บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 284
หยู่เหวินเห้าตอบ “อืม” คำเดียว พร้อมกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะดึงนางเข้ามาโอบกอดเอาไว้ กอดเอาไว้อย่าหนาแน่น แน่นจนเกือบทำเอานางขาดอากาศหายใจเลยทีเดียว “เจ้าไม่โกรธแล้ว?สิ่งที่ข้าพูดไปล้วนเป็นคำพูดเหลวไหลทั้งนั้น เจ้าอย่าไปใส่ใจเลย”
กลิ่นสุราจากตัวเขาแพร่กระจายออกมาจนหยวนชิงหลิงรู้สึกมึนหัว
นางพยายามดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่อาจหลุดจากเขาได้ นางจึงได้เพียงซบลงไปในอ้อมกอดของเขา แล้วลมหายใจจากตัวเขาก็ทำให้ความว้าวุ่นใจตลอดทั้งคืนของนางสงบลง
ใบหน้าของนางแนบลงบนเสื้อผ้าเรียบของเขา พลางรู้สึกปวดใจเกินจะอดกลั้นจนน้ำตาไหลพรากออกมา
หยู่เหวินเห้ารับรู้ว่านางกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะตบหน้าตัวเองไปสองที
หลังจากที่ความโกรธเคืองหายไป เขาถึงเพิ่งรู้ตัวว่าคำพูดของตัวเองนั้นเลวร้ายเพียงใด
เขาปล่อยนางแล้วเอามือมาประคองใบหน้าของนาง ก่อนใช้นิ้วมือค่อยๆ ปาดน้ำตาของนางออกอย่างเบามือ แล้วพูดด้วยความรู้สึกผิด : “ข้าขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรพูดจาเช่นนั้นมาทำร้ายจิตใจของเจ้า”
หยวนชิงหลิงมองเขาด้วยดวงตาที่แดงระเรื่อ ก่อนจะแนบใบหน้าของตัวเองลงไปบนฝ่ามืออันหยาบกร้านของเขา “ข้าเองก็ผิดเช่นกัน แต่ว่าไม่ว่าพวกเราจะทะเลาะกันเพียงใด คำพูดเช่นนั้นห้ามพูดอีกเป็นอันขาด มันทำร้ายจิตใจกันเกินไป”
“ข้าขอสัญญาว่าข้าจะไม่พูดจาเช่นนั้นอีก ข้าจะไม่พูดอีกเป็นอันขาด” หยู่เหวินเห้าโอบกอดนางอีกครั้ง ความโกรธเคืองที่เขาได้แสดงออกมาในตอนอยู่ที่จวนของเหลิ่งจิ้งเหยียนนั้น หลังจากที่ระบายออกมามันก็จางหายไปจนหมดแล้ว
เพียงเพราะว่าชื่อเสียงหน้าตา เขาถึงต้องทำท่าทีอวดเก่งต่อหน้ากู้ซือและเหลิ่งจิ้งเหยียน แต่จริงๆ แล้วนับตั้งแต่วินาทีที่เขาออกประตูไป เขาก็เริ่มเสียใจและกังวลแล้ว
“ทังหยางบอกว่าเจ้ายังไม่ทานอาหารเลย” หยู่เหวินเห้าปล่อยนางพลางเลิกคิ้ว แล้วถามนาง
“ข้าไม่หิว กินไม่ลงด้วย”
“ข้าก็ยังไม่ได้ทานเลย เจ้าทานกับข้าสักนิดเถอะ” หยู่เหวินเห้าพูดโดยไม่โอกาสนางปฏิเสธ แล้วเดินออกไปสั่งให้คนจัดเตรียมอาหารทันที
ทางด้านแม่นมสี่ได้มีการจัดเตรียมไว้ตั้งแต่นานแล้ว เหลือเพียงรอให้นางบอกว่าหิวแล้วถึงจะได้เรียกให้คนนำอาหารมาถวายได้อย่างทันควัน
ทางด้านสวีอีที่ชะเง้อมองเข้าไปด้านใน อะซี่ที่เห็นเข้าก็ต่อว่าเขาทันที “เจ้าจะทำอะไร?”
