บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 325
หยวนชิงหลิงหันไปมองดูไม่เห็นมีใครเข้ามา พูดขึ้นว่า “งั้นเจ้าเล่าเรื่องในตอนนั้นของพวกเขาให้ข้าฟังที”
“เรื่องของพวกเขามีอะไรน่าพูดถึง? ลู่หยาโง่เขลา”หยู่เหวินเห้ายื่นมือขึ้นลูบใบหน้าของนาง วันนี้นางแต่งหน้าอ่อนๆ แต่แสดงให้เห็นได้ชัดว่าลู่หยาไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ทาแป้งให้ทั่วถึง
“ข้าแต่งหน้าเองคนเดียว” หยวนชิงหลิงมองดูตนเอง รู้สึกว่าวันนี้ตนเองซอมซ่อมาก แต่ผู้หญิงที่ท้องโต ก็ไม่มีอะไรน่ามองอยู่แล้ว “เจ้าเล่ามาเถอะ ข้าอยากฟัง”
หยู่เหวินเห้านั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง หยิบวอลนัทหลายอันขึ้นมาแกะออก ยื่นเนื้อวอลนัทให้กับหยวนชิงหลิง พร้อมพูดขึ้นว่า “ตอนนั้นพี่สะใภ้สามกำลังจะแต่งงานแล้ว แต่เมื่อพี่สามเห็นนางครั้งแรก ก็ชื่นชอบ ขอร้องให้แม่นางจิ้งเฟยไปทูลขอเสด็จพ่อ ว่าจะสู่ขอคุณหนูตระกูลชุยมาเป็นภรรยา ตระกูลชุยก็ถือเป็นตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ว่าที่สามีของพี่สะใภ้สามก็คือจวนจวิ้นอ๋องอัน จะพูดให้ยกเลิกงานแต่งได้อย่างไร เรื่องนี้จึงเป็นปัญหาอยู่เนิ่นนาน พี่สามไปท้าประลองกับว่าที่สามีของพี่สะใภ้สาม บอกว่าหากใครชนะคนนั้นได้แต่งงานกับพี่สะใภ้สาม เพื่อการประลองการต่อสู้ พี่สามฝึกฝนทั้งวันทั้งคืน ตอนนั้นข้าก็ซ้อมต่อสู้กับพี่สาม ตลอดชีวิตนี้ข้าไม่เคยเห็นเขาตั้งใจขนาดนี้มาก่อน สุดท้ายเขาชนะ แปดนี่ก็เป็นเพียงข้อตกลงระหว่างเขากับจวิ้นอ๋องอันซื่อจื่อ ผลสรุปนี้ ทั้งสองตระกูลต่างก็ไม่ยอมรับ ดังนั้น เท่ากับพี่สามเหนื่อยเปล่า”
หยวนชิงหลิงถามว่า “แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”
หยู่เหวินเห้าหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “จากนั้นพี่สามก็เริ่มอดอาหาร ไม่ทานอะไรเลยห้าวัน เพียงแค่ดื่มน้ำ แต่เสด็จพ่อก็ไม่ได้ใจอ่อน เจ้าคิดดูสิ สุดท้ายแล้วเขาทำอย่างไร?”
“ทำอย่างไร?” หยวนชิงหลิงถามขึ้น
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า “เขาตรงไปยังจวนชุย พาตัวพี่สะใภ้สามแล้วก็หนีตามกันไป”
หยวนชิงหลิงอึ้ง หนีตามกันไป?
“พี่สะใภ้สามยินยอมหนีตามกันไป?” ในยุคสมัยนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้หญิงจะกระทำเช่นนี้ โดยเฉพาะผู้หญิงมีตระกูลรุนชาติ
“เรื่องนี้ข้าไม่รู้” หยู่เหวินเห้ายักไหล่ พร้อมพูดขึ้นว่า “สุดท้าย หลังจากเสด็จพ่อส่งคนไปตามกลับมา โบยเขาสามสิบที ขังอยู่ในคุกมืดสามเดือน หลังจากออกมาแล้ว ก็ได้แต่งงานกับพี่สะใภ้สามสมใจ”
“ทางบ้านจวิ้นอ๋องอัน ยินยอมแล้วหรือ?”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า “จะไม่ยอมได้หรือ? พี่สะใภ้สามหนีตามพี่สามไปกว่าครึ่งเดือนแล้วค่อยกลับมา คนอื่นก็ไม่ยอมรับแต่งงานแล้ว ถึงแม้เสด็จพ่อจะโกรธ ก็จะปล่อยให้ชื่อเสียงของคุณหนูตระกูลชุยเสื่อมเสียอย่างไม่สนใจไม่ได้ จึงให้พวกเขาแต่งงานกัน”
“พวกเขาแต่งงานกันมานานแค่ไหนแล้ว?” หยวนชิงหลิงถามขึ้น
“สี่ห้าปีแล้วมั่ง”
