บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 316
หยู่เหวินเห้าตกใจจนปากค้าง “ท่าน….”
ช่างมีแต่เรื่องแปลก เสด็จพ่อยินยอมที่จะให้เลิกร้าง? อีกอย่าง ฟังดูน้ำเสียงดูรังเกียจมาก
“ทำตามคำสั่งก็พอ” ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด
ตั้งแต่นางแต่งงานเข้ามา ก็ไม่เคยหยุดก่อเรื่อง เรื่องเล็กเขาสามารถเห็นแก่หน้าโสวฝู่ แล้วมองข้ามไป ผลที่ตามมาของการปล่อยปละละเลยนี้คือความไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เสียหน้าราชวงศ์ไม่เป็นไร แต่นางแอบสร้างความบาดหมางระหว่างพวกอ๋อง จะปล่อยนางอยู่ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว
ตอนนั้นชื่อเสียงของนางไม่ได้เป็นแบบนี้ ผู้คนต่างก็พูดกันว่านางอ่อนหวานเป็นกุลสตรี เป็นที่ชื่นชอบของทุกคนอย่างมาก
ฟังคำพูดพวกนั้นของฮูหยินแก่ตระกูลฉู่ในวันนี้ เขาก็โกรธอย่างมากแล้ว หน้าตาตระกูลฉู่ช่างใหญ่เหลือล้นจริงๆ
“เสด็จพ่อ” หยู่เหวินเห้ารวบรวมท่าที รีบพูดขึ้นว่า “ความหมายของท่าน เห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้าเจ็ดขอหรือ?”
“ไม่เห็นด้วยจะได้หรือ? ถึงขั้นใช้กำลังต่อกันแล้ว” ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดขึ้น อย่างแสดงให้เห็นถึงความอุตสาหะของการเป็นพ่อว่า “หลังจากเลิกร้างแล้ว ต่างคนต่างแต่งงานใหม่ ถือเป็นเรื่องดีของทั้งสองตระกูล”
หยู่เหวินเห้านับถืออย่างมาก เสด็จพ่อพูดได้อย่างเสแสร้งมาก เสแสร้งจนดูไม่ออกว่าเสแสร้ง เหมือนกับเป็นการกระทำด้วยใจอย่างยากลำบาก
“เรื่องนี้ ต้องกระทำให้แล้วเสร็จภายในเจ็ดวัน หากกระทำไม่สำเร็จ ให้กลับมารับโทษ ไปได้แล้ว”ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดสั่ง
หยู่เหวินเห้ารับคำสั่ง เข้าไปหาอ๋องฉี ทั้งสองพี่น้องประคองกันออกไปจากวัง
ฮ่องเต้หมิงหยวนกลับยังต้องอ่านราชฎีกา ในฐานะที่เป็นฮ่องเต้ นอกจากเขาจะมีเก้าอี้ที่ค่อนข้างใหญ่กว่าคนอื่นตัวหนึ่งแล้ว ยังจะมีอะไรดีกว่าคนอื่น?
