บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 334
เช้าวันรุ่งขึ้นหยู่เหวินเห้ากับทังหยางกลับไปที่กรมการพระนครตั้งแต่เช้า ราชโองการมาถึงแล้ว มีบัญชาให้กรมอาญาเข้าร่วมการสอบสวนคดีนี้ด้วย จึงเปิดศาลสอบสวนกันในช่วงเย็น
ก่อนการไต่สวน เขาได้เรียกตัวองครักษ์ลับผีมาเป็นการส่วนตัวก่อนแล้ว
องครักษ์ลับผีนั้นได้รับคำสั่งจากไท่ซ่างหวงในการไปคุ้มครองหยวนชิงหลิง ซึ่งปกติแล้วจะไม่ไปไหนง่ายๆ
แต่ว่า แค่ไฟไหม้ก็สามารถดึงดูดพวกเขาไปได้ทันที ทิ้งหยวนชิงหลิงไว้ไม่ดูแล นี่แสดงว่าข้างในต้องมีไส้ศึกแน่
และแล้ว หลังจากการสอบถามอย่างละเอียด จึงได้รู้ว่าก่อนหน้านี้องครักษ์ลับผีได้รับสารลับ ว่ามีคนไปที่หอหมิงเยว่ ต้องการซื้อหัวของอ๋องฉี ให้ราคาห้าหมื่นตำลึง
แต่สารลับนั้นไม่ใช่องครักษ์ลับผีส่งกลับมา จึงไม่รู้ว่าจริงเท็จอย่างไร ไท่ซ่างหวงจึงได้มีคำสั่งให้สังเกตหอหมิงเยว่และกลุ่มนักฆ่าอื่นๆเอาไว้ ส่วนทำไมจึงให้สังเกตหอหมิงเยว่แต่ไม่ใช่จับตาดูจวนอ๋องฉี เพราะไท่ซ่างหวงคิดว่า สารลับนี้มีพิรุธ เป้าหมายที่แท้จริง อาจไม่ใช่อ๋องฉี เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นอ๋องฉู่
จึงให้องครักษ์ลับผีเฝ้าดูหอหมิงเยว่เอาไว้ ไม่ว่าพวกเขาจะลงมือกับอ๋องฉีหรืออ๋องฉู่ ก็สามารถป้องกันได้ทันท่วงที
แต่ว่า ไท่ซ่างหวงยังทิ้งไม่ตายสุดท้ายเอาไว้ ถ่ายทอดคำสั่งไปยังองครักษ์ลับที่อยู่ข้างนอก ให้เฝ้าสังเกตจวนอ๋องฉีให้มากขึ้น ถ้าพบการเคลื่อนไหวใดๆก็ตาม องครักษ์ลับผีที่อยู่ใกล้เคียงต้องเข้าไปช่วยเหลือทันที
นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมองครักษ์ลับผีจึงปรากฏขึ้นตอนที่จวนอ๋องฉีไฟไหม้ และทิ้งพระชายาฉู่จากไปทันที เพราะมีคำสั่งก่อนหน้านี้ของไท่ซ่างหวงนั่นเอง
บวกกับตอนนั้นที่หยู่เหวินเห้าก็อยู่ข้างกายพระชายาฉู่ และจวนอ๋องซุนก็กำลังจัดงานวันเกิด การป้องกันแน่นหนา คงไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นแน่
ทังหยางได้ยินคำพูดขององครักษ์ลับผีแล้ว ก็ตกใจจนเหงื่อเย็นไหลท่วมตัว “ท่านอ๋อง นี่พระชายาฉีคงไม่ได้อ่านใจของไท่ซ่างหวงจนทะลุปรุโปร่งหรอกกระมัง ”