หยวนชิงหลิงหัวเราะอย่างขมขื่น พร้อมพูดขึ้นว่า “สี่ห้าปี? ความรักที่ตราตรึงใจขนาดนั้น เวลาเพียงสี่ห้าปีก็สูญหายหมดแล้วหรือ ช่างยากที่จะเชื่อจริงๆ”
หยู่เหวินเห้าเอาเนื้อผลมันฮ่อป้อนไปที่ปากของนาง จ้องมองดูนาพร้อมพูดคือว่า “เราจะไม่เป็นเหมือนพวกเขาแบบนั้น”
หยวนชิงหลิงมองดูเขา กำลังจะพูดขึ้น ก็เห็นอะซี่วิ่งมาอย่างรวดเร็ว พร้อมพูดขึ้นด้วยสีหน้าขาวซีดว่า “ท่านอ๋อง พระชายา พวกเจ้ารีบออกไปดูเถอะ”
หยู่เหวินเห้าถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“ท่านขึ้นไปบนหลังคา เร็ว ไปดูว่าใช่จวนอ๋องฉีถูกไฟไหม้หรือเปล่า?” อะซี่พูดขึ้น
หยู่เหวินเห้าได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไป แล้วก็ก้าววิ่งออกไป
เมื่อออกมาถึงด้านนอก เขาได้กลิ่นเหมือนไฟไหม้ เขาก็ไม่ปีนขึ้นบันได ใช้วิชาตัวเบาบินขึ้นไป ยืนอยู่บนหลังคาแล้วก็มองไปยังจวนอ๋องฉี
จวนอ๋องฉีกับจวนอ๋องซุนห่างกันไม่ไกล ห่างกันประมาณถนนสองเส้น ดังนั้นเมื่อยืนอยู่บนหลังคา ก็สามารถมองเห็นจวนอ๋องฉี
และแล้ว ทางด้านจวนอ๋องฉีมีควันดำฟุ้งกระจาย และยังสามารถมองเห็นไฟลุกไหม้
อะซี่ก็บินขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “ข้าเฝ้าดูรอบๆอยู่ที่นี่ตลอด คิดไม่ถึงว่าทางด้านจวนอ๋องฉีจะเกิดไฟไหม้ ข้ายังไม่ได้บอกพี่สาว”
สีหน้าหยู่เหวินเห้าขาวซีด รีบเรียกหาสวีอี พร้อมพูดขึ้นว่า “รีบตามคนไปช่วยดับไฟที่จวนอ๋องฉี สั่งคนไปแจ้งที่ทำการปกครอง ตามหน่วยลาดตระเวนรีบไป”
เขากระโดดลงมา หยวนชิงหลิงก็ออกมาพอดี ถามขึ้นอย่างร้อนใจว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“เกิดเหตุเพลิงไหม้ ลุกไหม้รุนแรงมาก ควันไฟฟุ้งกระจาย เจ้าอย่าไปไหน อยู่แต่ภายในจวนอ๋องซุน” เขาหันกลับไปเรียกอะซี่ พร้อมพูดขึ้นว่า “อะซี่ เจ้าเฝ้าพระชายาไว้ให้ดี อย่าให้นางคลาดสายตา”
อะซี่พูดขึ้นว่า “รับทราบ ท่านอ๋อง ข้าจะเฝ้าพระชายาไว้ตลอด”
หยู่เหวินเห้ารีบตรงออกไปตามหาอ๋องซุน
อ๋องซุนได้ยินว่าจวนอ๋องฉีเกิดเหตุไฟไหม้ ไฟลุกอย่างรุนแรง ก็ไม่สนใจงานเลี้ยงอะไรแล้ว ตีฆ้องตีกลองเรียกทุกคนมารวมตัวกัน ผู้ชายที่อยู่ในงาน ตามเข้าไปช่วยดับไฟทั้งหมด
หยวนหย่งอี้ได้ยินว่าเกิดเหตุไฟไหม้ที่จวนอ๋องฉี ไม่รอให้อ๋องซุนพูดจบ ก็รีบวิ่งออกจากประตูไปแล้ว
เกิดเหตุไฟไหม้ที่จวนอ๋องฉี จวนอ๋องซุนวุ่นวายขึ้นมาก่อน
ญาติพระราชวงศ์ทุกคน ราชบุตรเขย ขุนนาง ผู้ชาย ต่างก็ถือสิ่งของที่สามารถใช้ได้ไปด้วย
เหลือเพียงพวกผู้หญิงจำนวนหนึ่ง เป็นที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะเจ้าหญิงหลายคนต่างก็นั่งไม่นิ่ง อยากตามไปดู
พระชายาอ๋องซุนได้แต่พูดปลอบทุกคนก่อน เรียกให้ทุกคนเข้ามานั่ง
นางเข้ามาถึงภายในห้องโถง เห็นฉู่หมิงชุ่ยยังไม่ไป ยังอยู่ที่นี่ ก็ค่อนข้างประหลาดใจ
ฉู่หมิงชุ่ยยืนอยู่ข้างกระถางธูปอสูรสามเท้า พูดขึ้นด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “ข้ากลับไปก็มีแต่จะกีดขวางพวกเขา”
พระชายาอ๋องซุนคิด ยังไงนางก็เป็นคนที่กำลังจะหย่า ไม่กลับไปก็เป็นเรื่องปกติ หรือจะคาดหวังให้นางเป็นห่วงเจ้าเจ็ดในตอนนี้หรือ?
