บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 394
หลอกุ้ยผินนั้นไร้ความผิด
ฮ่องเต้ล้มล้างการพิจารณาคดีของตนเองในตอนนั้นด้วยตนเอง หลอกุ้ยผินนั้นไม่ได้มีเจตนาปองร้ายฮองเฮา แม่นมคนนั้นตายเพราะก่อเตาถ่าน
การตัดสินคดีความนี้ถูกประกาศในราชสำนัก เหล่าขุนนางต่างก็ตกตะลึง
ฮ่องเต้ออกมายอมรับว่าตนเองตัดสินคดีในตอนนั้นผิดไปในเวลานี้มีความไม่เหมาะสมอยู่บ้างกระมัง ในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยกำลังอวดดีอย่างที่สุด
แต่ว่า ความหมายของฮ่องเต้หมิงหยวนคือ ไม่ให้เป่ยถังต้องเกิดคดีความที่ไม่เป็นธรรมขึ้นอีก
เขาตัดสินคดีผิด ทำให้หลอกุ้ยผินต้องตายอย่างไร้ความผิด ทำให้ตระกูลหลอต้องประสบกับชะตากรรมบ้านแตกสาแหรกขาด ฉะนั้นเขาจึงได้สั่งลงโทษตนเอง ด้วยการโบยตนเองแปดสิบไม้
อ๋องจี้กตัญญู คุกเข่าลงทันที เพราะอยากจะช่วยแบ่งเบาเสด็จพ่อ รับไปสิบห้าไม้
อ๋องอันก็ออกหน้าทันที รับไปสิบห้าไม้
อ๋องซุนเดินออกมาอย่างอ่อนแอ ก็รับไปสิบห้าไม้เช่นกัน
อ๋องชินลุ่ยน้องชายมารดาเดียวกัน ก็ออกมาขอรับไปสิบไม้
ทุกคนจึงมองไปทางหยู่เหวินเห้า
อ๋องฉีกับอ๋องหวยนั้นไม่มา เจ้าแปดกับเจ้าเก้าก็ไม่อยู่ในตำหนัก
หยู่เหวินเห้ารู้ว่าวันนี้จะต้องพูดถึงคดีความของหลอกุ้ยผินในราชสำนัก ฉะนั้น เขาจึงเดินทางเข้ามาในราชสำนักตั้งแต่เช้า
แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะออกมาเป็นเช่นนี้ เขาไม่สามารถถูกตีได้อีกแล้ว ถ้าถูกโบยอีก ก้นของเขาคงบานเป็นดอกไม้แน่
โสวฝู่อยู่ตรงหน้าของเขา หันกลับไปมองเขาด้วยสายตาเรียบๆ “ถึงคราวท่านอ๋องแล้ว”
หยู่เหวินเห้าร้อนใจจนควันจะลอยออกจากลำคอแล้ว “อย่ารีบร้อน ข้าก็คิดไว้แล้ว”เขาพึมพำพลางนับนิ้ว “พี่ใหญ่สิบห้า พี่รองสิบห้า พี่สี่สิบห้า เสด็จอาสิบ นั่นก็เท่ากับห้าสิบห้า แปดสิบไม้ลบไปห้าสิบห้าไม้……”
โสวฝู่ฉู่พูดอย่างใจดีว่า “ท่านอ๋อง ยังเหลือสิบห้าไม้”
สมองของหยู่เหวินเห้าวุ่นวายอยู่นิดๆ สีหน้าค่อยๆขาวซีดลง สิบห้าไม้ก็นับว่าเยอะแล้ว บาดแผลก่อนหน้านี้ยังไม่ทันได้หายดี ดีที่สุดคือห้าไม้ก็น่าจะพอ เขาเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเสด็จพ่อมองเขาอย่างเคร่งขรึม ทรงอำนาจจนสั่นสะเทือน
สองขาของหยู่เหวินเห้าก็คดงอคุกเข่าลงอย่างช่วยไม่ได้ เอ่ยอย่างไม่เต็มใจเลยสักนิดว่า “ลูกยินดียอมรับโทษทัณฑ์ที่เหลือของเสด็จพ่อ”
สีหน้าของฮ่องเต้หมิงหยวนจึงค่อยๆผ่อนคลายลง
โสวฝู่ฉู่เอ่ยชื่นชม “ท่านอ๋องช่างกตัญญูยิ่งนัก ใช่แล้ว เมื่อครู่กระหม่อมคำนวณผิดไป ไม่ใช่สิบห้าไม้ แต่เป็นยี่สิบห้าไม้จึงจะถูกต้อง อายุมากแล้ว นับเลขไม่แม่นยำ ท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย”
ชั่วขณะนั้นหยู่เหวินเห้ารู้สึกว่าครึ่งร่างของตัวเองได้ถูกฝังเข้าไปในดินแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมามองโสวฝู่ฉู่แวบหนึ่ง แววตาของโสวฝู่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่าเขานั้นจงใจทำ
