บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 287
หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างสงสัย : “แล้วผู้ใดจะไปบอกให้กับโสวฝู่ฉู่ล่ะ?เจ้าหรือ?”
หยู่เหวินเห้าอมยิ้มแล้วมองนาง “เจ้าต่างหาก!”
“ข้า?” หยวนชิงหลิงตะลึง “เป็นเรื่องยากที่ข้าจะได้พบเขา และการจะให้เดินทางไปยังจวนตระกูลฉู่เพียงเพราะเรื่องนี้คงจะไม่ดีหรอกมั้ง?”
“ไม่จำเป็นต้องไปยังจวนตระกูลฉู่หรอก พรุ่งนี้เจ้าเข้าวังไปถวายพระพรเสด็จปู่ เพราะอย่างไรเสียพรุ่งนี้เซียวเหยากงและโสวฝู่ฉู่ก็จะไปเข้าพบเสด็จปู่เช่นกัน” หยู่เหวินเห้ากล่าวตอบ
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” หยวนชิงหลิงกล่าวถาม
หยู่เหวินเห้าพูดด้วยรอยยิ้ม : “พรุ่งนี้เป็นวันครบรอบพระชนมพรรษาของเสด็จปู่”
หยวนชิงหลิงถึงกับประหลาดใจ “วันครบรอบพระชนมพรรษา?เหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้?แล้วไม่มีการจัดพิธีฉลองหรือ?”
วันครบพระชนมพรรษาของไท่ซ่างหวงเชียวนะ เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งนัก เหตุใดถึงได้ไร้สุ้มเสียงการป่าวประกาศใดๆ เช่นนี้?
“ไม่ใช่วันครบรอบพระชนมพรรษาที่แท้จริงหรอก แต่ในปีนั้นพวกเขาสามคนได้ร่วมรบในสงครามด้วยกัน ซึ่งในมหาสงครามครั้งนั้นไท่ซ่างหวงได้หนีรอดจากความตายมาได้ นับตั้งแต่นั้นมาจึงได้กำหนดให้วันนี้เป็นวันที่เขาได้เกิดใหม่อีกครั้ง และในทุกๆ ปีพวกเขาจะมาสังสรรค์ร่วมกัน” หยู่เหวินเห้าอธิบาย
หยวนชิงหลิงถามอีกครั้งด้วยความสงสัย : “ยังมีเรื่องดีเช่นนี้อีกด้วยหรือ?นับเป็นเรื่องน่าสนใจจริงๆ ที่จริงข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าไท่ซ่างหวงและโสวฝู่ฉู่จะมีมิตรภาพอันดีเช่นนี้มาก่อนเลย ข้าเข้าใจว่าเหล่าราชวงศ์ต่างเกรงกลัวโสวฝู่ฉู่ ทั้งที่ความจริงโสวฝู่ฉู่คนนี้ เขาเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสินะ?เขาเองคิดที่จะเป็นฮ่องเต้ด้วยหรือไม่?”
หยู่เหวินเห้าครุ่นคิด “จะว่าอย่างไรดีล่ะ?จะกล่าวว่าไท่ซ่างหวงเกรงกลัวโสวฝู่ฉู่คงจะไม่ใช่ แต่เป็นความไว้วางใจที่มีต่อเขาเสียมากกว่า โสวฝู่ฉู่นับเป็นขุนนางใหญ่ที่คอยดูแลรักษาความมั่นคงของเป่ยถัง เมื่อหลายปีก่อนเขานั้นจงรักภักดีต่อเสด็จพ่ออย่างมาก จนกระทั่งเสด็จพ่อได้ขึ้นครองราชย์ เขาถึงได้มีความยโสและทะนงตนมากขึ้น แต่ช่วงหลายปีมานี้เขาก็ค่อยๆ ที่จะลดคมดาบของเขาลง และเสด็จพ่อยังคงไว้วางใจในตัวเขาเช่นเดิม”
“เช่นนั้นแท้จริงแล้วเขาคือคนดีหรือคนชั่วกันแน่?” ด้วยความคิดที่เรียบง่ายหยวนชิงหลิงจึงถามออกมาตามตรง
หยู่เหวินเห้าถึงกับยิ้ม “ไม่ใช่คนดี แต่ไม่ใช่คนชั่วอะไร เขาเป็นเพียงแค่ตาเฒ่าที่ชอบทำตัวให้ผู้อื่นเกลียดชังเท่านั้น บางครั้งทำตัวทรงอำนาจเผด็จการ บางครั้งก็ยโสโอหัง บางครั้งก็มีเหตุผล แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือในใจของเขานั้นเต็มไปด้วยชาติบ้านเมืองเป่ยถัง”
หยวนชิงหลิงรู้ว่าคนบางคนก็ยากที่จะนำคำว่าดีหรือชั่วมาแบ่งแยกเขาได้
นางเอามือเท้าคางขึ้น “ไม่รู้ว่าตอนนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับแม่นมสี่และเขากันแน่?ข้าจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่พวกเราเข้าวัง ข้าและแม่นมสี่ได้พบกับเขา คราวนั้นเหมือนว่าเขาจะดื่มสุรามาแล้วเขาก็แสร้งทำเป็นเดินชนแม่นมสี่ไปทีหนึ่ง การกระทำเช่นนี้ปัญญาอ่อนสิ้นดี”
“ปัญญาอ่อน?”
