บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 369
แม่นมสี่ได้รับคำสั่ง ก็เดินออกไปส่งยา
ฮูหยินเฒ่าคนนั้นพักผ่อนอยู่ชั่วครู่ ก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เห็นแม่นมมา ก็รีบสั่งให้คนไปต้อนรับ
แม่นมสี่ยิ้มบางๆพูดว่า “ฮูหยินเฒ่า ท่านนอนเถอะ ฮูหยินของข้าให้ข้ามาส่งยา ถ้าท่านเชื่อใจฮูหยินของข้า ก็รับยานี้ไว้ด้วย ภายหน้าหากรู้สึกแน่นหน้าอก หรือตอนที่โรคกำเริบ ก็ให้อมไว้ใต้ลิ้นหนึ่งเม็ด สามารถช่วยชีวิตได้”
ฮูหยินเฒ่ามองแม่นมสี่ รู้สึกได้ถึงกิริยามารยาทที่ไม่ใช่คนใช้ในบ้านทั่วไป จึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “บังอาจขอถามคำหนึ่ง ฮูหยินของเจ้า คือพระชายาฉู่ใช่หรือไม่ “
แม่นมสี่อึ้ง “นี่ ทำไมท่านจึงได้คิดเช่นนั้นเล่า ”
ฮูหยินเฒ่าพูดว่า “บ่าวไพร่พูดกันว่า เมื่อครู่ตอนที่ช่วยชีวิตข้าข้างนอกนั่น ได้ยินแม่นางคนหนึ่งเรียกขานว่าพระชายา ข้าคิดดูแล้ว พระชายาที่รู้วิชาแพทย์และยังตั้งครรภ์ ก็มีเพียงพระชายาฉู่เท่านั้น ”
แม่นมสี่ยิ้มบางๆ “ฮูหยินเฒ่า อย่าสนใจว่าเป็นใครเลย แต่ที่แน่ๆสามารถพบกันใต้บารมีของพระโพธิสัตว์นั้น ก็นับว่าเป็นวาสนาแล้ว ท่านพักผ่อนดีๆเถอะ”
พูดจบ นางก็คำนับหมุนตัวจากไป
อีกฟาก หยวนชิงหลิงพักผ่อนอยู่ชั่วครู่ ก็ออกไปไหว้พระ บริจาคเงินค่าน้ำมันตะเกียง ไม่ทิ้งชื่อแซ่ เพียงแค่ขอให้ครอบครัวสงบสุข ทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ก็จากไป
อะซี่กับหยวนหย่งอี้ยังไม่รู้ หลังจากเดินลงเขาไปขึ้นรถม้า อะซี่ก็ถามขึ้น “พวกเราก็แค่มาไหว้พระหรือ จุดประสงค์ที่ไท่ซ่างหวงให้ท่านมาที่นี่คืออะไร”
หยวนชิงหลิงเอ่ยยิ้มๆว่า “ได้บรรลุจุดประสงค์แล้ว ก็คือการช่วยชีวิตฮูหยินเฒ่าคนนั้น ”
“หา ”อะซี่นิ่งอึ้งไป “ช่วยฮูหยินเฒ่า ไท่ซ่างหวงเป็นเทพหรืออย่างไร จึงได้รู้ว่าฮูหยินเฒ่าคนนั้นจะเกิดโรคกำเริบ”
หยวนหย่งอี้เข้าใจแล้ว ออหนึ่งเสียง “ฮูหยินเฒ่าคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่”
“น่าจะเป็นมารดาของเจ้าพระยาเจิ้งเป่ย”หยวนชิงหลิงพูด
หยวนหย่งอี้พูดว่า “ข้าเคยได้ยินท่านย่าพูดว่า เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยเป็นลูกกตัญญูมาก ถ้าหากเรื่องราวดำเนินไปถึงขั้นที่ไม่สามารถกู้กลับมาได้ บางทีฮูหยินเฒ่าท่านนี้อาจจะช่วยพระชายาได้ ”
อะซี่เอ่ยอย่างดีใจว่า “ไท่ซ่างหวงช่างเป็นตาเฒ่าเจ้าเล่ห์จริงๆ ”
“อย่าเสียมารยาท ”หยวนหย่งอี้ตำหนิ “เขาไม่เรียกว่าเฒ่าเจ้าเล่ห์ นั่นคือกลยุทธ์ มีสมอง”
อะซี่แลบลิ้น “ใช่ ข้ามันพูดจาเหลวไหล”
หยวนชิงหลิงมองพี่น้องคู่นี้ ที่จริงหยวนหย่งอี้บางทีก็เป็นคนปากไม่มีหูรูด แต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าอะซี่ นางยังคงมีอำนาจแห่งความเป็นพี่ใหญ่ แน่นอนว่าก็เพราะความเคารพที่อะซี่มีต่อนางด้วย
นี่สินะที่เป็นแบบอย่างของพี่น้องที่ควรมี พอคิดถึงเจ้าห้า……
ช่างเถอะ ความกระหายอำนาจจะทำให้คนตาบอด ความรู้สึกไหนเลยจะเทียบได้กับอำนาจในบ้านเมือง