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองลูกชายทั้งสามคน ตอนนี้เพิ่งจะรู้สึกได้ว่าเลี้ยงลูกชายก็มีประโยชน์อยู่บ้าง
เพียงแต่ พอเหลือบไปเห็นเจ้าห้าที่มีทีท่าน่าสังเวชใจยิ่งนัก ในใจก็เกิดความรู้สึกโมโหขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขามันสำออย
นอกประตูทิศใต้ บนลานโอ่อ่ายิ่งใหญ่
ลมหนาวพัดโชย แต่ก็มีดวงตะวันในฤดูหนาวคอยสาดส่อง
ทหารรักษาพระองค์กลุ่มหนึ่งยืนอยู่ เหล่าอ๋องกลุ่มหนึ่งก็หมอบลง
ไม้พลองที่หนาหนักฟาดลงไป ก็เกิดเสียงร้องในลำคอดังขึ้นหนึ่งระลอก
หยู่เหวินเห้ากัดฟันไว้แน่น อดทนต่อความเจ็บที่ไม้ฟาดลงมา รสชาติเช่นนี้ ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก
ยี่สิบห้าที ทำไมเขาต้องถูกโบยยี่สิบห้าที
อ๋องชินลุ่ยถูกประคองให้ลุกขึ้นมาก่อน ก้าวอย่างมั่นคงเข้าไปข้างในเพื่อทายา
จากนั้น อ๋องซุนอ๋องจี้และอ๋องอันต่างก็ถูกช่วยประคองขึ้น แม้ว่าฝีเท้าจะโซเซอยู่บ้าง แต่ก็ยังพอเดินได้
เสียง“ป้าบๆๆๆ”ยังคงดังขึ้นต่อเนื่อง หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลยสักนิด น้ำตาที่รื้นขอบตาแทบจะเป็นสายเลือด กัดฟันอดทนต่อยี่สิบห้าไม้นี้
เขานั้นถูกลากเข้าไปข้างใน สองขาของเขาไร้หนทางจะยืนขึ้นได้แล้ว ไม่สู้ให้เขาเอาหัวชนฝาตายจะดีกว่า ไม่สามารถขยับตัวได้เลย ให้ทหารรักษาพระองค์กึ่งประคองกึ่งลากตัวเขาไปตามอำเภอใจ
หน้าประตูตำหนักหลัก เหล่าขุนนางต่างตั้งตารอดู รอยยิ้มของโสวฝู่นั้นช่างอบอุ่นยิ่งนัก ตอนที่หยู่เหวินเห้าถูกลากตัวเข้ามา โสวฝู่ก็ถามขึ้นอย่างเป็นห่วงเป็นใยว่า “ท่านอ๋องไหวหรือไม่”
หยู่เหวินเห้ากัดฟันพูดโต้ตอบไปว่า “ไม่ตายหรอก จะจดจำบุญคุณของท่านโสวฝู่เอาไว้”
“สมควรจำ สมควรคำ เรื่องวันนี้ ท่านอ๋องถือเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการสร้างความดีความชอบ” โสวฝู่พูดยิ้มๆ
ทันใดนั้นหยู่เหวินเห้าก็มีความคิดอยากจะฆ่าคนขึ้นมา เพียงแต่ไม่มีแรงแล้วเท่านั้น
ฮ่องเต้หมิงหยวนลงบัญชา หลังจากท่านอ๋องทั้งหลายทายาเรียบร้อยแล้ว ให้ส่งกลับจวนอ๋องเพื่อพักฟื้น
ทังหยางที่เห็นหยู่เหวินเห้าถูกส่งกลับมาในสภาพที่หมอบอยู่บนรถม้า ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ ถามถึงสาเหตุความเป็นมา หยู่เหวินเห้าพูดอย่างแค้นเคืองว่า “เห็นได้ชัดว่าเป็นความผิดของเสด็จพ่อ ทำไมคนที่ถูกตียังต้องเป็นข้า”
ทังหยางเจ็บปวดใจนัก “โธ่เอ๋ย ท่านอ๋องคนดีของข้า ก้นของท่านเมื่อไหร่จึงจะหลุดพ้นจากการทุกข์ทรมาน พระชายารู้เข้าก็ต้องร้อนใจอีก ”
“อย่าบอกนาง” หยู่เหวินเห้าพยายามยกร่างตัวเองขึ้น ภายใต้การประคองของทังหยาง ลงจากรถม้า
“เกรงว่าไม่พูดจะไม่ได้ ท่านไม่ไปวันเดียว พระชายาก็ร้อนใจจะแย่แล้ว” ทังหยางพูด
สุดท้าย เขาก็พูดขึ้นมาอีกว่า “อีกอย่างปากของสวีอีก็ปิดไว้ไม่อยู่ กำชับเป็นหมื่นครั้งก็ไม่สู้คำถามเดียวของพระชายา”
หยู่เหวินเห้ากัดฟันทนต่อความเจ็บปวด “อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ เจ้าไปหายาที่ค่อนข้างดีสักหน่อย ยาที่ทาให้ในวังไม่รู้ว่าเป็นอะไร ทำไมจึงได้ปวดแสบปวดร้อนนัก กลับเจ็บกว่าตอนแรกเสียอีก”
