บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 342
อ๋องฉีนิ่งขรึมไปชั่วครู่ นั่งลงหยิบเอากาเหล้า กล่องอาหารเล็กๆอีกหลายใบ ยังมีธูปอีกหนึ่งดอก
เขาเปิดกล่องอาหารออก ในกล่องอาหารมีซาลาเปา ยังมีซุปอีกถ้วยหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะเป็นรังนก ดูข้นเหลว น่าจะเย็นจนจับตัวเป็นก้อนแล้ว
พ่อของฉู่หมิงชุ่ยได้จุดธูปไว้ให้นาง เขาจึงวางธูปไว้บนโลงศพ พอลมพัดมา ธูปดอกนั้นก็ถูกพัดตกลงมา พัดจนไฟบนธูปสว่างวาบขึ้นอยู่หลายครั้ง แล้วก็ดับลงตรงเท้าของอ๋องฉี
เขายืนอยู่หน้าโลงศพ จ้องมองนิ่งๆอยู่สักพัก เอ่ยเสียงเบาหวิวว่า “ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าชอบกินอะไร รังนกนี้เมื่อก่อนข้าเห็นเจ้ากินมันบ่อยๆ คิดว่าเจ้าคงจะชอบ เจ้าก็กินแก้ขัดสักหน่อยเถอะ”
“เป็นสามีภรรยากันมาปีหนึ่งแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้รักกันมากที่สุด แต่ก็ไม่เคยทะเลาะกัน จนตอนนี้ข้าก็ไม่รู้ ว่าทำไมพวกเราจึงได้เป็นเช่นนี้ ข้ายิ่งไม่เข้าใจ ทำไมเจ้าต้องอยากให้ข้าตาย เจ้าเกลียดอะไรข้า ”
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าควรจะเกลียดเจ้า ซึ่งในใจก็รู้สึกเกลียดจริงๆ เวลานอนตอนดึก ข้ามักฝันเห็นเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้น เห็นเจ้าถือปิ่นปักผมแทงมาที่ข้า ข้าไม่เข้าใจ เห็นเจ้าเป็นคนที่ดูอบอุ่นอ่อนโยนเช่นนั้น ทำไมจึงได้กลายเป็นคนโหดร้ายขึ้นมาได้ในทันใด ”
เขาพูดอย่างสงบ หยวนหย่งอี้ก็ยืนฟังอย่างสงบ นางไม่เคยเห็นความเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้งเช่นนี้จากใบหน้าของเขามาก่อน รักนางขนาดนั้นเชียวหรือ ไม่ควรค่ากระมัง
ฉะนั้น นางจึงเอ่ยปลอบด้วยเสียงเบาๆว่า “พอเถอะ เคารพเสร็จก็พอแล้ว อย่าเสียใจอีกเลย”
อ๋องฉีส่ายหน้า ตั้งแต่เขาถูกแทงจนได้รับบาดเจ็บก็ซูบผอมลง ตอนนี้ใบหน้าซูบผอมยิ่งทวีความซีดขาว ร่างกายที่สูงผอม กลับดูไม่สู้แดดสู้ลมเลยแม้แต่นิดเดียว
เขาพูดว่า “ข้าไม่ได้เสียใจเพราะนาง แต่ข้าแค่อาลัยอาวรณ์ช่วงเวลาดีๆที่เคยผ่านมา แม้ว่าข้าเองก็รู้ว่าอาจจะเป็นเวลาดีๆที่ข้าคิดไปเอง นางไม่เคยจะคิดเช่นนั้นมาก่อน ที่อยู่กับข้า ถือว่าฝืนใจนางแล้ว ข้ายินดีที่นางจะไม่ยอมฝืนใจแต่งกับข้า ก็คงไม่ต้องทำร้ายกันเหมือนเช่นวันนี้”
ลมพัดผ่านมา เกิดเสียงหวีดหวิวดังขึ้น
ราวกับมีใครกำลังร้องไห้
หยวนชิงหลิงที่ยืนอยู่ด้านบนได้ยินอย่างชัดเจน รู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก
อ๋องฉีนั้นชื่นชอบฉู่หมิงชุ่ยอย่างไม่ต้องสงสัย หรือบางทีอาจจะเป็นความรัก อ๋องฉีปกป้องฉู่หมิงชุ่ยมากแค่ไหนในตอนแรก นางประสบพบเจอกับตัวเองมาแล้ว
แต่ว่า การแต่งงานที่เขาเห็นว่าเกิดจากความรักนั้น ที่จริงเป็นแค่การหลอกลวงฉากหนึ่งของฉู่หมิงชุ่ยเท่านั้น และจนถึงตอนสุดท้าย นางไม่ยินดีจะหลอกลวงอีกต่อไป จึงได้เปิดเผยความจริงอันน่าเจ็บปวดให้เข้าได้รับรู้ ยังจะเอาชีวิตเขาเพื่อเป็นการตัดสัมพันธ์ให้สะบั้นลง
