บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 308
หยวนชิงหลิงไม่เข้าใจ “ผู้หญิงคนนี้เข้ามาในจวนเพื่อเป็นขี้ข้ากลับท้องแล้ว? ลูกของใคร?”
“ของน้องสาม” พระชายาซุนถอนหายใจ เจ้าคงไม่รู้ จริงๆแล้วหญิงสาวคนนี้เป็นคนที่พระชายาเว่ยช่วยชีวิต ถือว่านางนั้นตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้นจริงๆ
หยวนชิงหลิงรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “เรื่องมันยังไงกันแน่ ท่านพี่สะใภ้รองท่านรีบเล่าให้ข้าฟัง”
นางมีความรู้สึกที่ดีต้องนางชุยที่เป็นพระชายาเว่ย รู้สึกว่าคนผู้นี้สง่างามอ่อนโยน แม้ว่าตระกูลชุยจะเป็นตระกูลใหญ่ แต่ก็ไม่เหมือนตระกูลฉู่ที่ชอบบีบบังคับผู้คน
อีกอย่าง ปีที่แล้วนางเคยท้องไปครั้งหนึ่งแล้ว อายุครรภ์ได้หกเดือนเด็กก็ตายในท้อง พักฟื้นไปนาน เพิ่งจะออกมาช่วงนี้เอง
พระชายาซุนกล่าว “เรื่องนี้ พระชายาเว่ยก็ไม่ได้พูดกับข้าอย่างจริงจัง นางเสียใจอย่างมาก พูดถึงก็น้ำตาไหล น่าสงสารจริงๆ น้องสามก็เหมือนกัน ไม่รู้ว่าไปโดนอะไรเข้า ดีกับผู้หญิงคนนั้นเป็นพิเศษ เพื่อนางแล้ว ทะเลาะกับพระชายาเว่ยเป็นประจำ ยังบอกอีกว่าจะแต่งนางเป็นชายารอง และได้ประกาศว่าหากพระชายาเว่ยเข้าวังไปโวยวายก็จะเลิกร้างกับนาง”
หยวนชิงหลิงตกใจ “โอ้สวรรค์ เรื่องหนักขนาดนี้เลยหรือ? หน้าตาของผู้หญิงคนนี้สวยเหมือนดอกไม้หรือ?”
“ดอกไม้? ผู้หญิงคนนี้จะสามสิบแล้ว” พระชายาซุนฮึ่มไปหนึ่งที “อีกอย่าง หากนางยืนด้วยกันกับพระชายาเว่ย พระชายาเว่ยเหนือกว่านางหลายชั้น ฐานะทางสังคมก็ไม่มี รูปร่างหน้าตาก็ไม่มี”
หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างสงสัย “แล้วอ๋องเว่ยชอบอะไรนาง?”
“งานดีมั้ง!” พระชายาซุนโมโหจนพูดไม่ออก
หยวนชิงหลิงตกใจจนตาค้าง
พระชายาซุนกล่าวอย่างประชด “ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าชอบอะไร ได้ยินสาวใช้ของพระชายาเว่ยบอกว่า ผู้หญิงคนนี้เทิดทูนน้องสามอย่างมาก กล่าวชื่นชมน้องสามเป็นประจำ บางทีอาจเพราะกินของหวานมากเกินไป จนตัวเองเวียนหัวจนซื่อบื้อมั้ง เฮ้ย ก็ไม่รู้เพราะอะไร เมื่อก่อนเขาสองคนก็รักกันมาก รักกันจะเป็นจะตาย เดิมพระชายาเว่ยนั้นมีคู่หมั้นแล้ว แต่น้องสามจะแต่งกับนางให้ได้ ทั้งสองคนช่วยกันต่อสู้ ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกัน แต่กลับต้องมามีสภาพแบบนี้”
หยวนชิงหลิงก็ฟังไปอย่างนั้นแหละ อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องครอบครัวของคนอื่น ยุ่งไม่ได้ มากสุดก็รู้สึกเสียใจแทนนางชุยที่เป็นพระชายาเว่ย
สิ่งที่น่ากลัวของความรักก็คือการเดินมาถึงจุดนี้
หลังจากที่พระชายาซุนไปแล้ว หยวนชิงหลิงก็ไปดูแม่นมสี่
หูหมิงเด็กขาเป๋คนนั้นอยู่ดูแลปรนนิบัติแม่นมสี่อยู่ในเรือน เพราะเดิมทีในจวนคนก็ไม่พอใช้อยู่แล้ว โดยปกติแม่นมสี่ก็ต้องให้คนดูแล บัดนี้นางพักฟื้น ข้างกายต้องมีคนมาคอยยกน้ำรินชาให้ ลู่หยาถูกสั่งให้ไปดูแลหยวนหย่งอี้ ฉี่หลออยู่ดูแลอยู่ที่ตำหนักเซี่ยวเยว่