ฮ่องเต้ต้องทำงานที่ล้วนทำให้อายุสั้น
มู่หรูกงกงฝนหมึกอยู่ด้านข้าง พูดขึ้นอย่างดีใจว่า “ฮ่องเต้เห็นอ๋องฉีกับอ๋องฉู่ไม่บาดหมางกัน สามารถวางใจได้แล้ว”
ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดขึ้นด้วยเสียงเข้มว่า “ลูกห้าเป็นคนเปิดเผย ลูกเจ็ดจิตใจใสซื่อ และโชคดีที่เป็นแบบนี้ หากเป็นคนอื่น คงจะลงมือทำร้ายกันแต่แรกแล้ว ถ้าไม่ทำร้ายกัน ต่อจากนี้ไปก็จะปากหวานก้นเปรี้ยว ราชวงศ์ทุกสมัย พี่น้องที่กลายเป็นศัตรูกันเพราะผู้หญิง มีนับไม่ถ้วน ดังนั้น เรื่องเลิกร้างในครั้งนี้ ต้องรีบจัดการโดยเร็ว จะปล่อยให้นางก่อเรื่องให้เกิดความบาดหมางอีกไม่ได้”
มู่หรูกงกงพูดขึ้นว่า “คืนนี้ที่ฮ่องเต้เรียกท่านอ๋องทั้งสองคนเข้าวังมาทั้งคืน ทั้งที่รู้ว่าอ๋องฉี ได้รับบาดเจ็บก็ยังไม่ยอมให้เขานั่งเสลี่ยง เพราะรู้อยู่แล้วว่าอ๋องฉู่จะต้องปกป้องเขา โดยเฉพาะตอนที่คุกเข่าแล้วก็ยกอยู่หน้าพระตำหนัก คาดว่าอ๋องฉีคงจะจดจำไปตลอดชีวิต ต่อไปเมื่อพบเจอกับเรื่องอะไร เขาก็จะเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง”
ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่พูดอะไร สีหน้าเคร่งเครียด
เป็นฮ่องเต้ไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นพ่อก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยังจะต้องแสดงเป็นคนร้ายเพื่อให้พวกเขาได้ผ่านประสบการณ์ความยากลำบาก เพิ่มพูนกระชับความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของพวกเขา
แล้วใครจะรู้ถึงความทรมานใจของเขา?
มู่หรูกงกงก็พูดขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า “ฮ่องเต้ หากอ๋องฉีกระทำเรื่องนี้ออกมาได้ไม่ดี ท่านจะโบยเขาอีกจริงหรือ?”
“เรื่องนี้เขาสามารถจัดการได้เป็นอย่างดี ในจวนของเขามีคนสามารถทำได้”ฮ่องเต้หมิงหยวนโบกมือ บ่งบอกว่าไม่ต้องพูดอีกแล้ว
มู่หรูกงกงแอบแปลกใจ จวนอ๋องฉู่มีใครสามารถกระทำเรื่องนี้?
ทางด้านหนึ่ง สองพี่น้องทุกข์ยากนั่งอยู่บนรถม้า หยู่เหวินเห้าไม่ได้ขี่ม้า สั่งให้มหาดเล็กพาม้ากลับไปยังจวนก่อน
เขานอนฟุบอยู่บนรถม้า ถึงแม้ยี่สิบทีจะไม่แรง ไม่เจ็บเท่ากับสามสิบทีก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่สามารถขี่ม้า และก็นั่งไม่ได้ จึงทำได้เพียงฟุบนอนราบครึ่งตัว
เขานอนฟุบราบครึ่งตัว อ๋องฉีนอนครึ่งตัว ทั้งสองคนพูดคุยกันราวกับคนพิการ
“พี่ห้า เสด็จพ่อสั่งให้เจ้าช่วยข้าเลิกร้างกับชายาจริงหรือ?”อ๋องฉีค่อนข้างไม่อยากเชื่อ ตอนนั้นที่พูดกับเสด็จพ่อ เสด็จพ่อยังขับไล่เขาออกไป
“ใช่ บอกว่าจะทำให้โสวฝู่ฉู่เสียหน้าไม่ได้”หยู่เหวินเห้าค่อนข้างลำบากใจ ไม่ว่าจะเป็นการยาด้วยความสมัครใจหรือการเลิกร้างร้าง ก็เท่ากับตระกูลฉู่มีคนถูกตราหน้าว่าถูกทิ้ง จะทำอย่างไรให้ไม่เสียหน้าล่ะ?
