บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 355
น้ำขิงร้อนๆถูกยกขึ้นมา โสวฝู่ฉู่บังคับแม่นมสี่ดื่มมันก่อน
น้ำขิงร้อนๆถ้วยนี้ลงท้อง แม่นมสี่ก็รู้สึกร่างกายอบอุ่นขึ้นมาทันที หน้าผากยังมีเหงื่อเม็ดเล็กๆออกมาเล็กน้อย
ยังเหลืออีกสองคำ ก็ดื่มไม่ไหวแล้ว โสวฝู่ฉู่รับมาดื่มต่อจนหมด “อย่าสิ้นเปลือง”
แม่นมสี่เห็นมือที่ผ่ายผอมแต่แข็งแรงได้วางถ้วยลงไปอย่างหนัก แล้วก็รีบถามขึ้นทันที “พระชายาให้ข้ามาถาม บัดนี้อ๋องฉู่อยู่ที่ไหน? ฮ่องเต้ได้ขังเขาเข้าไปในคุกมืดหรือเปล่า?”
โสวฝู่ฉู่ยกแขนเสื้อขึ้น สองมือของเขาเคยชินกับการสอดไว้ในแขนเสื้อ แล้วกล่าว “บอกให้พระชายาวางใจได้เลย ฮ่องเต้ไม่ได้คาดโทษ เพียงแต่ไล่เขาออกจากวัง”
“แต่ว่า แม่นมสี่ร้อนใจแล้ว เขาไม่ได้กลับไปที่จวน”
โสวฝู่ฉู่ก็กดมือของเขา “เจ้าจงรออย่างใจเย็น เขาไม่ได้กลับไปที่จวน เพราะไปเป็นคนขี้แยอยู่ที่พระตำหนักฉินคุน”
“คนขี้แย?” แม่นมตกใจ
แววตาของโสวฝู่ฉู่มีรอยยิ้ม “วันนี้ข้าก็อยู่ที่พระตำหนักฉินคุน เขาก็อยู่ตรงนั้น”
แม่นมสี่พูดอย่างไม่รู้จะทำยังไง “แล้วเขาทำไมไม่กลับจวนล่ะ? พระชายาเป็นห่วงจะแย่อยู่แล้ว”
“เขายังไม่บรรลุเป้าหมายก็ไม่มีทางถอย!”
“เป้าหมายอะไร?” แม่นมสี่ถาม
โสวฝู่ฉู่ไม่พูด แต่รอยยิ้มในแววตากลับลึกขึ้น
หยู่เหวินเห้าอยู่ที่พระตำหนักฉินคุนจริงๆ
เขานอนอ้าซ่าอยู่บนเตียงอรหันต์ที่อยู่ในตำหนัก ไม่กินไม่ดื่ม ไม่อาบน้ำไม่ล้างหน้า นอนอยู่ตรงนั้นไปหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนแล้ว
ไท่ซ่างหวงเริ่มแรกทำเหมือนมองไม่เห็น แต่ว่าเมื่อถึงเวลากลางคืนเห็นเขาที่ไม่ขยับตัวเลย วันนี้นอกจากไปเข้าห้องน้ำหนึ่งครั้ง ก็ไม่ได้ขยับตัวอีกเลย อยู่ดีๆ ไท่ซ่างหวงก็โกรธขึ้นมาทันที
“เจ้าว่าเจ้าเหมือนอะไร? รีบไสหัวออกไปจากวันเลย”
หยู่เหวินเห้ายังคงนิ่ง สายตาที่ไร้พลังมองอยู่บนคาน มองดูรูปแกะสลักมังกรทองลอยอยู่เหนือเมฆที่อยู่บนคาน ในหนึ่งวันหนึ่งคืนเขามองมันจนชัดเจนแล้ว
“เจ้าดูสิว่าเจ้านอนอยู่ที่นี่แล้วเหมือนอะไร? ดินโคลน เจ้ากลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ยังมีประโยชน์อยู่มั้ย? เจ้าทำไมพูดไม่ฟังล่ะ? ทำไมต้องดื้อรั้นล่ะ? กลับไปรอข่าวที่จวน!” ไท่ซ่างหวงกล่าวด้วยความโกรธ
หยู่เหวินเห้าจึงค่อยๆเอียงหน้ามองไปทางไท่ซ่างหวง แต่ก็ยังคงเงียบ
ไท่ซ่างหวงโกรธจนไม่รู้จะทำยังไง ทำได้เพียงนั่งลง กล่าวอย่างขุ่นเคือง “มาสร้างความยุ่งยากให้ข้า เจอเรื่องก็มาทำเป็นนอนประท้วง เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นเด็กอายุสามขวบหรือไง?”