หยวนชิงหลิงตรวจสอบอาการของแม่นมสี่แล้ว แน่ใจว่าไม่เป็นไรแล้ว ก็กล่าว “ยาของไทเฮาหลงช่างวิเศษนัก หากมีโอกาส ข้าอยากจะพบนางสักครั้ง”
แม่นมสี่กล่าว “ไทเฮาหลงไม่พบใครง่ายๆ แต่ว่าทางเจ้าพระยาเจียงหนิง หากพระชายามีโอกาสเจอเขา ก็ช่วยข้าขอบคุณเขาด้วย”
“ได้!” หยวนชิงหลิงยิ้มเล็กน้อย “ข้าต้องขอบคุณเขาอย่างดีจริงๆ เขาไม่เพียงแต่นำมายาเม็ดอู๋โยวมาให้ข้าในระยะทางพันลี้ หลังจากที่ข้ากินยาเม็ดอู๋โยวที่โสวฝู่ฉู่นำมาให้แล้ว ก็รู้สึกสบายตัวอย่างมาก”
ได้ยินหยวนชิงหลิงพูดถึงโสวฝู่ฉู่ แม่นมสี่ก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ท่าทางสดใสร่าเริงกว่าแต่ก่อนเยอะมาก
หยวนชิงหลิงรู้ดี ก็ไม่ได้พูดออกมา ได้สั่งกำชับนางไปไม่กี่ประโยคก็ออกไป
หูหมิงยกน้ำเข้ามาพอดี หยวนชิงหลิงเรียกเขาเอาไว้
“พระชายา!” หูหมิงหวาดกลัวเล็กน้อย รีบทำเคารพ
“ไม่ต้องมากพิธี หยวนชิงหลิงมองเขา รู้สึกว่าจะอ้วนกว่าปกติมาหน่อย อยู่ในจวนชินหรือยัง? งานหนักมั้ย?”
หูหมิงตอบทันควัน “เรียนพระชายา ไม่หนักเลยขอรับ ข้าน้อยต้องขอบคุณพระชายาเป็นอย่างมากที่รับข้าน้อยเอาไว้ ทุกวันนี้ข้ามีข้าวให้อิ่มท้อง ก็มีความสุขมากแล้ว”
“งั้นก็ดี” หยวนชิงหลิงลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วถาม “แล้วหมันเอ๋อคนนั้นล่ะ เจ้ายังเห็นอยู่มั้ย?”
หูหมิงส่ายหัว “ตั้งแต่ที่ข้าน้อยเข้ามาในจวนอ๋อง ก็ไม่เคยเห็นนางอีกเลย”
“แล้วเจ้ารู้ว่านางจะไปไหนมั้ย?” หยวนชิงหลิงถาม
หูหมิงคิดไปครู่หนึ่ง “คนหนานเจียงหางานในเมืองหลวงไม่ง่าย คาดว่านางน่าจะไปแบกกระสอบตรงท่าเรือ”
“นางที่เป็นผู้หญิงไปแบกกระสอบ?” หยวนชิงหลิงตกใจ
หูหมิงยิ้มอย่างขมขื่น “ก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป หากไม่ไปแบกกระสอบ ก็ทำได้เพียงไปขโมยไปปล้นแล้ว”
หยวนชิงหลิงตอบอืมไปหนึ่งที “เจ้าไปทำงานเถอะ”
“พระชายา” หูหมิงมองนาง กล่าวอย่างจริงใจ พี่หมันเอ๋อไม่ใช่คนเลว ข้าใช้ชีวิตเร่ร่อนในเมืองมาหลายปี ใครเป็นคนดี ใครเป็นคนเลว แวบเดียวข้าก็มองออกแล้ว บางทีนางอาจจะเคยทำเรื่องที่ไม่ดี แต่ว่าโดยสันดานนางไม่ใช่คนเลว เวลาที่ท่านเจอนาง ได้โปรดอย่างทำให้นางลำบากใจ”
หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างอ่อนโยน “เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ได้จะทำให้นางลำบากใจ”
ในทางกลับกัน ข้ารู้สึกเป็นห่วงนาง
นางมีความรู้สึกพิเศษกับหมันเอ๋อ เพราะหมันเอ๋อเป็นคนหนานเจียง เป็นคนต่างถิ่น อยู่ที่นี่ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด สู้เพื่อความอยู่รอด จริงๆแล้วมันเหมือนกับตอนที่นางเพิ่งจะข้ามภพมาเลย
ตอนนั้นไม่ได้มีความหวังอย่างอื่น หวังเพียงแค่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อ
เพียงแต่ เพราะนางเคยติดตามฉู่หมิงหยาง ดังนั้นทุกคนก็เลยมองนางในทางที่ไม่ดี