ก่อนอื่นก็กระจายข่าว ให้ไท่ซ่างหวงได้รับรู้ ไท่ซ่างหวงย่อมสั่งการให้เฝ้าสังเกตการณ์จวนอ๋องฉีอย่างรัดกุม จากนั้นก็เลือกลงมือในงานวันเกิดของอ๋องซุน เพราะทั้งสองจวนห่างกันไม่มาก ขณะที่องครักษ์ลับผีคอยคุ้มครองหยวนชิงหลิงอยู่อย่างลับๆ จึงสามารถรับรู้ได้ถึงอันตรายในจวนอ๋องฉีอย่างรวดเร็ว ล่อให้องครักษ์ลับผีออกไปได้สำเร็จ
จวนอ๋องฉีไฟไหม้ เมื่อเพลิงลุกไหม้รุนแรงแสงสว่างคงส่องไปทั่วฟ้า ในตำแหน่งของจวนอ๋องซุน สามารถมองเห็นการลุกไหม้ของเพลิงได้ชัดเจนที่สุด เมื่อไม่สามารถควบคุมเพลิงไม่ให้ขยายวงกว้างออกไปได้ ไฟก็ต้องลามไปยังที่พักอาศัยที่อยู่ข้างๆ และเมื่อเป็นเช่นนี้ ด้านข้างส่วนมากจะเป็นจวนเจ้าพระยาต่างๆ ถ้าหากเพลิงลุกไหม้ขึ้น นั่นก็คือไฟไหม้ต่อเนื่อง คงบาดเจ็บล้มตายกันนับไม่ถ้วน ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจำเป็นต้องช่วยกันสุดกำลัง ฉะนั้นไฟไหม้ในครั้งนี้ ก็ล่อให้อ๋องฉู่หยู่เหวินเห้าออกไปเช่นเดียวกัน
ในจวนอ๋องซุน มีเพียงอะซี่ที่มีวรยุทธ์
ส่วนเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆก็ไม่เป็นอันตราย ใครจะว่างจนคิดจะปองร้ายฆ่าเชื้อพระวงศ์กัน
ฉะนั้น ที่มีอันตรายก็มีแต่พระชายาฉู่ ด้วยวรยุทธ์ของอะซี่ สามารถปกป้องพระชายาฉู่ได้ อย่างน้อย ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ มีอะซี่คอยถ่วงเวลา คนของจวนอ๋องซุนสามารถรุดไปขอความช่วยเหลือจากจวนอ๋องฉีได้
ตรงข้ามกัน อะซี่กลับถูกทำร้าย ทำให้คนร้ายสามารถเข้าไปในจวนอ๋องซุนราวกับเข้าเขตที่ไร้คนอยู่
บวกกับนายทั้งหลายในห้องโถงต่างก็ถูกวางยากันจนหมด ตอนที่พระชายาฉู่ถูกจับตัวไป ในจวนอ๋องซุนยังต้องทรมานกันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะมีคนไปส่งข่าว
การไปกลับครั้งนี้ เพียงพอที่จะให้ฉู่หมิงชุ่ยพาตัวหยวนชิงหลิงออกไป
หลังจากถามองครักษ์ลับผีแล้ว หยู่เหวินเห้าก็สอบสวนแรงงานขนของทั้งสองคนที่พากลับมาจากเรือซึ่งตอนนี้ก็ได้สติดีแล้ว
พวกเขาไม่ใช่แรงงานขนส่ง และไม่ใช่คนของกลุ่มนักฆ่า เป็นเพียงแค่คนที่เคยหนีไปเป็นโจรเท่านั้น
นี่คือเหตุผลที่ทำไมไท่ซ่างหวงต้องเฝ้าสังเกตการณ์พวกกลุ่มนักฆ่าทั้งหลาย พวกเขายังคงสามารถสังหารคนในจวนอ๋องซุนได้อย่างไม่เกรงกลัวใคร
ดูแล้วเหมือนแผนการจะง่ายดาย แต่ทุกขั้นตอนล้วนเกี่ยวพันกัน เอาทุกคนเข้าไปอยู่ในแผนการจนหมด
ตอนนี้ทังหยางเชื่อแล้วว่า เป็นไปไม่ได้ที่ฉู่หมิงชุ่ยจะกระทำการคนเดียวได้