ดวงตาของหยู่เหวินเห้าขยับแล้ว พูดอย่างขี้เกียจ “ท่านรู้จักข้าวันแรกข้าก็เป็นแบบนี้แล้ว ไม่ว่ายังไงหากไม่มีวิธีที่น่าพอใจ หลานก็จะนอนประท้วงอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน”
ไท่ซ่างหวงไม่รู้จะทำยังไงกับเขาดี รับสั่งกับฉางกงกง “ให้คนมาลากตัวเขาออกไป”
ฉางกงกงทำได้เพียงออกไปตามทหารรักษาพระองค์เข้ามา
หยู่เหวินเห้ากระโดดลุกขึ้นมาเหมือนปลาคราฟ พุ่งตัวไปทางไท่ซ่างหวง กอดขาของไท่ซ่างหวงเอาไว้ เขาก็กลิ้งลงบนพื้น นอนลง “ลากสิ? อยากทำยังไงก็ทำเลย”
ไท่ซ่างหวงโมโหจนใช้มือตบไปที่หัวของเขา “เจ้ายังมีประโยชน์อยู่มั้ย? เจ้าโตขนาดไหนแล้ว ยังจะมากลิ้งพื้นจริงๆหรือเนี่ย”
หยู่เหวินเห้ายังคงกอดขาไว้อย่างแน่น ไม่ขยับ ถึงขนาดหลับตาลง พูดเพียงประโยคเดียว “ท่านสั่งให้คนตัดหัวของข้าเลย ไม่งั้นก็ตัดมือของข้า ท่านก็จะเป็นอิสระ!”
ไท่ซ่างหวงถูกกอดขาไว้แน่นหนา ก็เดินไม่ได้ ทหารรักษาพระองค์ก็ไม่กล้ามาดึงตัว กลัวถูกตัวไท่ซ่างหวง ทำได้เพียงยืนอยู่ด้านข้าง
“คนสารเลว!” ไท่ซ่างหวงกล่าวอย่างโมโห
หยู่เหวินเห้าสูดจมูก ทำท่าเหมือนหมาที่ถูกแย่งกระดูกไป “ไม่ว่ายังไงหลานก็เหมือนคนไร้ทิศทาง กลับไปจะมีประโยชน์อะไร ภรรยาก็ถูกไล่กลับไปที่บ้าน กลับไปต้องเผชิญกับกำแพงสี่ด้านเพียงคนเดียว ยิ่งทำให้คิดถึงภรรยา เสด็จพ่อก็ไม่อนุญาตให้ข้าไปเยี่ยมนางที่จวนเจ้าพระยา ข้าจะกลับไปทำไม?”
ไท่ซ่างหวงโมโหจนกระทืบเขาไปหนึ่งที “งั้นเจ้าก็ไปตอแยเสด็จพ่อของเจ้า”
“ไม่กล้า!” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ไร้ประโยชน์!”
หยู่เหวินเห้าหดคอ คิดหาท่าที่นั่งแล้วสบายตัวหน่อย แล้วก็กอดขาของไท่ซ่างหวงไว้อย่างแน่นหนา ไม่ขยับเลย
ไท่ซ่างหวงกล่าวด้วยความโกรธ “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะสั่งให้คนตัดมือเจ้า?”
หยู่เหวินเห้าเงยหน้าเล็กน้อย เรียนตามตรง “ไม่เชื่อ”
ไท่ซ่างหวงสั่งการอย่างจริงจัง “ทหาร มาตัดมือของอ๋องฉู่ลงมา!”
ทหารรักษาพระองค์ได้ยิน มีดยาวสองเล่มที่เปล่งประกาย พุ่งเข้าใส่มือของหยู่เหวินเห้าอย่างรวดเร็ว และความเร็วนั้นสามารถใช้ความเร็วของสายฟ้ามาเปรียบเทียบได้เลย
ตาของหยู่เหวินเห้าไม่กะพริบเลย ก็รอให้มีดยาวฟันลงมา
มีดยาวดังขึ้นด้วยเสียงกระแทกพื้นหนึ่งที มีดถูกฟันไปบนพื้นหินอ่อน เกิดประกายไฟ และเศษชิ้นส่วนกระเด็นขึ้นมา
“ตาบอดหรือไง………..” ไท่ซ่างหวงโกรธมาก ออกแรงถูกตา เศษกระเบื้องได้กระเด็นไปโดนตาของเขา เจ็บจนน้ำตาไหลทันที
ทหารรักษาพระองค์ทิ้งดาบลง คุกเข่ารับโทษ
ฉางกงกงเข้าไปช่วยเป่าเศษฝุ่นในตา ไท่ซ่างหวงกล่าวอย่างโมโห “ไปตามฮ่องเต้ให้มาที่นี่!”
