บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 383
อะซี่ที่อยู่บนหลังคา ฟังอย่างเงียบๆไปครู่หนึ่ง แน่ใจแล้วว่าอ๋องเว่ยไม่ย้อนกลับมาอีก นางก็เลยกลับ
หลังจากกลับมา นางก็รายงานหยวนชิงหลิงตามจริง รายงานจบแล้วก็กล่าว “ตอนที่เขาทำร้ายพระชายาเว่ย ข้าคิดว่าแม้จะลงไปก็ไม่มีประโยชน์ ก็เลยไม่ได้ลงไป ทำให้พระชายาเว่ยต้องได้รับความลำบากใจและบาดเจ็บ”
หยวนชิงหลิงฟังจบ ก็ถอนหายใจ “สิ่งที่ทำร้ายนาง กลัวว่าจะไม่ใช่ฝ่ามือนั้น แต่เป็นคำพูดของเขา”
อะซี่กล่าว “จริงๆแล้วฟังที่พวกเขาคุยกัน ข้านั้นไม่รู้สึกเลยว่าพระชายาจะมีลูกกับชายชู้”
หยวนชิงหลิงกล่าว “ทั้งหมดกลัวว่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่ไม่ว่าจะยังไง พวกเขาก็ได้เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้อนาคตความเข้าใจผิดได้รับความกระจ่าง พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตร่วมกันได้อีกแล้ว เขาเป็นคนฆ่าลูกที่มีอายุครรภ์หกเดือนของนาง หากพระชายาเว่ยถูกใส่ร้าย และอ๋องเว่ยเป็นคนฆ่าลูกของพวกเขาด้วยตัวเขาเอง”
หยวนชิงหลิงเป็นห่วงความรู้สึกของพระชายาเว่ย มากกว่าเรื่องที่พวกเขาจะแยกจากกัน
เรื่องนี้สำหรับนาง เป็นเรื่องที่สะเทือนใจอย่างมาก
อ๋องเว่ยก่อนหน้านี้มัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องจะให้หนังสือเลิกร้างหรือมาเลิกร้างกันอย่างสันติ คิดอยากจะแก้แค้นในเวลานั้น ตอนนี้เขาถูกกระตุ้น ก็เลยทำให้พูดเรื่องนี้ออกมา เขาสะใจมาก แต่มันกลับโยนพระชายาเว่ยลงไปในนรก
หยวนชิงหลิงนอนพลิกตัวไปมาตลอดคืน
นางรู้สึกว่า ตอนนี้อารมณ์และความรู้สึกของพระชายาเว่ยต้องได้รับความสะเทือนใจอย่างมาก หากกู้จือยังอยู่ในจวนต่อ ต้องมีเรื่องให้อ๋องเว่ยอารมณ์เสียอย่างแน่นอน พระชายาเว่ยเป็นคนที่หาเรื่องคนไม่เป็น แต่กู้จือเป็น จิตใจของคนผู้นี้ช่างอำมหิตนัก
ต้องหาทางไล่กู้จือออกไปให้ได้ถึงจะวางใจ เช่นนั้นแล้วอ๋องเว่ยก็คงจะตามออกไปด้วย อย่างน้อย พระชายาเว่ยก็ยังมีสถานที่ที่สงบไว้รักษาใจ
ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเจออ๋องเว่ยหรือกู้จือ มันก็คือสิ่งที่กระทบกระเทือนใจ
ดังนั้น นางให้คนตามตัวหมันเอ๋อมา สอนนางพูด ให้นางรีบไปที่จวนอ๋องซุน ให้พระชายาซุนพูดตามคำพูดของนางให้กับไทเฮาฟัง
พระชายาซุนเข้าวังไปน้อมคำนับไทเฮา
หลังจากที่เห็นไทเฮา นางก็ร้องห่มร้องไห้แล้วคุกเข่าลง เสด็จย่า ท่านต้องเป็นหลักให้กับน้องสะใภ้สาม หากท่านไม่ช่วยนาง นางคงจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกแล้ว
เดิมไทเฮาก็ชอบนางชุยอยู่มากแล้ว นางเป็นคนที่นิสัยอ่อนโยน อีกอย่างปีที่แล้วยังตั้งครรภ์แต่โชคไม่ดีมาแท้งไปเสียก่อน ในใจนั้นทั้งเห็นใจและสงสารไม่น้อย ได้ยินพระชายาซุนพูดเช่นนี้ ก็รู้ว่าเป็นอ๋องเว่ยที่เลอะเลือนไม่คิดถึงผลที่จะตามมา
เขาให้ผู้หญิงคนหนึ่งมาอยู่ในจวน เรื่องนี้นางก็เคยได้ยินมาบ้าง
พระชายาซุนพูดด้วยเสียงสะอื้น “เมื่อวานข้าได้ยินมาว่านางหกล้มจนขาหัก ก็เลยไม่เยี่ยมนางพร้อมกับพระชายาฉู่ที่จวนอ๋องเว่ย คิดไม่ถึงว่าฮูหยินท้องแล้ว………..”
ไทเฮาขัดจังหวะการพูดของนาง “ฮูหยินท้องแล้วคืออะไร?”
พระชายาซุนตกใจ “ไทเฮามิทรงทราบเรื่องนี้หรือ? น้องสามได้แต่งอนุไปแล้วไม่ใช่หรือ? ชื่อกู้จือ ท้องแล้ว”
ไทเฮากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เรื่องนี้ไม่เคยได้ยินเขามารายงาน ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ฮูหยินอะไรกัน? เมื่อกี้เจ้าพูดว่า ผู้หญิงคนนี้ท้องแล้วรึ?”
“ใช่เพคะ ข้ากับพระชายาฉู่และพระชายาจี้ก็เลยไปดูกู้จือพร้อมกัน คิดไม่ถึง…………” พระชายาซุนกดเสียงให้ต่ำลง “กู้จือคนนั้นบอกว่านางถูกบีบบังคับ เดิมนางก็ไม่อยากอยู่ข้างกายอ๋องเว่ย นางขอร้องจะไปจากที่นี่ นางบอกว่านางไม่อยากจะเป็นพระชายาอะไรหรอก พวกเราล้วนตกใจกันอย่างมาก เลยสอบถามบ่าว จึงได้รู้ว่าน้องสามจะเลิกร้างกับภริยา แล้วแต่งกู้จือเป็นพระชายา แบบนี้จะได้ยังไง? ตั้งแต่ภริยาของน้องสามแต่งเข้ามาในจวน ก็ไม่เคยกระทำความผิดใหญ่หลวงเลย ตระกูลชุยเป็นตระกูลที่ใหญ่ หากเลิกร้างกับภริยาโดยไม่มีเหตุผล ตระกูลชุยจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? ตอนนั้นข้าก็ร้อนใจทันที แล้วเห็นกู้จือร้องห่มร้องไห้ ก็เลยตำหนินางไปหน่อย แล้วก็รีบไปปลอบภริยาของสองสาม”
หลังจากที่ไทเฮาฟังคำพูดนี้แล้ว โกรธจนโมโห “มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ? หากเขากล้าเลิกร้างกับพระชายา ข้าจะตีขาของเขาให้หักไปเลย”
พระชายาซุนถอนหายใจ “เสด็จย่า เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านี้ เมื่อคืน หลังจากที่น้องสามกลับมาแล้ว ไม่รู้ว่ากู้จือพูดอะไรกับเขา เขาก็ไปอาละวาดที่จวนเจ้าพระยาจิ้งในตอนกลางคืน เกือบจะลงมือทำร้ายพระชายาฉู่ด้วย พระชายาฉู่ตกใจจนปวดท้องไปทั้งคืน เดิมเช้านี้นางจะเข้าวังพร้อมกับข้า แต่เช้าก็ให้ข้ารับใช้มาเรียนว่ามาไม่ได้แล้ว ปวดท้องหนักมาก”
ไทเฮาฟังจบ ทั้งเป็นห่วงทั้งโกรธ กล่าวอย่างขุ่นเคือง “เลอะเลือน ไม่ได้เรื่อง เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเมียของหลานห้า?”
พระชายาซุนเช็ดน้ำตาแล้วกล่าว “บางทีเพราะเขาไม่กล้ามาหาข้าและพระชายาจี้ ไม่ว่ายังไงเราก็พี่สะใภ้ เขาก็เลยเลือกลงมือกับคนที่อ่อนแอกว่า เลยไปหาภริยาของน้องห้า อย่างไรเสียนางก็ถูกไล่กลับไปอยู่ที่บ้าน หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆก็ไม่มีคนช่วย”
ไทเฮาโมโหจนแน่นหน้าอกแล้ว ต่อว่าอย่างหนัก หลังจากที่แม่นมปลอบไทเฮาแล้ว นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด เด็กๆ ประกาศคำสั่งของข้าลงไป ให้กู้จือไปอยู่ที่สำนักนางชีหมิงเยว่ จนกว่าจะคลอดลูก หลังจากพิสูจน์แล้ว เก็บเด็กเอาไว้ให้แม่จากไป คืนความอิสระให้นาง
พระชายาซุนได้ฟัง สมควรแล้ว ไปอยู่ในสำนักนางชีหมิงเยว่ อ๋องเว่ยก็คงไม่สามารถไปอยู่กับนางมั้ง?
ไทเฮาก็มีราชโองการอีก กล่าวด้วยความโกรธ “รับสั่งให้อ๋องเว่ยเข้าวัง”
พระชายาซุนก็ไม่อยากจะประจันหน้ากับอ๋องเว่ยอยู่แล้ว ดังนั้น ก็เลยหนีกลับไปก่อน
หลังจากออกจากวัง นางก็ไปที่จวนเจ้าพระยาโดยตรง เล่าการตัดสินใจของไทเฮาให้หยวนชิงหลิงฟัง
หยวนชิงหลิงฟังจบ ก็ไม่ได้รู้สึกโล่งอก ในใจนางนั้นเหมือนมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
แต่นางก็ยังคงปลอบใจตัวเองไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่ากู้จือย้ายออกไปแล้ว อ๋องเว่ยก็ต้องออกไปอยู่ข้างนอก ก็ไม่มีเวลามาทำให้พระชายาเว่ยสะเทือนใจอีก
ในใจนางนั้นทรมานมาก ตอนนี้นางเป็นคนท้อง แม้ว่าในใจยังไม่ได้เตรียมพร้อมต้อนรับเด็กที่เกิดมา แต่ตอนนี้หากมีคนบอกกับนางว่าลูกนางแท้งแล้ว นางก็เสียใจจนตายได้เช่นกัน
คนที่เป็นแม่ เรื่องอื่นๆนั้นไม่สำคัญแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือลูก
พระชายาเว่ยเป็นคนที่มีเหตุผล ต่อให้มีเหตุผล แต่นางก็เป็นคนที่มีความรู้สึก เสียใจเป็น เจ็บปวดเป็น ประกอบกับนางยังมีโรคทางอารมณ์ นี่มันทำให้คนวางใจไม่ได้เลยจริงๆ
คิดถึงตรงนี้ นางก็กล่าวกับพระชายาซุน “ไม่สู้เราไปเยี่ยมนางหน่อย ไปพูดปลอบใจให้กำลังใจนาง”
พระชายาซุนพูดขึ้นทันที “ได้ ข้าก็อยากจะไปอยู่พอดี ข้านั้นไม่วางใจจริงๆ อาศัยจังหวะที่อ๋องเว่ยเข้าวัง เหมาะกับการที่เราไปเยี่ยมนางอย่างมาก”
ตอนที่พวกนางออกไป หยู่เหวินเห้าเพิ่งจะกลับมา เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยที่ชักช้า จนบัดนี้แล้วยังไม่เริ่มเดินทางมาเมืองหลวง คาดว่ายังคงอ้อยอิ่งอีกหลายวัน
ได้ยินว่านางจะไปที่จวนอ๋องเว่ย หยู่เหวินเห้าก็ไปกับนางด้วย
แน่นอน ผู้หญิงคุยกัน เขานั้นก็ได้หลบออกมา
เข้าไปในห้อง พระชายาเว่ยที่นอนอยู่บนเตียง เห็นนางมา ใบหน้าก็ปรากฏขึ้นด้วยรอยยิ้ม มองพวกนางอย่างสงบใจเย็น
หยวนชิงหลิงถามไถ่อาการบาดเจ็บที่ขาของนาง นางบอกว่าไม่เป็นไรมากแล้ว ไม่ค่อยจะเจ็บแล้ว
อารมณ์ของนางไม่ได้แย่มาก แต่ใบหน้าซีดขาวอย่างมาก เบ้าตาดำและบวม น่าจะร้องไห้เป็นเวลานาน รอยนิ้วมือนั้นชัดเจนมาก ทั้งแดงทั้งบวม ดูท่าทางของนาง ช่างน่าสงสารนัก
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าร้องไห้เป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยก็ได้ระบายมันออกมา
“ใบหน้าของเจ้า……….” พระชายาซุนที่อดไม่ได้จึงเอ่ยถาม “เป็นฝีมือของเขารึ?”
พระชายาเว่ยยื่นมือลูบมันไปหนึ่งที ยิ้มอย่างขมขื่น “ยังไม่จางลงอีกเหรอ?”
“ยังไม่จาง บวมมาก” พระชายาซุนพูดอย่างสงสารจับใจ
มุมปากของพระชายาเว่ยกระตุกไปหนึ่งที เผยรอยยิ้มที่ซีดเซียวออกมา “ไม่เป็นไร ไม่กี่วันก็จางหาย”
หยวนชิงหลิงที่มองนางที่นิ่งสงบแบบนี้ ในใจกลับรู้สึกไม่ดี
ทุกคนล้านมีอารมณ์กันทั้งนั้น นางรับรู้เรื่องที่โหดร้ายขนาดนี้ ยังสามารถที่จะนิ่งและใจเย็น เห็นได้ชัดว่านางได้เก็บทุกอย่างไว้ส่วนลึกของหัวใจ แบบนี้มันจะมีผลต่ออาการป่วยของนาง