“เจ้าอ๋องได้ถามถึงเรื่องของเด็กคนนั้นหรือยัง ?” สวีอีถาม
“ยังไม่ถาม และไม่ต้องการถามด้วย อย่าหาเรื่องเลย ไม่ง่ายเลยกว่าจะสงบลงได้” อะซี่ผลักเขาออกไป
สวีอีจับเอวเอาไว้ “อย่าผลักข้า เจ้าทำให้ข้าต้องเจ็บตัว ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย”
เมื่อพูดเรื่องที่หลังได้รับบาดเจ็บ อะซี่ก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที “เช่นนั้นอีกสักครู่กลับไป ข้าจะเอายาดองสมุนไพรมาทาให้เจ้า”
“เดี๋ยวนี้เลย !” สวีอีรู้สึกว่าพอนางผลักก็มีอาการเจ็บขึ้นมาทันที
อะซี่จึงตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ : “ไปเถอะๆ ข้าจะได้ไม่ต้องติดค้างอะไรเจ้า”
หยวนชิงหลิงที่ทานบะหมี่เส้นไปได้เพียงครึ่งถ้วย ก็รู้สึกว่าไม่สามารถทานลงไปได้อีกต่อไป นางจึงวางถ้วยลง : “เจ้าจะดื่มยาสร่างเมาอยู่หรือไม่?ข้าจะได้สั่งให้คนไปเตรียมมาให้”
“ไม่ต้อง ข้าได้สติแล้ว” หยู่เหวินเห้าที่เห็นว่านางไม่ทานแล้ว เขาเองก็หยุดทานด้วยเช่นกัน ก่อนที่จะเดินเข้าไปประคอง “ไปนอนกันเถอะ”
“ออกไปเดินสักหน่อยเป็นไร?” หยวนชิงหลิงถาม
“ไม่ต้องไปแล้ว เย็นนี้เจ้าเพิ่งลื่นล้มไป จะเคลื่อนตัวมากนักไม่ได้แล้ว เจ้าล้มไปโดนตรงไหน?ไม่เจ็บแล้วจริงหรือ?” หยู่เหวินเห้าถามด้วยความห่วงใย
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า พลางยืดหลังตรง เย็นวันนี้ตอนที่กำลังอาบน้ำนางมีอาการเหม่อลอย ทำใหเตอนที่เดินออกมาเท้าลื่นไถลจึงทำให้หัวของนางไปกระแทกเข้ากับฉากกั้นห้อง ส่วนบริเวณหัวนั้นไม่ได้เจ็บอะไร เพียงแต่ตอนที่ลุกขึ้นมีอาการปวดท้องเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าเมื่อผ่านไปสักพักก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว
หยวนชิงหลิงยืนกรานที่จะออกไปเดินข้างนอกเสียหน่อย เพราะหลังจากทานอาหาร นางไม่อยากนอนเลยทันที
หยู่เหวินเห้าจึงทำได้เพียงออกไปพร้อมกับนาง
เขากุมมือของนาง ซึ่งฝ่ามือของนางมีความเย็นเฉียบ ในขณะที่นางก็ทำตัวนิ่งเงียบ
หยู่เหวินเห้าจึงคิดว่านางยังคงโกรธเคืองอยู่
“หยวน เจ้าอย่าโกรธเลย ข้ารู้สึกเสียใจยิ่งนักที่พูดเช่นนั้นออกไป” หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้วเข้ากันด้วยสีหน้าที่กวนใจ
หยวนชิงหลิงนั่งลงบนที่นั่งบริเวณหน้าโถงทางเดิน โดยมีแสงจากโคมที่ห้อยอยู่ห่างกันถึงยี่สิบก้าวเท้าตามโถงทางเดินที่ส่องสลัวลงบนใบหน้าอันอ่อนโยนและหล่อเหลาของเขา แม้แต่แผลเป็นที่พาดจากหางคิ้วไปยังใบหูของเขาก็ดูเบาบางขึ้นมา
นางมองเขาด้วยดวงตาที่สงบนิ่ง “ข้าไม่ได้โกรธแล้ว จริงๆ”