“ทำไมเสด็จพ่อถึงใช้ให้เจ้าทำ? เขาคิดหาวิธีเองไม่ได้หรือ? เขาฉลาดกว่าพวกเราจะตาย”
หยู่เหวินเห้าขยับข้างหลังนิดหน่อย พยายามให้ความเจ็บปวดลดน้อยลง พร้อมพูดขึ้นว่า “หากเสด็จพ่อสามารถคิดหาวิธีโดยไม่ทำให้โสวฝู่ฉู่เสียหน้า คืนนี้ข้าที่เป็นพี่ของเจ้าก็ไม่ต้องทุกข์ทรมานแล้ว ไม่ว่าเสด็จพ่อจะทำอย่างไรก็ไม่ถูก และก็ไม่สามารถมีราชโองการ ไม่เช่นนั้น หน้าของโสวฝู่ฉู่จะเอาไปไว้ที่ไหน?”
“งั้นเจ้าสามารถคิดหาวิธีได้อย่างไร?”อ๋องฉีถามขึ้น
“เจ้าคิดไตร่ตรองดีแล้วหรือ?”หยู่เหวินเห้าขยับหัวเข้าใกล้ พร้อมไปถามขึ้น
อ๋องฉีเอียงหัว หันมามองเขาพร้อมพูดขึ้นว่า “ยังมีทางอื่นให้สามารถเดินได้อีกหรือ?”
“เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร เจ้ายินยอมที่จะเลิกร้างโดยสมัครใจจริงหรือ?”หยู่เหวินเห้าค่อยคิดขึ้นมาได้ว่า ไม่เคยถามความรู้สึกในใจของเขาเลย
อ๋องฉีมองดูหลังคาที่สั่นไหว พร้อมครุ่นคิด แล้วก็ตัดสินใจที่จะพูดความในใจออกมา ยังไงระหว่างพี่น้องในค่ำคืนนี้ ไม่ควรที่จะมีความลับอะไรต่อกันอีก
“ที่จริงนางไม่เคยรักข้า นางรักเจ้ามาก แต่ความรักของนางในครั้งนี้ พ่ายแพ้ให้กับความทะเยอทะยาน ที่จริงความทะเยอทะยานคืออะไรหรือ? นางเองก็อาจจะไม่รู้ว่าที่แท้ตนเองต้องการอะไรกันแน่ ความทะเยอทะยานทำให้นิสัยของนางเปลี่ยนไป กลายเป็นคนโหดเหี้ยม ตอนนี้ข้าเห็นนางแล้วก็จะรู้สึกกลัว ถึงขั้นไม่อยากที่จะกลับจวนเพื่อไปพบเจอนาง ก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ ข้ากับนางก็เคยทะเลาะกันแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นทำให้ข้าเสียใจมาก พี่ห้า เจ้าทายซิว่าข้าได้ยินว่าอะไร?”
“อะไรหรือ?”หยู่เหวินเห้าพูดขึ้น
อ๋องฉีหัวเราะอย่างเย็นชาว่า “เพราะเรื่องแม่นมสี่โสวฝู่ฉู่ลงโทษฮูหยินใหญ่ วันนั้นข้าก็อยู่ด้วย คนตระกูลฉู่หยิ่งผยองอย่างมาก พวกเขาถึงขั้นคิดว่าตระกูลฉู่มีอำนาจเหนือกว่าราชวงศ์ สิ่งที่ทำให้ข้ายากที่จะรับได้อย่างที่สุดก็คือ นางก็คิดเหมือนกันเช่นนี้ ถึงขั้นไม่ให้ข้าได้พูดอธิบายสักครั้ง น้ำเสียงนั้น ท่าทีนั้น หยิ่งยโสและโอหัง พี่ห้า ความหยิ่งยโสและโอหังแบบนั้น เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วเป็นเวลานาน เป็นสิ่งที่ออกมาจากใจของพวกนางอยากมั่นใจ พวกเขาไม่เห็นแก่หน้าข้าด้วยซ้ำ แบบนี้หมายความว่าอย่างไร เจ้ารู้ไหม?”