กลับไปถึงจวนเจ้าพระยาจิ้ง ท้องฟ้าก็มืดแล้ว ความมืดค่อยๆเข้าปกคลุมไปทั่วทั้งแผ่นดิน ดวงไฟค่อยๆทุกจุดขึ้น ค่ำคืนในเมืองหลวง เงียบสงบแต่สวยงาม
ที่ดีงามที่สุดคือพอกลับไปถึง หยู่เหวินเห้าก็มาถึงแล้ว เขาถามทังหยางที่อยู่ด้านนอกก่อน หลังจากได้รับรู้เรื่องราวแล้ว ก็ยิ้มหน้าบาน
ม้วนเสื้อคลุมยาวสีเขียวชุดหนึ่งขึ้น แล้วโอบกอดนางไว้ในอ้อมอก โดยไม่สนว่าจะมีคนอื่นอยู่ด้วย จูบตรงหน้าผากนางหนึ่งที “คิดถึงเจ้ามาก”
หยวนชิงหลิงที่เป็นพวกหัวโบราณในยุคสมัยใหม่ก็ยังรู้สึกกระดากอายอยู่ดี ผลักเขาออก เอ่ยอย่างเคืองๆว่า “นี่ก็ไม่เจอกันแค่หนึ่งวันเอง”
“หนึ่งชั่วยามก็รู้สึกนานมากแล้ว”หยู่เหวินเห้าดึงตัวนางเข้าไป “เสด็จปูวางแผนเช่นนี้ ทำไมจึงไม่บอกกับพวกเราก่อนก็ไม่รู้ ให้ข้าเป็นห่วงอยู่ได้”
หยวนชิงหลิงพูดยิ้มๆ “ใครใช้ให้ท่านไม่เชื่อใจเขาเล่า”
“เชื่อสิ ข้าเชื่อ ใครว่าข้าไม่เชื่อ ไม่เชื่อเขาแล้วจะให้ไปเชื่อใคร ”เมื่อครู่ตอนอยู่ข้างนอกหยู่เหวินเห้าได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดจากทังหยางแล้ว และค่อนข้างมั่นใจว่าฮูหยินเฒ่าคนนั้นเป็นมารดาของเจ้าพระยาเจิ้งเป่ย
หยวนชิงหลิงนั่งลง ทุบไปที่ต้นขาอย่างรู้สึกเหนื่อยล้า
หยู่เหวินเห้านั่งลงข้างกายนาง นวดที่น่องของนาง “คงจะเหนื่อยมากสินะ”
“เหนื่อย ไม่รู้ทำไม ช่วงนี้รู้สึกเหนื่อยมาก รู้สึกง่วงอยู่บ่อยๆ วันนี้ตอนอยู่บนรถม้าก็นอนหลับไป”หยวนชิงหลิงถอนหายใจเบาๆ รู้สึกว่าตนเองไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเลยสักนิด
“เช่นนั้นทีหลังเจ้าอย่าออกไปข้างนอกอีก พักผ่อนอยู่ในบ้านดีกว่า ”หยู่เหวินเห้าเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เป็นห่วงมาก
“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่อยากออกไปไหนแล้ว” หยวนชิงหลิงยื่นมือออกไปลูบที่ท้อง หลุบตาลงก้มมอง แล้วก็ยิ้ม “ขยับแล้ว ท่านจับดูสิ”
“นวดก่อน ประเดี๋ยวค่อยจับ”หยู่เหวินเห้ามองท้องนางแวบหนึ่ง “ทำไมจึงรู้สึกว่าท้องโตเร็วมาก”
“ใช่แล้ว กินจนอ้วนขึ้นแล้ว”หยวนชิงหลิงถอนหายใจอีกครั้ง “ไม่ช้าคงได้กลายเป็นแม่หมู”
“แต่ก็เป็นแม่หมูที่สวยที่สุด”หยู่เหวินเห้าพูดอย่างเอาใจ
หยวนชิงหลิงยิ้มเตะขาออกไป เขาจับเท้าที่ตาตุ่มเอาไว้ มองนางนิ่งๆและพูดว่า “จริงนะ ตอนนี้เจ้าดูสวยกว่าแต่ก่อนมาก โดยเฉพาะใบหน้าของเจ้า ทำไมจึงได้รู้สึกว่างดงามกว่าแต่ก่อนมาก”
“เชอะ”หยวนชิงหลิงค้อนให้เขา ใบหน้ากลับเชิดสูงขึ้น
หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นค่อยๆประคองนางให้นอนราบลง แล้วนั่งลงข้างกายนาง “ข้าพูดความจริง เมื่อก่อนข้ารู้สึกว่าใบหน้านี้ของเจ้าดูใจดำมากเป็นพิเศษ มองแล้วก็ไม่เจริญตา เห็นเจ้าแวบเดียวก็รู้สึกรังเกียจไปครึ่งค่อนวัน แต่ตอนนี้ไม่เห็นหน้าเจ้าแค่วันเดียว ในใจก็ทรมานราวกับถูกสุนัขกัดแทะ”