ฉู่หมิงชุ่ยรู้หรือไม่ว่าตัวเองนั้นผิดพลาดที่ตรงไหน มีคนที่ทุ่มเทให้ทั้งจิตใจ และรักตัวเองด้วยจิตบริสุทธิ์เช่นนี้ นี่ไม่ใช่ความสุขอีกรูปแบบหนึ่งหรอกหรือ
ไยต้องดิ้นรนวิ่งหาในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงและไม่มีวันได้มา
วันเวลาที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดแต่ข้างกายกลับไร้มิตร มีอะไรให้ต้องวิ่งไล่ตามหา
ตำแหน่งพระชายาของรัชทายาท ยังเป็นถึงเช่นนี้ แล้วถ้าเป็นตำแหน่งฮ่องเต้เล่า
หยวนชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น หันกลับไปมองหยู่เหวินเห้า
หยู่เหวินเห้ายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าเงียบสงบเย็นชา
เขาไม่ได้เดินไปดู สำหรับเขาแล้ว ก็เหมือนกับที่หยวนหย่งอี้พูดไว้ว่าเป็นความทรงจำที่ไม่ควรค่าแก่การจดจำ มันอัปลักษณ์เกินไป
หยวนหย่งอี้ยื่นมือออกไปดึงตัวอ๋องฉี อ๋องฉีค่อยๆหันมา ชะงักไปชั่วครู่ แล้วเขาก็หันกลับไปมองที่โลงศพ พูดว่า “เจ้าไปดีเถอะ ที่เจ้ากระทำครั้งสุดท้าย ก็ถือว่าได้ตัดขาดความคิดคำนึงที่ข้ามีต่อเจ้าแล้ว จากนี้ไป ไม่ว่าจะในยมโลก หรือชาติหน้าถ้าได้เกิดเป็นคน ก็ขออย่าได้พบเจอกันอีก ”
เขาถอยไปด้านข้าง ปล่อยให้ขบวนส่งศพได้เคลื่อนต่อไป
ซวี่ฟู่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เงียบขรึมอยู่ชั่วครู่ จึงเรียกให้คนยกโลงศพขึ้นและเดินต่อไป
ขบวนได้ค่อยๆหายไปจากสายตาของทุกคน
ตอนที่หยวนหย่งอี้ดึงม้าเพื่อจะกลับ อะซี่ก็ร้องขึ้น “พี่ใหญ่ พวกเราอยู่นี่”
หยวนหย่งอี้เงยหน้าขึ้น มองเห็นพวกหยวนชิงหลิงกับอะซี่ จึงได้ผูกม้าไว้ด้านนอก พูดกับอ๋องฉีว่า “ขึ้นไปนั่งหรือไม่ ”
อ๋องฉีเหมือนจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีไปหมดแล้ว ดูอ่อนแอไม่เป็นตัวเอง เกรงว่าถ้าลมพัดแรงหน่อยคงจะพัดเอาตัวเขาไปได้เลย
หยวนหย่งอี้ยื่นมือไปช่วยประคองเขา เขาพยักหน้าส่งๆ ทั้งสองเดินขึ้นไปบนชั้นสองของร้านน้ำชา
สวีอีขนเก้าอี้สองตัวมาแล้วให้พวกเขานั่งลง
อ๋องฉียังคงดูเหมือนคนไร้วิญญาณ แต่ว่าเพราะสีหน้าของหยู่เหวินเห้านั้นเคร่งขรึมจริงจัง เขาเองก็ไม่กล้าจะทำตัวไร้สติมากนัก ได้แต่ยิ้มแกนๆ “พี่ห้าก็อยู่ด้วยหรือ”
“อืม”หยู่เหวินเห้าตอบเสียงเรียบๆ
“พี่สะใภ้ห้าก็ด้วย”อ๋องฉีรีบหันไปมองหยวนชิงหลิง เห็นได้ชัดว่ารู้สึกผิดอยู่บ้าง
คนที่ทำร้ายนางคือฉู่หมิงชุ่ย ที่จริงเขาไม่ควรรู้สึกผิดหรือเสียใจต่อหยวนชิงหลิง
หยวนชิงหลิงมองเขา ดูเหมือนคนไร้ชีวิตชีวา จึงเอ่ยปลอบใจว่า “ผ่านไปแล้ว ก็ควรปล่อยวางได้แล้ว”
เขากระแอมไอเสียงหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่เป็นธรรมชาตินัก “ปล่อยวางแล้ว ไม่คิดอีกแล้ว”