“ทำตัวเป็นเด็ก!” หยวนชิงหลิงพูดพร้อมรอยยิ้ม “เขาคงจะดื่มสุรามาเล็กน้อย จึงทำให้ขาดการตัดสินใจ เมื่ออยากเข้าใกล้แม่นมสี่ก็ไม่กล้า เลยต้องแสร้งทำเป็นชนนางแทน”
และก็เป็นเหตุการณ์ครั้งนั้นที่ทำให้ทัศนคติในการมองโสวฝู่ฉู่เปลี่ยนไปอย่างมาก
“เรื่องราวในตอนนั้นของพวกเขาสองคน คนที่เข้าใจดีที่สุดแน่นอนว่าคือพวกเขา เหตุใดเจ้าถึงไม่ลองถามแม่นมสี่ดูล่ะ ?” หยู่เหวินเห้ารู้เพียงแค่เรื่องบางอย่างเท่านั้น ในส่วนของรายละเอียดอย่างไรเสียก็รู้ดีไม่เท่ากับเจ้าของเรื่องราวนั้นหรอก
“แม่นมสี่ไม่พูด” หยวนชิงหลิง
หยู่เหวินเห้ามองดูใบหน้าอันสวยสดของนางแล้วประทับรอยจูบลงไปอย่างอดไม่ได้ “ไม่ว่าตอนนั้นพวกเขาจะผูกพันกันมากเพียงใด ก็คงจะไม่มีทางผูกพันได้มากกว่าเราสองคนหรอก”
หยวนชิงหลิงมองดูใบหน้าหล่อเหลาของเขาแล้วขยับมือขึ้นไปลูบไล้ “พวกเราไม่ทะเลาะก็เพียงพอแล้ว”
“ไม่ทะเลาะ” หยู่เหวินเห้าสะกดอารมณ์แล้วกล่าวอย่างจริงจัง : “ต่อไปจะไม่ทะเลาะแล้ว”
หยวนชิงหลิงยิ้มจางๆ ไม่ทะเลาะ?โต้เถียงกันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่เป็นปัญหาอะไร ขอเพียงอย่าเป็นเหมือนคราวที่แล้วก็เพียงพอแล้ว
พอในช่วงดึก กู้ซือก็เดินทางมาหาหยู่เหวินเห้า
เมื่อเห็นกู้ซือเข้ามาหยวนชิงหลิงกลับพูดด้วยเสียงที่เย็นชา : “ใต้เท้ากู้ ไม่ทราบว่าเจ้าอ๋องไปทำสิ่งใดผิดใจเจ้า เจ้าถึงได้ต้องลงมือทำร้ายเขาด้วย ?”
กู้ซือตะลึง แล้วมองหยวนชิงหลิงด้วยความงุนงง“อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ?ข้าเมื่อไหร่……”
หยู่เหวินเห้าดึงตัวเขาแล้วผลักออกไปด้านนอกพร้อมพูดด้วยความหงุดหงิด : “มีอย่างที่ไหน กู้ซือ ข้าไม่ไปหาเจ้า เจ้ากลับใจกล้ามาหาข้าที่นี่เลยหรือ ?เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้ ข้าจะสั่งสอนเจ้าให้รู้จักเข็ดหลาบ ……”
ในขณะที่พูด เขาได้ผลักตัวกู้ซือออกไปนอกลาน
ใบหน้าของกู้ซือเต็มไปด้วยความงุนงงแต่มีวูบหนึ่งที่เขาสังเกตเห็นหยวนชิงหลิงที่กำลังยิ้มอย่างสงบใจ
เมื่อออกมาถึงด้านนอกกู้ซือก็กล่าวถามทันที : “เหตุใดพระชายาถึงได้พูดว่าข้าตีเจ้า?”