หยวนชิงหลิงยิ้มบางๆ สายตาจ้องมองเขาเขม็ง “เช่นนั้นคงเป็นเพราะข้ากับหยวนชิงหลิงคนก่อนไม่ใช่คนเดียวกันกระมัง ”
หยู่เหวินเห้าแนบหูของตัวเองไปที่ท้องของนาง ฟังเสียงความเคลื่อนไหวจากข้างใน “แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คนเดียวกัน หยวนชิงหลิงคนก่อนไม่รู้วิชาแพทย์ นางเองก็ไม่พูดคำศัพท์อะไรแปลกๆมากมายเช่นนี้ ยิ่งไม่มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น นางเป็นคนเห็นแก่ตัวมาก”
หัวใจของหยวนชิงหลิงเต้นรัวขึ้น มองเขาอย่างนิ่งอึ้ง
เขากลับไม่พูดอะไรอีก แนบหูฟังเสียงอย่างเงียบเชียบ ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้น “ยายหยวน เป็นไปได้หรือไม่ที่ในท้องจะไม่ได้มีแค่คนเดียว ทำไมข้าจึงได้ยินเสียงเคลื่อนไหวตั้งหลายจุด”
หยวนชิงหลิงอึ้งไปชั่วครู่ “เป็นไปไม่ได้ ฝาแฝดหรือ”
“เจ้ามีของสิ่งหนึ่งที่ใช้ฟังเสียงเต้นของหัวใจมิใช่หรือ เจ้าได้ยินเสียงหัวใจสองดวงเต้นหรือไม่”หยู่เหวินเห้าถาม
หยวนชิงหลิงพูดว่า “ข้าแค่นับจำนวนการเคลื่อนไหวในท้อง ข้าไม่ได้เฝ้าสังเกตการเต้นของหัวใจ”นางอยากจะเอาเครื่องฟังเสียงหัวใจออกมา นับช่วงระยะเวลาตั้งครรภ์แล้ว ถ้าหากเป็นฝาแฝด เครื่องฟังเสียงหัวใจสามารถฟังออกได้
แต่ว่า นางไม่ค่อยอยากจะตรวจให้แน่ใจสักเท่าไหร่
นางไม่รู้ว่าราชสมัยนี้จะมองลูกแฝดเป็นอย่างไร นางรู้มาว่ามีบางสมัยที่มีข้อห้ามในการให้กำเนิดลูกฝาแฝด เพราะคิดว่าไม่เป็นมงคลเป็นลางไม่ดี และเหตุผลส่วนใหญ่ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะเงื่อนไขทางการแพทย์ต่ำเกินไป ฝาแฝดง่ายต่อการเกิดภาวะคลอดยากทำให้แม่ผู้ให้กำเนิดต้องเสียชีวิต
ถ้าหากเป็นฝาแฝด สถานการณ์ของนางก็จะยุ่งยากขึ้นไปอีก
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “บางทีอาจจะมีสองคน ให้หมอหลวงมาจับชีพจรเจ้าดู”
“หมอหลวงจับชีพจรแล้วรู้ได้ด้วยหรือ”หยวนชิงหลิงถาม
“หมอหลวงน่าจะทำได้ ”หยู่เหวินเห้าพูด แล้วก็กระโดดขึ้นมา “หมอหลวงเฉามาที่จวนเจ้าพระยาจิ้งไม่ใช่หรือ ให้เขามาตรวจชีพจรดู ลองถามดู”
“เขาตรวจชีพจรให้ข้าแล้ว แต่ไม่เคยบอกเลยว่าข้าตั้งครรภ์ฝาแฝด ”หยวนชิงหลิงพูด
หยู่เหวินเห้าเดินออกไป เห็นหมันเอ๋อที่ยืนอยู่ตรงระเบียงถูกลมพัดหนาวจนตัวสั่น ก็เอ่ยขึ้นว่า “หมั่นโถว ไปตามหมอหลวงมาตรวจชีพจรให้พระชายา”
หมันเอ๋อออหนึ่งเสียง คิดว่าหยวนชิงหลิงไม่สบาย จึงรีบไปทันที สวีอีเข้ามาเอาเตาไฟไปก่อไฟข้างนอก เกรงว่าพระชายาจะหนาว
พอดีกับที่หยวนหย่งอี้กับอะซี่เดินเข้ามา ได้ยินว่าจะตามหมอหลวง ก็รีบถามไถ่ทันที “เกิดอะไรขึ้น เหนื่อยเกินไปใช่หรือไม่ ”
หยวนชิงหลิงพยุงร่างขึ้นมา พูดยิ้มๆว่า “ไม่มีอะไร ท่านอ๋องก็แค่ล้อเล่น”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “ล้อเล่นที่ไหนกัน บางทีอาจเป็นฝาแฝดก็ได้ เจ้าดูสิว่าท้องเจ้าใหญ่แค่ไหนกัน”
“อ้วนขึ้นเท่านั้น”หยวนชิงหลิงพูด
อะซี่เบิกตากว้าง มองไปที่ท้องของหยวนชิงหลิง รู้สึกอัศจรรย์มาก “สวรรค์ ฝาแฝดหรือ เช่นนั้นก็ดีมากเลย”