หยวนชิงหลิงรินน้ำชาให้กับเขาและหยวนหย่งอี้ด้วยตนเอง “พวกเจ้าน่าจะยังไม่ได้กินข้าว กินอะไรก่อนสิ”
หยวนหย่งอี้รู้สึกหิวจริงๆ พูดว่า “ขอบคุณท่านพี่พระชายาฉู่”
ตอนที่นางหยิบตะเกียบขึ้นมา ก็มองไปทางหยู่เหวินเห้าอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง เห็นเขาไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร จึงลงมือกิน
อ๋องฉีไม่กิน เขาแค่ยกแก้วชาโซ่วเหมยขึ้น และก็ไม่ดื่ม เพียงแต่ใช้มือยกมันไว้ จากมือซ้ายย้ายไปมือขวา แล้วจากมือขวาย้ายไปมือซ้าย ราวกับคนไร้ซึ่งวิญญาณ
จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองหยู่เหวินเห้าอย่างกะทันหัน ในชาตินี้ของเขา ไม่เคยมีตอนไหนที่สมองจะแจ่มใสได้เท่านี้มาก่อน “พี่ห้า นางฆ่าตัวตายจริงหรือ”
หยู่เหวินเห้ามองเขา “อยากจะพูดอะไร”
อ๋องฉีเองก็รู้สึกยากจะตอบโต้อยู่บ้าง“ข้าเพียงแค่อยากจะรู้สาเหตุการตายของนางเท่านั้น ”
“มีประโยชน์อะไร คนก็ตายไปแล้ว”หยู่เหวินเห้าดื่มชา เอ่ยเสียงเรียบ
ม่านกั้นนอกระเบียงได้ถูกปล่อยลงมา ปิดกั้นลมหนาวแล้ว แต่ว่า ก็ยังปิดไม่สนิท จนลมมุดผ่านรอยแยกเข้ามาได้ ยิ่งทำให้รู้สึกถึงลมที่พัดรุนแรง จนเกิดเสียงหวีดหวิว
ราวกับเสียงร่ำไห้ของภูตผีวิญญาณ
อ๋องฉีพูดว่า “ข้าแค่รู้สึกว่า นางคงไม่คิดสั้น”
“เจ้าก็รู้จักนางดี ”หยู่เหวินเห้าพูด
ลมยังคงพัดโกรกเข้ามา พัดเอาสวีอีที่ยืนอยู่ด้านข้างเสื้อผ้าสะบัดปลิว สวีอีเดินเข้าไปรินน้ำชา เอ่ยเสียงเบาว่า “อ๋องฉี คนตายไปแล้วก็ช่างเถอะ ไม่จำเป็นต้องถามอีกแล้ว”
อ๋องฉีเงยหน้าขึ้นมองสวีอี พูดว่า “ข้าแค่อยากจะเข้าใจทุกอย่างให้แจ่มแจ้ง”
เขาเบื่อหน่ายกับชีวิตที่วันๆไม่รู้อะไรเลย
หยวนหย่งอี้ได้ยินคำพูดนี้ ก็วางตะเกียบลง พูดว่า “ทำไมท่านไม่เชื่อว่านางจะฆ่าตัวตาย นางในตอนนั้น รู้ตัวเองดีว่าต้องตาย ฆ่าตัวตายเองซะยังดีกว่า”
“ในคุกของกรมการพระนคร จะฆ่าตัวตาย ไหนเลยจะง่ายดายเช่นนั้น”อ๋องฉีถอนหายใจเบาๆ “ไม่ว่านางจะทำอะไรล้วนมีกำลังทั้งนั้น มีแต่เรื่องฆ่าตัวตายเรื่องเดียวเท่านั้น ที่นางไร้ความกล้า ”
ฉะนั้น นางไม่มีทางเอาหัวชนกำแพง ด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสของนางในตอนนั้น ชนกำแพงก็ไม่ตาย แรงของนางมีไม่มากพอ
หยู่เหวินเห้ากระแทกแก้วชาลงอย่างหนัก น้ำเสียงเย็นชา “ข้าฆ่านางเอง ทำไม เจ้าจะแก้แค้นเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้นางหรือ”
หยวนชิงหลิงกุมมือเขาไว้อย่างรวดเร็ว ส่งสัญญาณว่าอย่าโมโห
หยู่เหวินเห้าโกรธ “เจ้าดูเจ้าตอนนี้สิเหมือนตัวอะไร นางจะเผาเจ้าให้ตาย เจ้ายังจะมาเคารพศพ และไม่พอใจในสาเหตุการตายของนาง เจ้าไม่อยากอยู่อย่างไม่รู้อะไร แต่ตอนนี้เจ้ากลับทำเรื่องไร้สาระอะไรอยู่ ”
อ๋องฉีถูกตำหนิไปหนึ่งยก ยิ่งดูกระดากใจไปใหญ่ เอ่ยพึมพำว่า “ข้าก็แค่ไม่รู้ว่าทำไมข้าต้องมาด้วย รู้ว่าส่งศพนางวันนี้ ข้าก็นั่งไม่ติดที่ อยากจะมาส่งนางเป็นครั้งสุดท้าย”