ทังหยางประคองเขาเข้าไปข้างใน สำรวจอยู่ชั่วครู่ ก็เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ทำไมบนพื้นจึงมีขิงบด นี่ย่อมต้องปวดแสบปวดร้อนเป็นธรรมดา ”
“ขิงบด” หยู่เหวินเห้าโมโหถึงขีดสุด “เป็นยาที่มู่หรูกงกงทาให้ข้าเองกับมือ ทำไมจึงเป็นขิงบดไปได้ ทำไมเขาไม่ทากระเทียมบด ย่างข้ากินให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”
ทังหยางจะร้องไห้ก็ไม่ใช่จะหัวเราะก็ไม่เชิง “ท่านอ๋อง ใช่เรื่องที่ท่านวางยาในกระถางธูปหอมของฮ่องเต้หรือไม่ แล้วก็ถูกฮ่องเต้รู้เข้า”
“เป็นไปไม่ได้” หยู่เหวินเห้าปฏิเสธเต็มปากทันที “ถ้ามู่หรูกงกงกล้าที่จะสารภาพเรื่องนี้ เขาเองก็จะหนีไม่พ้นเป็นคนแรก”
ทังหยางมองเนื้อหนังที่เกือบจะเหวอะหวะของเขา พูดว่า “สวรรค์ นี่ทาอะไรลงไปกันแน่ ช่างทุกข์ทรมานเสียจริง ”
เขาวิ่งออกไปเรียกแม่นมฉีกับฉีหลอ คนหนึ่งเอาน้ำร้อน คนหนึ่งเอายา
ล้างทำความสะอาดบาดแผลใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็ทายาที่มีฤทธิ์เย็น ในที่สุดหยู่เหวินเห้าก็รู้สึกว่าก้นนี้เป็นของตัวเองเสียที
เขาครางอย่างเจ็บปวดอยู่ชั่วครู่ “ทังหยาง ประเดี๋ยวช่วยไปหาหมอดูให้ข้าที ดูสิว่าก้นของข้าไปแหย่ใครเขาเข้าใช่หรือไม่”
ทังหยางก็รู้สึกว่าสมควรต้องดูฮวงจุ้ยสักหน่อยแล้ว ไฉนจึงได้ถูกโบยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าหากจะบอกว่าตนเองทำผิดนั่นก็แล้วไป ครั้งที่แล้วก็ซวยเพราะอ๋องฉี ครั้งนี้ต้องแบกรับแทนฮ่องเต้โดยตรง
“ท่านอ๋องโปรดวางใจ ข้าน้อยจะหาคนมาปัดเป่าความโชคร้าย” ทังหยางพูด
“เจ้าเอาจริงหรือ” หยู่เหวินเห้ามองเขาอย่างไร้เรี่ยวแรงแวบหนึ่ง “ช่างมันเถอะ พูดไปถึงเรื่องภูตผีแล้ว ข้าจะถูกบีบจนเป็นบ้าแล้ว”
“ไม่ต้องสนใจว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ ลองเชิญมาดูย่อมไม่เลวแน่นอน” ทังหยางรู้สึกว่าเป็นคนต้องมีความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยบ้าง ไม่มีเหตุผลที่จะซวยได้ขนาดนี้
“คนอื่นเขามากสุดก็รับไปแค่สิบห้าไม้ ส่วนข้าไปแหย่ใครเขาเข้าหรืออย่างไร” หยู่เหวินเห้าคร่ำครวญ
ดวงตาของทังหยางเกือบจะถลนออกมาแล้ว “ท่านอ๋อง เป็นปีชงของท่านใช่หรือไม่ ”
“ไม่ใช่ คนที่ชงคือพ่อข้า” หยู่เหวินเห้านอนหมอบอยู่ชั่วครู่ ในใจเป็นหงุดหงิดยิ่งนัก นอนคว่ำอยู่อย่างนี้จมูกหายใจได้ไม่สะดวก ทรมานจริงๆ
หลังจากทังหยางจัดการบาดแผลให้เขาจนเรียบร้อยแล้ว ก็พูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีอะไรให้ต้องบ่นแล้ว ทนเอาเถอะ หวังว่าจะไม่มีครั้งหน้าอีก”
“ถ้ายังมีครั้งหน้า ข้าจะตัดหัวมันเสียให้สิ้นเรื่อง” หยู่เหวินเห้าพูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกอย่างรุนแรง
ทังหยางทั้งอยากจะหัวเราะทั้งรู้สึกปวดใจ ห่มผ้าห่มให้เขา พูดว่า “อย่างไรก็ให้คนไปรายงานพระชายาสักหน่อยจะดีกว่า ”
“หาคนที่พูดจาอ่อนโยนสักหน่อยไปแล้วกัน” หยู่เหวินเห้ารีบพูดขึ้น
“เช่นนั้นก็ให้แม่นมฉีไป” ทังหยางเก็บข้าวของเดินออกไป