เขาจ้องมองไปยังใบหน้าของนาง ตอนนี้นางไม่ได้มีความโกรธเคือง ทั้งยังนิ่งสงบและเคร่งขรึม ดวงตานิ่งเฉย และใบหน้าที่ถูกแสงอันนุ่มนวลล้อมรอบเอาไว้ ราวกับภาพลวงตาก็ไม่ปาน
นางกระตุกมุมปากขึ้นด้วยความพยายามที่จะยิ้มออกมา แต่ทว่ารอยิ้มนั้นกลับดูเศร้าสร้อยยิ่งนัก
เมื่อได้เห็นท่าทางแบบนี้ของนาง ความเจ็บปวดก็ทิ่มแทงลงที่ใจของเขา
“ข้าไม่โกรธแล้วจริงๆ” นางลูบหน้าของเขาพลางเลื่อนมือไปยังแผลเป็นของเขาแล้วลูบไล้มันอย่างเบามือ ก่อนจะพูดออกมาด้วยความอ่อนโยน : “ข้าเพียงมีเรื่องบางอย่างที่ยังคิดไม่ตกสักที ซึ่งมันเป็นแค่ปัญหาเกี่ยวกับหลักการที่ไร้สาระ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรมาขัดขวางความรักที่ข้ามีต่อเจ้าได้”
หัวใจของเขา ราวกับว่ามีของหนักอึ้งบางอย่างหล่นทับลงมา
เขารีบเงยหน้าขึ้นมานางอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขามีประกายน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาพร้อมกับริมฝีปากที่ขยับด้วยความสั่นเครือ “เจ้า……เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
หยวนชิงหลิงมองนางพร้อมรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดออกมาอย่างนุ่มนวลประดุจกับหยดน้ำ “จริงด้วยสิ ราวกับว่าข้าไม่เคยพูดว่าข้ารักเจ้ามาก่อนเลย”
เขามองนาง แล้วทันใดนั้นางก็ถูกเขาดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเขาแล้วห่อหุ้มนางเอาไว้ด้วยลมหายใจของเขา เขาประทับริมฝีปากลงบนผมของนาง ก่อนจะเลื่อนลงไปยังริมฝีปากของนาง
เขาเป็นเหมือนกับเปลวไฟถูกจุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนแทบจะแผดเผาพวกเขาทั้งสองด้วยความเร่าร้อน
หลังจากที่เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เขาถอนหายใจออกมาแล้วกอดนางเอาไว้แน่น พลางใช้มือลูบหลังของนางเบาๆ พร้อมกล่าวคำมั่นสัญญาที่ไม่มีวันนึกเสียใจอีกออกมา: “ข้ารักเจ้า ทั้งชีวิตนี้จะจูงมือของเจ้าคนเดียวเพียงเท่านั้น และจะไม่มีใครอื่น ถ้าหากวันใดข้าหยู่เหวินเห้าทำผิดต่อเจ้าหยวนชิงหลิง ขอให้ข้าตกสู่ขุมนรกชั่วนิรันดร์กาล และไม่ได้พบฟ้าและตะวันอีกต่อไป”
หยวนชิงหลิงหันหน้าไปอีกข้างภายใต้อ้อมกอดของเขา ก่อนที่นางจะแหงนหน้าขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้มที่เปื้อนน้ำตา : “หากเป็นเช่นนี้ ข้าก็ต้องคอยอยู่ในนรกเคียงข้างเจ้า เพราะนับตั้งแต่วันที่เจ้าทำผิดต่อข้า ข้าก็เหมือนตกอยู่ในนรกแล้ว”
เขาวางสายตาลงบนใบหน้าอันแดงระเรื่อของนาง พลันรู้สึกโล่งอกขึ้นมาภายในจิตใจ ผู้ใดจะรู้ได้ว่าใบหน้านี้ที่เขาเคยรังเกียจเดียดฉันท์ จะกลับกลายเป็นใบหน้าที่เขาคะนึงหาไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ตาม?