พวกโจรนั้นไม่ได้มีสัจจะเท่ากับพวกนักฆ่า เมื่อพวกเขาตกอยู่ในเมื่อหยู่เหวินเห้า เพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไป แน่นอนว่าต้องคายทุกสิ่งออกมาจนหมด
เสียดาย ที่ไม่เจอหลักฐานผู้ต้องสงสัยจากตัวพวกเขาเลย เพราะคนที่ติดต่อกับพวกเขานั้นมีแต่ฉู่หมิงชุ่ย ส่วนฉู่หมิงชุ่ยหาพวกเขาเจอได้อย่างไรนั้น พวกเขาเองก็ไม่รู้
ฉะนั้น จุดสำคัญยังคงอยู่ที่ฉู่หมิงชุ่ย
หยู่เหวินเห้าจะทำการสอบสวนฉู่หมิงชุ่ย
ฉู่หมิงชุ่ยนั้นไม่สามารถขึ้นศาลได้ นางบาดเจ็บสาหัส แม้แต่ลุกขึ้นนั่งยังทำไม่ได้
ฉะนั้น หยู่เหวินเห้าจึงต้องไปหาในคุกหลวงด้วยตนเอง
ในคุกหลวง ยังคงมืดสลัวและอับชื้น แสงสว่างรำไรส่องอยู่ที่ใบหน้าซีดขาวของฉู่หมิงชุ่ย นางกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนกองฟาง ดวงตาหรี่เล็ก เห็นชุดยาวสีแดงสะบัดขึ้นตรงหน้านางครั้งหนึ่ง ราวกับภาพโลหิตของตนที่สาดกระเด็นในวันนั้น
ปากนางโค้งขึ้น และยิ้ม ดวงตาค่อยๆลืมขึ้นอีกนิด คนคนนั้นยืนหันหลังย้อนแสง มองเห็นใบหน้าไม่ชัด แต่นางรู้ว่าเขามาแล้ว
นางพูดด้วยเสียงที่แหบแห้งว่า “ท่านมาแล้ว”
หยู่เหวินเห้าก้าวเท้าเข้าไป ดวงตาหรี่ยาวดุจดวงตาหงส์นั้นแฝงแววเย็นชา “ได้ยินว่า เจ้าอยากเจอข้าจึงจะยินยอมรับสารภาพ”
นางหัวเราะ ใช้แรงอย่างมากในการหัวเราะ ลำคอนั้นราวกับมีก้อนสำลีอุดอยู่ก้อนหนึ่ง นางใช้แรงในการไอ ก็ไม่สามารถไอเอาก้อนสำลีนั้นออกมาได้
“ข้า……”นางค่อยๆยันตัวลุกขึ้น คิดอยากจะพยายามนั่งให้เรียบร้อยสักหน่อย แต่ก็ไร้เรี่ยวแรงจริงๆ สุดท้ายก็ปล่อยมือลงอย่างไร้ความหวัง “เดิมข้าคิดว่า ฆ่าหยวนชิงหลิงแล้ว พวกเราจะสามารถเริ่มต้นกันใหม่ได้ ทำไมท่านต้องทำลายแผนการของข้าด้วย ท่านรู้หรือไม่ อาวุธลับของท่านที่ยิงมาถูกข้า มันเจ็บแค่ไหน ”
ดวงตานางเบิกกว้าง แดงก่ำราวกับย้อมไปด้วยเลือด “ข้าพยายามอยากจะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนมากแค่ไหน แต่ทำไมท่านจึงไม่เห็นด้วย หรือว่าอดีตของพวกเรา ไม่มีค่าให้ท่านต้องจดจำสักนิดเลยหรือ ความรู้สึกระหว่างเราในตอนนั้น เทียบไม่ได้เลยหรือกับความรู้สึกของท่านกับหยวนชิงหลิงที่อยู่ด้วยกันมาในระยะเวลาแค่ปีครึ่ง อีกนิดข้าก็จะทำสำเร็จแล้ว ท่านคิดดู เราจะมีความสุขแค่ไหน ”