“รู้ ตระกูลฉู่โอหังมาตลอดอยู่แล้ว”หยู่เหวินเห้าพูดว่า สำหรับพวกเขาแล้ว แผ่นดินนี้แทบจะเป็นของตระกูลฉู่อยู่แล้ว
อ๋องฉีอืมหนึ่งคำ พร้อมพูดขึ้นว่า “นาทีนั้น สีหน้าความเป็นจริงของตระกูลฉู่ถูกฉีกขาดต่อหน้าข้าแล้ว ความเสแสร้งของฉู่หมิงชุ่ยก็ถูกเปิดเผย ข้าพบว่าผู้หญิงที่ข้าหลงรักมาตลอด น่าเกลียดน่าชังถึงเพียงนี้ ความรู้สึกแบบนั้นเหมือนกับกินแมลงวันเข้าไปหนึ่งตัว เป็นแมลงวันที่ตัวใหญ่มาก ทำให้ข้าสะอิดสะเอียนอยู่หลายวัน จากนั้นที่ข้าพบเจอนาง ล้วนทำให้คิดถึงคำพูดของนางในวันนั้น ข้าสามารถไม่สนใจว่าในใจของนางมีคนอีกคนหนึ่ง ข้าสามารถรอได้ แต่ข้ารับไม่ได้ที่นางเจ้าเล่ห์เพทุบาย มาถึงตอนนี้ ระหว่างข้ากับนางถือว่าแตกหักกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว นางทำให้ข้าได้เห็นในด้านที่น่าเกลียดน่าชังที่สุดของนาง พวกเรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว”
หยู่เหวินเห้าตบบ่าของเขาเบาๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “แล้วเจ้าทรมานไหม?”
“ทรมานสิ” อ๋องฉีหัวเราะออกมาดูแย่ยิ่งกว่าร้องไห้ พร้อมพูดขึ้นว่า “จะไม่ทรมานได้อย่างไร? แต่งงานกันมาหนึ่งปี พวกเรารักใคร่กันมาก นางทำให้ข้าได้เห็นพระฉายาที่เพียบพร้อมคนหนึ่ง ข้าก็ไม่เคยกระทำให้นางต้องเสียใจ ข้าดูแลทะนุถนอมนางอย่างดีที่สุด รักใคร่นาง เพื่อนางแล้ว ข้าถึงขั้นเคยคิดที่จะไปแย่งชิง……”
เขาเงียบไปเนิ่นนาน คำพูดมากมายถูกกลืนกลับลงไป พูดขึ้นเพียงว่า “ช่างเถอะ ข้าไม่อยากพูดถึงอีกฝ่ายในด้านที่ไม่ดีอีก สิ้นสุดแล้วก็จบสิ้นเถอะ เหลือศักดิ์ศรีความภาคภูมิใจให้กับนางและตนเองบ้าง เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว ความทรมานนี้ก็จะหายไปเอง”
หยู่เหวินเห้ารู้ว่าที่จริงในใจของเขายังทุกข์ทรมานยิ่งนัก แต่ในเมื่อเขาไม่พูด ก็ไม่จำเป็นต้องถามต่อ
พูดขึ้นอย่างปลอบโยนว่า “เจ้าพูดถูก เมื่อเวลาผ่านไป ความทรมานก็จะจางลงเอง”
อ๋องฉีหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “ที่จริงตอนนี้ก็ไม่ได้ทรมานขนาดนั้นแล้ว อาจเป็นเพราะร่างกายเจ็บปวด ความเจ็บปวดในใจจึงลดน้อยลง”
ในใจหยู่เหวินเห้าค่อนข้างเจ็บปวด น้องชายคนนี้ เขาดูแลตามใจมาตั้งแต่เล็ก ตอนนี้กลับถูกผู้หญิงคนหนึ่งทำให้ทุกข์ทรมานไปทั่วทั้งกายและใจ
“พี่ห้า ตอนนั้นเจ้าก็เคยชอบเขาใช่ไหม? ทำไมทั้งปล่อยวางได้ง่ายๆ? ในใจไม่คิดถึงสักนิดเลยหรือ? เจ้าปล่อยวางได้จริงๆหรือ?”อ๋องฉีถามขึ้นในทันใด