล้วยังจะอีกกี่วัน ตอนนี้แค่ชั่วยามเดียวก็ไม่อาจเก็บนางเอาไว้ได้แล้ว” หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นยืน “ข้าจะขับไล่นางออกเดี๋ยวนี้”
หยวนชิงหลิงดึงมือเขาเอาไว้ “เจ้าฟังข้าพูดก่อน”
“ไม่ฟัง เจ้ามันคนโง่ นางเคยทำร้ายเจ้ามาก่อนนะ” หยู่เหวินเห้าแย้งด้วยความโกรธ
“หากพูดตามความเป็นจริง” หยวนชิงหลิงยิ้มแหยๆ มองเขา “นางไม่เคยทำร้ายข้า เพียงแค่ร่วมมือกับฉู่หมิงหยางให้ได้จูบเจ้าหนึ่งครั้ง เจ้าเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ เจ้าเป็นคนได้เปรียบอย่าทำเป็นไร้เดียงสาเลย”
หยู่เหวินเห้าถลึงตาโต “เจ้าว่าอะไร?พูดอีกครั้งสิ!”
“โกรธแล้วหรือ?” หยวนชิงหลิงที่เห็นสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา จึงเขย่ามือเขาด้วยท่าทางออดอ้อน “ข้าพูดผิดไปแล้วอย่าคิดมากเลยนะ?”
หยู่เหวินเห้าสะบัดมือนางออกแล้วตอบกลับอย่างเย็นชา : “เจ้าไม่ได้พูดผิดหรอก เจ้าเข้าใจว่าข้าเป็นคนที่ได้เปรียบงั้นสิ?ในใจของเจ้าคิดอยู่เสมอว่าเรื่องที่เกิดในที่ทำการปกครอง ผู้รับเคราะห์คือฉู่หมิงหยาง เพราะเรื่องที่เกิดในจวนองค์หญิงเจ้าก็คิดเช่นกันว่าผู้รับเคราะห์คือตัวเจ้าเอง”
หยวนชิงหลิงปล่อยมือเขาแล้วมองใบหน้าที่เย็นชาของเขา “ถึงจะโกรธอยู่แต่อย่าพูดจาเหลวไหลเช่นนี้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าพูดใหม่อีกครั้ง”
หยู่เหวินเห้าโกรธที่นางปกป้องหมันเอ่อ และยิ่งโกรธกับคำพูดที่นางพูดมาเมื่อสักครู่นี้ “แล้วไม่ใช่หรือไร?ฉู่หมิงหยางกำลังเลียนแบบเจ้า นางคิดว่าเพียงแค่ให้ข้าได้รับโทษฐานล่วงเกินนาง ข้าก็จะต้องอภิเษกกับนาง เพราะอย่างไรเสียตำแหน่งพระชายาก็ได้มาด้วยวิธีนี้เช่นกัน”
หยวนชิงหลิงหันหน้าหนีไปอีกทางแม้ในใจจะโกรธ แต่ก็ยังพยายามที่จะใช้เหตุผล : “เจ้าออกไปสงบสติอารมณ์ก่อนเถอะ ยิ่งพูดต่อไปพวกเราจะทะเลาะกันได้ ข้าไม่อยากทะเลาะวิวาทกับเจ้า ส่วนหมันเอ่อ หากเจ้าอยากไล่นางออกก็ตามใจเถอะ แต่ขอให้ข้าได้ไถ่ถามนางสักสองสามอย่างก่อน ข้าไม่ชอบที่เรื่องราวมันค้างคาไม่ชัดเจน ต่อให้จะไม่ได้ความจริงจากปากนางเลย อย่างน้อยข้าก็พอจะสามารถคาดเดาได้บ้าง”
ตอนนี้หยู่เหวินเห้ารู้สึกเสียใจกับคำพูดที่กล่าวออกเมื่อสักครู่นี้ไม่น้อยเลย แต่เมื่อนึกถึงคำพูดนั้นของนางเขายังคงเคืองไม่หาย และยิ่งได้ยินว่านางอยากพบกับหมันเอ่อก็ยิ่งคิดว่านางทำเรื่องให้ซับซ้อนกว่าเดิม และยังไม่คิดถึงความปลอดภัยของตัวเองเลย เขาจึงตัดบทด้วยประโยคที่เย็นชา: “ไม่ต้องให้เจ้าถามหรอก ข้าจะไปไต่สวนเอง แล้วค่อยโบยนางสักยกก่อนจะขับไล่นางออกไป เจ้าพักผ่อนไปเถอะ”
พูดจบเขาก็หันหน้าเดินออกไป
หยวนชิงหลิงมองตามแผ่นหลังของเขาในใจรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง นี่เป็นการขัดแย้งกันอย่างจริงจังครั้งแรกหลังจากที่พวกเขาดีกัน
ถึงแม้จะยังไม่ถึงขั้นทะเลาะวิวาท แต่น้ำเสียงที่เย็นชาเช่นนั้น มันทำให้รู้สึกจุกอยู่ในใจ
นางเรียกอะซี่เข้ามา “เจ้าไปตามดูเจ้าอ๋อง หากเขาไต่สวนหมันเอ่อ เจ้าจงอยู่ตรงนั้นฟังความเอาไว้ แต่อย่าให้เขาลงมือทำร้ายนางเด็ดขาด”
อะซี่ที่เมื่อสักครู่นี้ยืนอยู่หน้าประตูได้ยินพวกเขาทะเลาะกันก็อดพูดไม่ได้ : “พระชายาเจ้าคะ มันไม่คุ้มค่าที่จะโกรธเคืองกับเจ้าอ๋องเพื่อหมันเอ่อคนนั้นเลย เจ้าอ๋องทำไปก็เพื่อเจ้า อีกทั้งการโบยหมันเอ่อก็สมควรแล้ว นางน่ารังเกียจเกินไป”
หยวนชิงหลิงท้อใจไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรดี ฉะนั้นไม่พูดจะดีกว่า : “เจ้าไปจัดการตามที่ข้าบอกก็พอ หากเจ้าอ๋องจะลงไม้ลงมือ เจ้ารีบมารายงานทันที”
อะซี่ตอบเข้าใจแล้วหันหลังเดินจากไป