บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 399
หยู่เหวินเห้าไม่มีไข้แล้ว นอนหลับสนิทมาก ตะแคงหน้าไปด้านหนึ่ง เผยให้เห็นรูจมูกแค่ข้างเดียวที่เป่าลมหายใจ ราวกับกำลังเป่าขลุ่ยอย่างไรอย่างนั้น เสียงยาวและเล็กแหลม
หยวนชิงหลิงก็ไม่สนใจที่จะไปชื่นชมท่าทีอันอัปลักษณ์ของเขา ปีนขึ้นไปบนเตียงหัวถึงหมอนก็หลับไป
เพิ่งจะหลับตาลง นางสาบานได้ว่าเพิ่งจะหลับตาลงจริงๆ ก็ได้ยินเสียงหมันเอ๋อเข้ามาพูดว่า “พระชายา เสียนเฟยเสด็จเพคะ”
แม่สามีคนดี
หยวนชิงหลิงรู้สึกหายง่วงเป็นปลิดทิ้งขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันขนก็ลุกไปทั้งร่างจนเห็นเป็นผิวหนังไก่
แม่สามีของนาง เสียนเฟยคนนั้นที่ไม่ชื่นชอบนางตลอดมา
นางลุกขึ้น ลงจากเตียงจากทางปลายเตียง เพราะเกรงจะไปแตะถูกบาดแผลของเขา
ก้มลงไปหอมที่ใบหน้าของเขาหนึ่งครั้ง หยู่เหวินเห้ายกมือขึ้นเกาไปทีหนึ่ง “อย่ายุ่ง กำลังนอน”
หยวนชิงหลิงร้องเห้อเสียงหนึ่ง ใช้แรงถูกใบหน้าที่ถูกเกาจนรู้สึกเจ็บ “เป็นหมูจริงๆ”
นางเรียกให้หมันเอ๋อมาช่วยนางแต่งตัวและแต่งหน้าอย่างเรียบง่าย แล้วก็รีบออกไปต้อนรับทันที
เสียนเฟยออกจากวัง ขบวนเสด็จใหญ่มาก
ในลานบ้านเต็มไปด้วยเหล่าขันทีและนางกำนัลในวังที่ยืนอยู่ เห็นหยวนชิงหลิงออกมา ต่างก็ย่อตัวคำนับ
หยวนชิงหลิงนึกว่าเสียนเฟยจะอยู่ในโถงใหญ่ที่ใช้รับแขก แต่กลับถูกอะซี่ดึงตัวเอาไว้ พูดว่า “เสียนเฟยยังคงอยู่ในรถม้าหงส์ รอให้ท่านไปต้อนรับ ”
“อยู่ในรถม้าหงส์ นั่งรถม้าหงส์ใหญ่เนี่ยนะ” หยวนชิงหลิงรู้สึกเวียนหัวไปหมด ไม่เคยเห็นแม่สามีที่ชอบวางมาดขนาดนี้มาก่อน คนในก็เข้ามาข้างในกันหมดแล้ว นางยังจะรอให้ไปต้อนรับอีก
หยวนชิงหลิงบ่นอยู่ในใจ ไม่กล้าที่จะแสดงออกทางสีหน้าให้เห็นว่าไม่พอใจ
เพราะว่ามีคนบางคน ที่เราจะไปล่วงเกินไม่ได้ นั่นก็คือสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแม่สามี
ก็ไม่แปลก ลูกชายที่คนอื่นเขาเลี้ยงดูมากว่ายี่สิบปี ไม่ทันได้ระวังตัวก็ถูกนางคว้าเอาไปแล้ว ไหนเลยจะไม่รู้สึกโมโหแค้นเคือง
เพราะฉะนั้น แม่ผัวลูกสะใภ้นั้นเป็นศัตรูโดยธรรมชาติ อยู่ด้วยกันก็มีแต่จะเข่นฆ่ากันเอง
อากาศหนาวมาก บนถนนที่ทอดยาวมีลมหนาวพัดโบก ทหารรักษาพระองค์ยืนเรียงเป็นแถวสองฟากฝั่ง มีจำนวนสิบสองคน
เสียนเฟยนั่งอยู่บนรถม้าหงส์ กระทั่งได้ยินเสียงแม่นมพูดว่าพระชายาออกมารับเสด็จแล้ว นางจึงตอบรับหนึ่งเสียงอย่างไม่ใคร่จะสนใจไยดีนัก รอให้แม่นมเลิกผ้าม่านขึ้น
หยวนชิงหลิงย่อตัวคำนับ “ลูกคำนับท่านแม่ ไม่ทราบว่าท่านแม่จะเสด็จ จึงไม่ได้เตรียมการต้อนรับ ขอท่านแม่อภัยด้วย”
เสียนเฟยสวมชุดกระโปรงของหญิงชาววังสีดอกท้อปักลายดอกเสาเย่าสีเงิน คลุมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวทั้งตัว มวยผมเป็นทรงเมฆลอย บนศีรษะเต็มไปด้วยลูกปัดหยก เป็นความสูงสง่าและฟุ่มเฟือยที่อธิบายไม่ถูก