คนเราก็ต้องมีช่วงเวลาที่เคยเจอคนที่ไม่ดี
ช่างเหอะ นางไม่อยากเพราะเรื่องนี้แล้วต้องทะเลาะกับเจ้าห้าอีก
หลังจากผ่านเรื่องของแม่นมสี่ นางก็รู้แล้ว บางครั้งหากอีกฝ่ายโหดร้ายขึ้นมานั้น ต้องการชีวิตของเรามันไม่มีการต่อรองทั้งนั้น
อยู่ในยุคสมัยนี้ ความมีเมตตา บางครั้งอาจจะทำร้ายตัวเองได้
หูหมิงเดาไม่ผิด หมันเอ๋อไปแบกกระสอบที่ท่าเรือจริงๆ
ในฐานะคนหนานเจียง ทำให้บรรดาขุนนางผู้มั่งคั่งในเมืองหลวงต่างหลีกเลี่ยงจะจ้าง
ผู้หญิงไปแบกกระสอบ เกรงว่าต่อให้นางจะแบกมากว่าคนอื่นครั้งละหนึ่งกระสอบ แต่เงินที่ได้ก็ยังคงน้อยกว่าคนอื่นกว่าครึ่ง
นี่คือกฎ
ตอนที่อะซี่ไปทำธุระนั้น เจอกับนางเข้า
นางแบกข้าวสารสองกระสอบ เดินไปทางรถวัวอย่างรวดเร็ว หลังจากที่โยนมันลงไป ก็วิ่งไปกลับไปแบกอย่างอื่นอย่างรวดเร็ว
นางต้องทำงานมากกว่าคนอื่นหนึ่งเท่า จึงจะได้เงินเท่าคนอื่น
ดังนั้น นางเกือบจะไม่หยุดพักเลย
เดิมอะซี่นั้นจำนางไม่ได้ แต่ได้ยินหัวหน้าคนงานตะโกนว่าผู้หญิงหนานเจียง นางจึงหันไปมอง จ้องมองโดยละเอียดถึงจะจำนางได้
เพียงไม่กี่วัน นางทั้งผอมทั้งดำไปมาก หากไม่ใช่เมื่อก่อนเคยเกลียดนาง มองไปอย่างละเอียด ก็ยังคงจำนางไม่ได้
หมันเอ๋อก็เห็นนาง แววตาลนลาน โยนกระสอบข้าวสารทิ้งแล้วก็วิ่งหนี
นางหนี อะซี่ก็วิ่งตาม
อะซี่วิ่งตามนางไปห้าซอยเต็มๆ จึงจะขวางนางเอาไว้ได้ อะซี่โกรธจนคิ้วเป็นเส้นตรง “เจ้าหนีทำไม?”
หมันเอ๋อที่หายใจหอบ ยกมือขึ้นเพื่อขอหายใจก่อน “ข้า……..ไม่ได้ทำร้ายพระชายาจริง เจ้าอย่าจับข้า”
อะซี่เลิกคิ้ว “ใครบอกจะจับเจ้า?”
หมันเอ๋อตกใจ ก้มตัวใช้สองมือชันไว้บนเข่า กล่าวอย่างหายใจหอบ “เจ้าไม่ได้มาจับข้า? แล้วเจ้าจะวิ่งตามข้าทำไม?”
อะซี่กล่าว “เจ้าหนีข้าก็วิ่งตามไง”
หมันเอ๋อจะหัวเราะก็ไม่ใช่จะร้องไห้ก็ไม่เชิง มองนางที่ไม่เหนื่อยเลยแม้แต่นิดเดียว เพียงแต่หายใจเร็วหน่อยเท่านั้นเอง ก็รู้สึกว่านางน่าจะมีวรยุทธ์ที่เก่งกาจ หากนางจะจับตัวเองจริงๆ ตัวเองนั้นหนีไม่รอดอยู่แล้ว จึงได้ยืนตัวตรงแล้วกล่าว “รบกวนเจ้าช่วยขอบคุณพระชายาด้วย วันนั้นที่นางปกป้องข้านั้น ข้ายังไม่ได้ขอบคุณนางด้วยตัวเองเลย”
อะซี่รับคำ แล้วมองสำรวจนาง “เจ้าทำไมไม่กลับไปที่จวนตระกูลฉู่ล่ะ?”
หมันเอ๋อยิ้มอย่างขมขื่น “จวนตระกูลฉู่จะเอาข้าได้ยังไง? โสวฝู่ฉู่เป็นคนไล่ข้าออกมา คุณหนูรองก็ไม่เอาข้า”
“เจ้าแบกกระสอบ หนึ่งวันได้เงินเท่าไหร่?” อะซี่ถาม
หมันเอ๋อตอบ “หากทำเต็มที่ ก็ได้สามสิบอีแปะ”
“แบกทั้งวัน?” อะซี่ตกใจจนเบิกตากว้าง
“ทั้งวัน”
“อะซี่ส่ายหัว “งานนี้ไม่ใช่งานสำหรับคน”
“แต่คนที่ทำงานนี้ล้วนเป็นคน” หมันเอ๋อพูด
อะซี่ไม่รู้จะตอบยังไง “งั้นข้าไม่รบกวนเวลาทำงานของเจ้าแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ”
ขณะที่อะซี่พูด ก็หันกายจากไป
ที่หมันเอ๋อตกใจจนวิ่งหนี สรุปเป็นความเข้าใจผิด บวกกับวิ่งไปตั้งหลายรอบ เข่าอ่อนแล้ว นั่งลงบนพื้นพักหายใจหอบ