นางเรียกให้ทุกคนเข้าไปนั่งภายในห้องโถง สั่งคนเอาชากับขนมมาเสิร์ฟ
หลังจากอ๋องเว่ยออกไปแล้ว แม่นางกู้จือคนนั้นก็ยังอยู่ในจวน แต่ว่านางไม่ได้เข้าไปนั่ง เพียงแค่ยืนอยู่ด้านนอก
ฉู่หมิงชุ่ยเดินไปนั่งด้านข้างหยวนชิงหลิง เอียงข้างมองหยวนชิงหลิง เผยท่าทีประหลาด พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้ากลัวไหม?”
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่านางถามขึ้นอย่างประหลาด จึงถามกลับว่า “กลัวอะไร?”
“ไฟไง” ฉู่หมิงชุ่ยหัวเราะขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่กลัวไปหรือ? เมื่อไฟไหม้ ทุกอย่างก็จะมอดไหม้กลายเป็นขี้เถ้าแล้ว”
หยวนชิงหลิงมองดูนาง แล้วค่อยๆขมวดคิ้วครึ่ง ไฟไหม้นี้ คงไม่ใช่นางที่สั่งคนลงมือทำ?
หยู่เหวินหลิงได้ยิน ก็ถลึงตามองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าจะพูดให้พี่สะใภ้หากตกใจทำไม? หุบปาก”
ฉู่หมิงชุ่ยหัวเราะเสียงดัง พร้อมพูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้ห้า เดิมข้าควรที่จะเป็นพี่สะใภ้ห้าของเจ้า”
เจ้าหญิงเหวินจิ้งพูดขึ้นอย่างโกรธเคืองว่า “ฉู่หมิงชุ่ย เจ้าพูดระวังหน่อย ถึงแม้ในไม่ช้าเจ้าจะไม่ใช่หญิงในราชวงศ์ แต่ครอบครัวตระกูลฉู่ก็เคร่งครัดในมารยาท พูดจาหยาบคายพูดไปเรื่อยๆแบบนี้ไม่ได้”
ฉู่หมิงชุ่ยยักไหล่ พร้อมพูดขึ้นว่า “ดี เจ้าหญิงพูดอย่างไรก็เป็นอย่างไรเถอะ ทุกคนต่างก็เป็นเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์”
พระชายาอ๋องซุนดูสีท่าไม่สู้จะดี นางมองดูหยวนชิงหลิงอย่างห่วงใย พร้อมพูดขึ้นว่า “พระชายาอ๋องฉู่ เจ้ามานั่งด้านข้างข้านี่”
ใครจะไปรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเกิดบ้าขึ้นมา แล้วจะไม่ดึงปิ่นปักผมมาแทงทำร้ายพระชายาอ๋องฉู่?
หยวนชิงหลิงลุกขึ้นยืน อะซี่ก็ตามขวางเว้นระยะห่างระหว่างนางกับฉู่หมิงชุ่ย เพื่อป้องกันฉู่หมิงชุ่ยลงมือ
ฉู่หมิงชุ่ยกลับหัวเราะขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นว่า “เห็นพวกเจ้าระวังข้าขนาดนี้ ช่างน่าขำจริงๆ พวกเจ้าคนเยอะขนาดนี้ ยังจะกลัวข้าหรือ?”
พระชายาอ๋องซุนพูดขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า “พระชายาอ๋องฉีคิดมากไปแล้ว ข้าเพียงแค่มีเรื่องอยากคุยกับพระชายาอ๋องฉู่”
นางเดินมาดึงมือหยวนชิงหลิงไปนั่งด้านข้างนาง
ฉู่หมิงชุ่ยยังคงเป็นเหมือนปกติ พูดขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า “ใช่ ต้องระวังไว้บ้าง ไม่แน่ เดี๋ยวข้าลงมือวางเพลิง เผาพวกเจ้าให้ตายทั้งหมด”
นางพูดพร้อมกับลุกขึ้นมา มือทั้งคู่เท้าเอว ถอนหายใจพร้อมพูดขึ้นว่า “ลมดีจริงๆ เมื่อลมพัด ไม่แน่อาจจะพัดเอาไฟมาด้วยก็ได้ ถึงตอนนั้น จวนอ๋องซุนนี้ก็จะเกิดไฟไหม้เหมือนจวนอ๋องฉี งั้นก็จะสนุกแล้ว”
นางส่งเสียงหัวเราะออกมาจากลำคออย่างแปลกประหลาด ค่อยๆเดินออกไป เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนล่ะคน