“นางชอบหยอกล้อ ไม่มีอะไรหรอก” หยู่เหวินเห้าหันกลับไปดูด้วยความไม่ค่อยวางใจ ก่อนจะลากตัวกู้ซือให้เดินออกไปไกลกว่าเดิม
“มีเรื่องอันใด?”
กู้ซือที่เพิ่งนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้จึงรีบกล่าว : “อ๋องจี้กลับมาแล้ว”
“เร็วขนาดนั้นเชียว?” หยู่เหวินเห้าประหลาดใจ ไม่ใช่ว่าไปหนึ่งเดือนหรือ?เหตุใดถึงล่วงหน้ากลับมาก่อน?
“วันนี้ตอนที่ข้าปฏิบัติหน้าที่ได้เห็นเขาเดินทางเข้ามาในวังและไปยังห้องทรงพระอักษร ฝ่าบาททรงตำหนิเขาไปยกใหญ่ก่อนที่สั่งให้เขากลับจวน” กู้ซือตอบ
“เร็วขนาดนั้นเชียวหรือ?” หยู่เหวินเห้ารู้สึกสงสัย “เขาไม่กล้ากลับจวนมาเป็นการส่วนตัวเป็นแน่ ต้องเป็นเพราะเสด็จพ่อเรียกตัวเขากลับมาแน่นอน”
“บางที่อาจเป็นเพราะว่าเรื่องการอภิเษกคุณหนูรองตระกูลฉู่เป็นชายารองมั้ง ได้ข่าวว่ามีกำหนดฤกษ์ไว้เป็นวันที่สามเดือนต่อไป”
“นั่นก็มีกำหนดเวลาแล้ว อย่างไรเสียก็ไม่น่ากลับมาเร็วเช่นนี้” หยู่เหวินเห้านิ่งงันด้วยความรู้สึกว่าเพิ่งจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมาได้เพียงไม่กี่วัน ก็จะต้องกลับไปพบเจอกับใบหน้าอันน่ารังเกียจพวกนั้นอีกแล้ว ในใจอึดอัดอย่างยิ่ง
กู้ซือส่ายหน้า “ไม่ทราบเช่นกัน ข้ามาเพื่อที่จะแจ้งเตือนเจ้าเท่านั้น คาดว่าหลังจากที่เขากลับจวนไปจะต้องได้ยินเรื่องที่คุณหนูรองตระกูลฉู่มาติดพันกับเจ้าเป็นแน่ เมื่อถึงตอนนั้นข้าเพียงกลัวว่าเขาจะไปละเว้นเจ้าไปง่ายๆ แน่”
“คู่คนชั้นต่ำ!” น้ำเสียงของหยู่เหวินเห้าเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
กู้ซือกล่าวต่อ: “อย่างไรเสียเจ้าลองหาช่องทางดูเถอะ ตอนนี้พระชายาฉู่ให้การรักษาแก่พระชายาจี้ ยังไม่รู้เลยว่าเขาจะคิดเช่นไร วันนี้ในตอนที่เขาออกจากวัง พอดีกับช่วงเลิกปฏิบัติหน้าที่ของอาจื้อพอดี เขาเผอิญได้ยินองครักษ์ทำการรายงานเรื่องของคุณหนูรองตระกูลฉู่ให้กับเขา จากนั้นก็ได้ยินเขาคำรามเสียงดังด้วยความโกรธว่าหยู่เหวินเห้า ส่วนมันจะหมายความว่าอย่างไร เจ้าคงน่าจะพอเข้าใจ”
หยู่เหวินเห้าพยักหน้า “อืม สำหรับเรื่องนี้ข้าเข้าใจแล้ว”
กู้ซือจึงกล่าวลา : “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน”
เขาที่เพิ่งเดินไปได้สองก้าว จู่ๆ ก็หันหลังกลับมา “จริงด้วย เหตุใดพระชายาจึงได้บอกว่าข้าตีเจ้า?”