หยู่เหวินเห้าน้ำเสียงเย็นชาเข้ากระดูก “ฉู่หมิงชุ่ย เจ้าคนเดียวทำเรื่องพวกนี้ไม่ได้แน่ บอกข้ามา ว่าใครช่วยเจ้าอยู่เบื้องหลัง ”
“ข้าทำได้สิ ท่านชอบคนมีความสามารถ ข้าไงคนมีความสามารถ”นางหัวเราะแปลกๆขึ้นมา
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “เจ้าไม่ใช่คนโหดเหี้ยมเช่นนั้น ฉู่หมิงชุ่ยที่ข้ารู้จัก แม้แต่มดตัวหนึ่งยังไม่อยากจะเหยียบให้ตายด้วยซ้ำไป”
สีหน้าขาวซีดของฉู่หมิงชุ่ยมีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อย “ท่านยังจำได้หรือ ข้านึกว่าท่านลืมไปหมดแล้ว ”
หยู่เหวินเห้านั่งลง จ้องมองไปที่นาง “ทุกเรื่องในอดีต ข้าจดจำขึ้นใจ ”
นางค่อยๆยื่นมือออกไป พยายามจะจับมือเขาเอาไว้ หยู่เหวินเห้าหลุบตาลง มองมือนั้นราวกับมือปีศาจที่ยื่นออกมาก็ไม่ปาน ยิ่งทำให้เขานึกขึ้นได้ว่ามือคู่นี้ที่เคยบีบคอของหยวนชิงหลิงเอาไว้ จิตสังหารพวยพุ่งขึ้นมากะทันหันแล้วก็ต้องสะกดกลั้นเอาไว้
“พี่เห้า ข้ารู้จักท่านดี ”ฉู่หมิงชุ่ยไอหนักๆอยู่หลายครั้ง ไอจนหน้าแดงก่ำขึ้นมา “ตอนนี้ท่านเกลียดข้ามาก ไหนเลยจะจำเรื่องราวในอดีตของพวกเราได้ ท่านแสร้งทำดีกับข้า เพื่อคิดจะกำจัดภัยในภายหน้าให้กับหยวนชิงหลิง ข้ารู้ ข้ารู้”
นางยังคงไอต่อเนื่อง มีเลือดไหลออกจากมุมปาก แววตานางคลุมเครือ ภาพที่เห็นราวกับจินตนาการหรือไม่ก็ความฝัน “แม้จะเป็นการแสร้งทำ ข้าก็ชอบไม่เป็นไร ”
ฉู่หมิงชุ่ยค่อยๆยกมือขึ้น “ท่านกอดข้าหน่อยได้หรือไม่ ”
“ไม่ได้ ”หยู่เหวินเห้าพูดด้วยน้ำเสียงเรียบและเย็นชา
ฉู่หมิงชุ่ยมองเขาอย่างผิดหวัง จากนั้นก็ยิ้ม “ดี ดี ท่านไม่กอดข้าก็แล้วไปเถอะ สามารถมองท่านอยู่อย่างนี้ก็ดีแล้ว ท่านบอกข้าที ตอนนี้ข้ามีสภาพดูไม่ได้เลยใช่หรือไม่ ”
หยู่เหวินเห้ามองใบหน้านางที่เต็มไปด้วยรอยเลือด พูดว่า “ใช่ ดูไม่ได้เลย”
ฉู่หมิงชุ่ยลูบหน้าตนเอง พูดพึมพำว่า “ใช่แล้ว ข้าก็คิดว่าตัวเองอัปลักษณ์มาก ท่านบอกข้าที ข้าจะตายแล้ว ใช่หรือไม่ ”
“ใช่”หยู่เหวินเห้าพูด
ฉู่หมิงชุ่ยพูดว่า “ท่านไม่รู้ว่าข้าหวาดกลัวแค่ไหน ก่อนหน้านี้ ข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องตายมาก่อน ”
นางม้วนตัวลง ร่างสั่นเทาเล็กน้อย จ้องมองเขา “ตอนที่ข้าตาย ท่านจะอยู่ข้างกายข้าได้หรือไม่ หากท่านยินดี ข้าก็จะบอกท่าน ว่าใครเป็นคนช่วยข้า ”