หยวนชิงหลิงเองก็รู้สึกโล่งใจเช่นเดียวกัน เพราะนับตั้งแต่ที่นางได้ข้ามเวลามาที่นี่ เขาก็เป็นดั่งภัยอันใหญ่หลวง เป็นดั่งปีศาจร้าย แต่ผู้ใดจะไปคิดว่าจะมีวันหนึ่งที่นางเต็มใจที่จะมีลูกกับเขา คอยดูแลงานบ้านงานเรือน? นางแค่ต้องการที่จะดูแลเขาต่อไปในทุกๆ วัน งานวิจัยของนาง หลักการต่างๆ ของนาง ทุกอย่างๆ ที่เป็นตัวนาง และความมุ่งมั่นเช่นนั้นสุดท้ายกลับยอมประนีประนอมจนทุกอย่างมลายหายไป
ทางด้านปลายทางเดิน แม่นมสี่ที่ยืนเอนลงกับเสากลมก็ถอนหายใจออกเบาๆ
แสงไฟในค่ำคืนนี้ช่างพอเหมาะ หมู่ดาวเดือนในค่ำคืนนี้ก็ช่างงดงาม จนทำให้บรรยากาศในค่ำคืนนี้ดีไปตามๆ กัน
แต่ทว่าคืนนี้นางกลับรู้สึกโดดเดี่ยวเป็นอย่างมาก
เพราะเมื่อนานมาก่อนนางเองก็เคยได้มีความรักที่หอมหวานเช่นนั้นเหมือนกัน
แต่เพราะนางถูกรั้งเอาไว้ด้วยความกลัว ความไม่มั่นใจในตนเอง และไม่มีความเชื่อใจที่มากพอ
นางกลัวว่าจะต้องผิดหวัง กลัวว่าจะถูกหักหลัง กลัวที่จะสูญเสีย ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะไม่มีเสียแต่แรกจะดีกว่า
ดังนั้นนางจึงทำให้เขาผิดหวังเสียใจเลยตั้งแต่แรกเริ่ม
ไม่คู่ควรจริงๆ นางไม่คู่ควรกับมัน
ถ้าหากว่าตอนนั้นนางมีความกล้าไม่สนอะไรใดๆ เช่นนี้ มีความมั่นใจที่มั่นคง บางทีทั้งชีวิตนี้ของนางคงไม่ต้องพบเจอกับเดียวดายเช่นนี้
เมื่อก่อนหน้านี้ นางถึงแม้จะนึกเสียดาย แต่กลับคิดเสมอว่าตัวเองได้เลือกถูกแล้ว
เพราะความรู้สึกที่แสนงดงามเมื่อถูกความเป็นจริงสาดส่องแล้ว มันก็จะเลือนหายจนไม่หลงเหลือเค้าเดิมของมันอีกเลย
แต่เมื่อมาถึงชีวิตวัยชราอันเงียบเหงานี้ แล้วได้มองย้อนกลับไปในอดีตนางถึงได้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วนางไม่เคยมอบโอกาสให้เขาหรือแม้แต่ตัวเองเลย
นางเอาแต่กลัวการสูญเสีย ทั้งที่ในปีนั้นที่นางปฏิเสธเขา ความสูญเสียก็ได้เกิดขึ้นกับนางแล้ว