หยู่เหวินเห้าตอบกลับด้วยความโมโห : “เหตุใดเจ้าถึงได้น่ารำคาญเช่นนี้นะ?บอกแล้วว่านางเพียงหยอกเล่นเท่านั้น”
กู้ซือตอบ “อ่อ” ด้วยสีหน้างงๆ ถึงแม้จะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ แต่ไม่ถามแล้วดีกว่า ท้องฟ้ามืดแล้ว เขากลับไปคะนึงถึงหญิงงามจะดีกว่า
ส่วนทางด้านหยู่เหวินเห้าก็กลับไปสั่งการให้กับทังหยาง : “ส่งคนไปสังเกตอ๋องจี้เอาไว้ อย่าให้เขาก่อเรื่องอันใดขึ้นเด็ดขาด”
ทังหยางกล่าว : “จากสถานการณ์แล้วตอนนี้เขาต้องการอภิเษกคุณหนูรองตระกูลฉู่ คาดว่าคงจะไม่สร้างเรื่องวุ่นวายในสถานการณ์เช่นนี้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
แต่หยู่เหวินเห้ากลับไม่เห็นด้วยเช่นนั้น : “การคอยสังเกตการณ์ไม่ใช่เรื่องผิดอันใด เราไม่อาจจะชล่าใจได้
อีกอย่างพรุ่งนี้พระชายาต้องออกไปด้านนอก เจ้าจงเรียกสวีอีและอะซี่ให้มาช่วยจับตาดูเอาไว้ด้วย”
“เจ้าอ๋องอย่าได้ตื่นตระหนกถึงเพียงนี้เลย ยังมีองครักษ์ลับผีอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ” ทังหยางคิดว่าหากเขายังมีความวิตกกังวลเช่นนี้ต่อไป พระชายาคงยังไม่ทันที่จะได้โกรธ ผมของเขาคงจะขาวหมดแล้ว
หยู่เหวินเห้ากดมือตัวเอง “ทังหยาง เจ้าไม่เข้าใจ ตั้งแต่ที่พระชายาตั้งครรภ์ ใจของข้าก็ไม่มีวันไหนที่สงบได้เลย ข้าเอาแต่คิดว่าจะต้องมีปีศาจมารผจญมาทำร้ายนางอยู่ตลอด ฉะนั้นจึงต้องมีมาตรการป้องกันที่หนาแน่นเพียงพอ”
ทังหยางจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม: “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปสั่งการให้สวีอีและอะซี่ทันที ถ้าหากเจ้าอ๋องรู้สึกว่ายังไม่อาจวางใจได้ ในตอนที่พระชายาเดินทางเข้าวัง ให้เจ้าเรียกชายารองหยวนของอ๋องฉีไปพร้อมกับนางด้วยเลย นางเป็นคนมีวรยุทธ์กล้าแกร่งทั้งยังมีนิสัยดุดันอีกด้วย เป็นคนที่มีความตื่นตัวและสงบนิ่ง สงบนิ่งยิ่งกว่าอะซี่เสียอีกพ่ะย่ะค่ะ”
“ความคิดที่ดี ช่างเป็นความคิดที่ดี!” หยู่เหวินเห้าไตร่ตรองอย่างรอบคอบ หญิงสาวหน้ากลมมน นางถึงแม้จะเป็นคนดุดัน แต่ความคิดนั้นกลับมีความรอบคอบระมัดระวังยิ่งกว่าผู้อื่น
เขาเริ่มให้ความสนใจในตัวของยัยหน้ากลมคนนั้น ถ้าหากสามารถเรียกนางให้มาพักที่จวนอ๋องได้ เช่นนั้นทุกอย่างก็สมบูรณ์แบบ
ยิ่งตอนนี้พระชายาจี้เดินทางมาที่นี่ทุกวัน มันทำให้เขารู้สึกไม่วางใจจริงๆ
เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็รีบไปหาอะซี่ทันที และสั่งให้อะซี่ไปแจ้งเรื่องกับยัยหน้ากลม
ทางด้านอะซี่ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ด้านนอกพร้อมกับตอเป่า ได้เห็นหยู่เหวินเห้าเดินจ้ำฝีเท้าเข้ามาหา อีกทั้งยังทำใบหน้าที่ดูแปลกประหลาด ราวกับต้องการจะมาประจบสอพลอเสียอย่างนั้น
นางก้าวถอยหลังแล้วพูดอย่างระวังตัว : “เจ้าอ๋องคิดจะทำสิ่งใด?”
หยู่เหวินเห้าพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างมีสติ “อะซี่ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า เจ้ามานี่ มานี่เร็วสิ”