หยู่เหวินเห้าได้ยิน ก็ปล่อยขาของไท่ซ่างหวงทันที ดังขึ้นด้วยเสียงฉูบ เขาก็หายวาบไปเกาะอยู่บนคานในตำหนัก
เมื่อฮ่องเต้หมิงหยวนมาถึง หยู่เหวินเห้ายังคงอยู่บนคานไม่ยอมลงมา
ไท่ซ่างหวงชี้ไปข้างบน กล่าวกับฮ่องเต้หมิงหยวนด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง “ทำให้เขาออกจากวังไป ข้าไม่อยากเห็นเขา”
ฮ่องเต้หมิงหยวนเงยหน้าขึ้น เห็นหยู่เหวินเห้าเกาะอยู่บนคาน ก็กล่าวอย่างโมโห “ไอ้ลูกทรพี ยังไม่ลงมาอีก?”
หยู่เหวินเห้ายืนขึ้นบนคาน จากนั้นคุกเข่าลง “กระหม่อมคำนับเสด็จพ่อ”
“เจ้าก่อความวุ่นวายอะไร?” ฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าวด้วยความโกรธ
หยู่เหวินเห้าที่คุกเข่าอยู่ “ลูกไม่อยากกลับไปที่จวน อยากอยู่ปรนนิบัติเสด็จปู่ที่ ยังขอให้เสด็จพ่อให้ลูกอยู่ได้แสดงความกตัญญูด้วย”
ฮ่องเต้หมิงหยวนที่เงยหน้าอยู่ เมื่อยคอจะแยกอยู่แล้ว รู้สึกเหมือนจะปวดกระดูกตรงคออีกด้วย ยิ่งโมโหเข้าไปอีก “หากเจ้ายังไม่ลงมาอีก ข้าจะลงโทษของเจ้า!”
“ลูกอยากอยู่ปรนนิบัติเสด็จปู่ มีความผิดอันใด?” หยู่เหวินเห้าถาม
ฮ่องเต้หมิงหยวนก็หยุดชะงักไปทันที มองไปที่ไท่ซ่างหวง ไท่ซ่างหวงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ เบือนหน้าแล้วกล่าว “จัดการเองละกัน”
ฮ่องเต้หมิงหยวนโกรธจนอยากจะบ้าตาย
อยากจะลงโทษได้ลูกทรพีคนนี้จริงๆ ไท่ซ่างหวงคงไม่อนุญาตอย่างแน่นอน
แล้วจะให้โยนเขาออกไปจากวังโดยไม่รับความเสียหาย มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เจ้าหมอนี้ไม่มีข้อด้อยเลย วรยุทธ์สูงส่ง โดยเฉพาะวิชาตัวเบา ทหารรักษาพระองค์ในวังไม่มีใครสู้เขาได้
หากต้องลงมือไล่ออกไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ไท่ซ่างหวงก็ต้องไม่พอใจ ทำร้ายหลานรักในดวงใจ อย่ามองว่าเขาที่กำลังโมโห จริงๆแล้วเขากำลังเป็นห่วงพระชายาฉู่
ตาแก่แค่โกรธตามเขา แต่ตาแก่ไม่มีทางที่จะขัดแย้งกับเขาซึ่งๆหน้า ก็ได้ไว้หน้าเขาเพียงพอแล้ว
ดังนั้น ในเวลานี้ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่รู้จะทำยังไงดี แต่โกรธมากกับความเจ้าเล่ห์ของหยู่เหวินเห้า
ตั้งแต่ที่เขาไปอยู่ในกองทัพออกมาแล้ว ก็ไม่เคยแสดงความเจ้าเล่ห์เช่นนี้มาก่อน คิดไม่ถึงวันนี้กลับแสดงนิสัยเดิมออกมาอีกแล้ว
มองดูตาแก่ที่เต็มไปด้วยความโกรธ แล้วมองดูหยู่เหวินเห้าที่ใบหน้าเหมือนผู้บริสุทธิ์และกตัญญู ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกว่าตัวเองเหมือนถูกหนีบอยู่กลางอากาศ ขึ้นไม่ได้ ลงก็ไม่ได้ ทำได้เพียงกล่าวอย่างโกรธเคือง เจ้าไสหัวออกไปจากวัง อนุญาตให้เจ้าไปหาหยวนชิงหลิงที่อยู่ในจวนเจ้าพระยาจิ้ง แต่ในหนึ่งวันห้ามเกินครึ่งชั่วยาม ไม่เช่นนั้น ข้าจะสั่งให้คนจับนางไปขังที่สำนักนางชีหมิงเยว่
ร่างของหยู่เหวินเห้ากระโดดลอยลงมาอย่างแผ่นเบา คุกเข่าอยู่บนพื้น “กระหม่อมรับราชโองการ!”
สีหน้าของตาแก่ก็เหมือนโล่งอกไปเล็กน้อย แต่เมื่อหยู่เหวินเห้ามองไปนั้น ใบหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยความโกรธ