บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 390
จวนอ๋องอาน!
คืนนี้บรรดาอ๋องทั้งหลายล้วนอยู่ในวังร่วมงานเลี้ยงต้อนรับเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยกลับมา
อ๋องอันกลับจวนมาด้วยความเมาเล็กน้อย หลังจากเข้าประตูจวนก็ไปที่ห้องหนังสือทันที
ผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมใส่ชุดสีแดงอยู่ในห้องหนังสือ เห็นเขาเข้ามา ก็ลุกขึ้นย่อตัว ใบหน้ามีรอยยิ้มจางๆ “ท่านอ๋องกลับมาแล้ว?”
อ๋องอันปิดประตู ถอดเสื้อตัวนอกแขวนไปที่ราวแขวนผ้า เดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว ถามขึ้น “อะหลู เรื่องมันยังไงกันแน่”
ผู้หญิงที่ถูกเรียกว่าอะหลูมีสีหน้าเศร้าเล็กน้อย กล่าว “พระชายาเว่ยฆ่าตัวตายบนหอคอย แต่ว่าถูกพระชายาฉู่ช่วยเอาไว้ ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่จวนเจ้าพระยา”
อ๋องอันนั่งลง คิ้วที่ดกดำก็ขมวดขึ้น พระชายาฉู่เป็นคนช่วย?
“เจ้าค่ะ คาดการณ์ผิดไป” อะหลูพูด
อ๋องอันตอบอืมไปหนึ่งที แล้วกล่าวขึ้น “ก็ไม่เชิง อย่างน้อยท่านพี่สามตอนนี้ก็กลายเป็นคนที่หมดสภาพแล้ว สูญเสียการสนับสนุนจากตระกูลชุย ท่านพี่ใหญ่ก็คงไม่มีความจำเป็นที่จะดึงเขาเข้ามาร่วมด้วย”
“ใช่เจ้าค่ะ อ๋องจี้น่าจะทอดทิ้งเขา” อะหลูพูด
อ๋องอันยิ้มอย่างเย็นชา “ไม่เพียงแต่อ๋องจี้จะทอดทิ้งเขา เสด็จพ่อก็จะลงโทษเขา นี่ก็เป็นเพราะเขาทำตัวเองแล้ว ตอนนั้นเขาช่วยพูดแทนอ๋องจี้ ก็ได้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องมีวันนี้”
อะหลูก็กล่าวอย่างเสียดาย “ใช่เจ้าค่ะ ครั้งนั้นหากไม่ใช่อ๋องเว่ยขอร้องวิงวอนแทนอ๋องจี้ต่อหน้าฮ่องเต้ เรื่องกรมคลังถูกขโมย ฮ่องเต้ต้องลงโทษอ๋องจี้อย่างแน่นอน คำพูดที่ซาบซึ้งพวกนั้นของอ๋องเว่ย ทำให้ฮ่องเต้เห็นแก่เลือดเนื้อเชื้อไข จึงได้ปล่อยอ๋องจี้ ทำให้พลาดโอกาสที่ดีไปจริงๆ”
ความชั่วร้ายก็ได้ลอดผ่านแววตาของอ๋องอัน “ตอนนี้เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ทางตระกูลชุย หาคนไปปล่อยข่าว บอกว่านางกู้จือเป็นคนที่อ๋องจี้ส่งไป ยังมีอีก จัดการปิดปากกู้จือซัก คนผู้นี้ไม่มีประโยชน์แล้ว”
อะหลูย่อตัวคำนับ “เจ้าค่ะ!”
นิ่งไปครู่หนึ่ง อะหลูก็กล่าวขึ้น “เพียงแต่ ท่านอ๋องมีวิธีอะไรที่จะทำให้ตระกูลชุยยอมมาเป็นพวกเดียวกับเราล่ะ?”
หน้าต่างพัดเข้ามาด้วยลมแรง แรงลมทำให้แสงเทียนสั่นไหว ใบหน้าของอ๋องอัน ด้านหนึ่งมืดมนด้านหนึ่งสว่าง “เขาค่อยๆกล่าวขึ้น เรื่องนี้ฮ่องเต้ต้องถามหาความผิดอย่างแน่นอน ข้าจะช่วยร้องขอฮ่องเต้ ให้ลงโทษอ๋องเว่ยอย่างหนัก เพื่อให้ตระกูลช่วยได้ระบายความอัดอั้น”
อะหลูมองนางแวบหนึ่ง กล่าวด้วยเสียงเบา “แล้วพระชายาฉู่………ท่านอ๋องมีความคิดอย่างไร?”
อ๋องอันเลิกคิ้ว กล่าวชื่นชมอย่างหนัก “คิดไม่ถึงว่าเจ้าพระชายาจิ้งจะมีลูกสาวที่โดดเด่นเช่นนี้ ยังเชี่ยวชาญด้านการรักษา ตอนนั้นข้ามองคลาดสายตาไปแล้วจริงๆ ไอ้หัวขโมยอย่างเจ้าพระยาจิ้งเคยให้คนมาหาข้า ถามข้าอย่างนัยๆว่าอยากที่จะแต่งหยวนชิงหลิงเป็นชายารองหรือไม่? ข้านั้นข้าก็ต้องไม่ถูกใจนางอยู่แล้ว คิดไม่ถึง กลับทำให้เสียของล้ำค่าไป”
อะหลูยิ้มๆ แววตามืดมนเล็กน้อย “พระชายาจี้ล้มเหลวไปแล้ว ช่างน่าเสียดายนัก”
อ๋องอันข่มใจ กล่าวอย่างขี้เล่น “ไม่หรอก คนพวกนี้ยังมีประโยชน์ และยังสามารถให้เราใช้ประโยชน์ได้ด้วย”
อะหลูตกใจ “เกรงว่านางคงไม่มีทางที่จะทรยศอ๋องฉู่ ได้ยินมาว่านั้นรักอ๋องฉู่อย่างลึกซึ้ง”
อ๋องอันหัวเราะ “ตอนแรกอ๋องเว่ยก็รักนางชุยมากไม่ใช่หรือ? แค่กู้จือคนเดียว กับวิชาลวงตามธรรมดา ก็ทำให้เขาบ้านแตกสาแหรกขาด หรือว่าหยวนชิงหลิงจะเก่งกว่าอ๋องเว่ย?”
อะหลูไม่เห็นด้วยกับการใช้วิชาลวงตา กล่าว “ข้างกายพระชายาฉู่ยังมีบ่าวที่รู้วิชาลวงตา กลยุทธ์วิชาลวงตา เกรงว่าคงจะใช้ไม่ได้แล้ว”
“ต้องมีวิธีอื่นอย่างแน่นอน” อ๋องอันกล่าวอย่างมั่นใจ
หยู่เหวินเห้าออกจากวัง ก็ไปที่จวนเจ้าพระยาโดยตรง
ตอนนั้นที่กำลังต้อนรับเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยเข้าวัง ก็มีคนมาขวางท่านพี่สามเอาไว้ ในใจเขาก็รู้ว่าจวนอ๋องเว่ยต้องเกิดเรื่องขึ้นแล้ว
จวนอ๋องเว่ยเกิดเรื่อง ภริยาของเขาไม่มีทางที่จะเป็นผู้ชมเพียงอย่างเดียว ดังนั้น เขาต้องไปดูว่านางยังพักผ่อนอยู่ในจวนเจ้าพระยาหรือเปล่า
เมื่อเข้ามาในจวนเจ้าพระยา ข้างในก็เต็มไปด้วยผู้คน และยังมีคนของตระกูลชุยอยู่ด้วย
สวีอีเห็นเขากลับมา ก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้ให้เขาฟัง
หยู่เหวินเห้าฟังจนขุนลุกซู่ไปทั้งตัว “เจ้าหยวนนไปบนกำแพงเมือง? โอ้สวรรค์!”
เขาก็ไม่ได้สนใจคนตระกูลชุย รีบวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว
หยวนชิงหลิงได้นอนพักอยู่บนเตียงแล้ว วันนี้นอกจากจะใช้แรงไปจนหมด ก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ราวกับว่าวิญญาณยังกลับเข้าร่างไม่ครบ
บัดนี้มาย้อนคิดถึงวินาทีที่พระชายาเว่ยกระโดดลงไป นางยังคงใจหายวาบ
นางที่อยู่บนเตียงคิดเรื่องนี้เป็นเวลานาน ไม่สามารถที่จะสงบจิตสงบใจลงมาได้เลย
ได้ยินเสียงฝีเท้าของหยู่เหวินเห้า นางรีบเอามือไปถูหน้า พยายามบีบรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมา มองไปทางประตูอย่างตื่นตัว
หลังจากที่หยู่เหวินเห้าเข้ามาแล้ว ก็เดินมาอย่างรวดเร็ว ตรวจดูสีหน้าของนาง แล้วกล่าว “อย่าแกล้งทำอีกเลย ตาเจ้าลืมไม่ขึ้นแล้ว”
ใบหน้าของหยวนชิงหลิงก็หย่อนหน้าลงมาทันที ถอนหายใจเบาๆ “กินข้าวยัง?”
“ท้องจะแตกแล้ว พระชายาเว่ยอยู่ที่จวน?” หยู่เหวินเห้านั่งลง ยื่นนิ้วออกมาสองนิ้วช่วยนวดขอบตาให้นาง
“อืม อยู่ในจวน ความหมายของตระกูลชุยอยากจะพานางกลับไป แต่ตอนนี้ข้าไม่แนะนำให้ทำเช่นนั้น” หยวนชิงหลิงกล่าว
หยู่เหวินเห้าถาม “อาการหนักมากเลยเหรอ?”
“หนัก แต่ไม่ถึงกับหนักที่สุด” นางเอามือของเขาลง มองเขา “เห็นเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยหรือยัง? แล้วเห็นคุณหนูฮู่ไหม?”
หยู่เหวินเห้ากล่าว “คุณหนูฮู่ไม่ได้เข้าวัง เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยพาคุณชายฮู่มา เจอน่ะเจอแล้ว แต่ไม่ได้ทักทายอะไรกันเลย”
“บางทีคนเขาอาจจะไม่ถูกใจเจ้าก็ได้” หยวนชิงหลิงปลอบ
หน้าของหยู่เหวินเห้าไม่ค่อยจะพอใจ “งั้นก็ช่วยไม่ได้ ข้าที่หล่อเหลาขนาดนี้ เขายังไม่ถูกใจ จะทำยังไงได้ล่ะ?”
หยวนชิงหลิงตบเขาเบาๆไปหนึ่งที “อย่าเพิ่งได้ใจไป “เขาอาจจะแอบสังเกตท่านอยู่ก็ได้ เสด็จพ่อมีใจที่จะให้ลูกสาวของเขาแต่งเป็นชายารองของท่าน เขาต้องรู้อย่างแน่นอน ทำไมถึงจะไม่สังเกตอย่างละเอียดล่ะ?”
หยู่เหวินเห้าหัวเราะกล่าว “หากเขาสังเกต ก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าข้านั้นมีเมียที่ดุเหมือนเสือหนึ่งคน เขาจะไม่กลัวว่าลูกสาวของเขาแต่งมาแล้วจะได้รับความลำบากใจ? เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยคนนี้รักลูกสาวมาก”
หยวนชิงหลิงหัวเราะอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์
หยู่เหวินเห้ามองนาง “เปลี่ยนประเด็นเหรอ วันนี้เจ้าขึ้นไปบนหอคอย?”
“ใช่”
“บังอาจ!”
“เข้าใจกับคำว่าชีวิตคนสำคัญหน่อย”
“เข้าใจกับคำว่าอันตรายหน่อย”
ทั้งสองเบือนหน้าหนีพร้อมกัน คุยกันไม่รู้เรื่อง
“ข้าไปคุยกับใต้เท้าชุยก่อน” หยู่เหวินเห้ากล่าว เมื่อกี้ตอนที่เข้ามา เห็นเขานั่งอยู่ในห้องโถง ด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อยและโดดเดี่ยว ตัวเขาเป็นห่วงหยวนชิงหลิง ดังนั้นก็เลยไม่ได้เข้าไปทักทาย เข้ามาดูก่อนว่านางปลอดภัยหรือเปล่า
“ไปเถอะ ข้าก็จะไปดูพระชายาเว่ยแล้ว” หยวนชิงหลิงลุกขึ้น เดิมนางเพียงแค่อยากจะพักผ่อนครู่เดียว ยังไม่ทันได้นอนจริงๆ
หยู่เหวินเห้ามีความคิดที่อยากจะห้าม แต่ก็ไม่ห้าม ผู้หญิงคนนี้พูดไปแล้วนางก็ไม่ฟัง
ทั้งสองออกไปก็แยกไปคนละทาง
พระชายาเว่ยตื่นขึ้นมาแล้ว มีคนในครอบครัวอยู่เป็นเพื่อน เมื่อเห็นหยวนชิงหลิงเข้ามา ฮูหยินใหญ่ตระกูลชุยกับแม่ของพระชายาเว่ยและหญิงสาวของตระกูลชุยก็รีบลุกขึ้นมาแสดงความเคารพ
หยวนชิงหลิงกล่าว “อยู่ที่ตรงนี้ ทุกคนก็อย่าเกรงใจกันเลย”
นางเชิญให้ทุกคนนั่งลง จากนั้นก็เดินไปที่เตียง นางนั้นแขวนเครื่องช่วยฟังเข้ามา ดังนั้นเมื่อนั่งลงมาแล้วก็ได้ทำการฟังปอดและหัวใจก่อน
หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นอะไรมาก จึงได้ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบา “เจ็บไหม?”
พระชายาเว่ยมองนาง มุมปากปรากฏขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ซีดเซียว “ไม่เจ็บ ขอบคุณเจ้ามาก ข้ารู้สึกดีมาก”
“อย่าพูดขอบคุณ” หยวนชิงหลิงยิ้มเล็กน้อย ในใจรู้สึกเจ็บเล็กน้อย อยู่ต่อหน้าคนในครอบครัว นางไม่กล้าที่จะเผยความอ่อนแอออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว
นางทำได้แค่พยายามใช้รอยยิ้มและความสงบมาตกแต่งใบหน้าของนาง