ที่สำคัญคือดูล้ำค่า
นางลงจากรถม้า มือวางอยู่บนหลังมือของแม่นม เล็บสีแดงเข้มดุจหยดเลือด ค่อยๆเดินเข้ามา เหลือบตาขึ้นมอง มองกวาดหยวนชิงหลิงอย่างเรียบๆแวบหนึ่ง พูดว่า “ผมเผ้ายุ่งเหยิง ชุดก็ไม่เรียบร้อย ไม่แต่งองค์ทรงเครื่อง พระชายาเช่นเจ้า ยิ่งอยู่ก็ยิ่งทำตามใจ”
หยวนชิงหลิงยกมือขึ้นจับไปที่มวยผมอย่างไม่รู้ตัว เมื่อครู่กำลังนอนหลับหยู่ เพราะต้องรีบร้อนออกมารับเสด็จ จึงได้จัดทรงหวีลวกๆ พอเดินออกมาสักระยะ ผมย่อมต้องคลายออกเป็นธรรมดา
ส่วนเรื่องเสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อย นางก็ส่องดูแล้ว ที่จริงจะบอกว่าไม่เรียบร้อยก็ไม่ได้ มากสุดก็แค่เสื้อผ้าไม่มากพอ จึงทำให้รู้สึกหนาวมาก
ลมพัดมาระลอกหนึ่ง ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะจามออกมา
เสียนเฟยปิดจมูกและปากเอาไว้ เอ่ยอย่างรังเกียจว่า “เจ้านี่มันอะไรกัน จงใจจะหาเรื่องข้าใช่หรือไม่ ”
หยวนชิงหลิงรู้สึกอุดตันในจมูก พูดว่า “มิกล้า ลูกมัวแต่คอยดูแลท่านอ๋องจนไม่มีเวลาถอดชุด และไม่ได้เปลี่ยนชุดใหม่ ขอท่านแม่อภัยด้วย”
พูดถึงลูกชาย เสียนเฟยก็คลายมือที่ปิดปากและจมูกออกมา เดินเข้าไปข้างใน ถามขึ้นว่า “เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
หยวนชิงหลิงเดินตามเข้าไป พูดว่า “เรียนท่านแม่ เมื่อคืนมีไข้สูง เพิ่งจะลดลงวันนี้ ตอนนี้ได้นอนหลับไปแล้ว”
“ไข้สูงจนเพิ่งจะลดลงวันนี้ เจ้าเป็นคนรู้วิชาแพทย์มิใช่หรือ ทำไมไม่ทำการรักษาให้เขา” เสียนเฟยตำหนิเสียงดุดัน
หยวนชิงหลิงได้แต่ยิ้มตอบ “รักษาแล้ว ถ้าไม่รักษา ป่านนี้ก็ยังคงมีไข้ไม่ลดลง”
เสียนเฟยหยุดฝีเท้าลง หันกลับไปมองนาง เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้ากำลังสาปแช่งเขาหรือ”
หยวนชิงหลิงเกือบจะชนร่างนางแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะหยุดฝีเท้าลงได้ พอได้ยินคำพูดนี้ สะกดกลั้นอารมณ์ชั่ววูบที่อยากจะใช้หมัดชกเข้าไปที่เบ้าตาของนางเอาไว้ พูดว่า “มิกล้า ลูกไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ”
“แล้วเจ้าหมายความว่าอย่างไร เสนอความดีความชอบหรืออย่างไร” เสียนเฟยไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ
หยวนชิงหลิงหันกลับไปมองแม่นมสี่อย่างขอความช่วยเหลือ ส่งสายตาให้ แม่นมสี่ มีวิธีการรับมือกับหญิงไร้เหตุผล เจ้าช่วยที
แม่นมสี่อมยิ้มเดินเข้าไปประคองเสียนเฟย“ ท่านหญิง ข้าน้อยไม่ได้พบท่านมาหลายวันแล้ว ทำไมจึงรู้สึกว่าท่านดูอ่อนเยาว์ลงกว่าแต่ก่อนมาก ดูผิวของท่านซิขาวเนียนละเอียดมาก เมื่อครู่ข้าน้อยยังคิดว่าตาฝาดดูผิดไป ไม่ทราบว่าท่านหญิงทานยาอะไร ”
หญิงอายุตั้งแต่สิบแปดจนแปดสิบต่างก็ชื่นชอบที่คนอื่นบอกว่าตนเองนั้นดูอ่อนเยาว์งดงาม แม้จะรู้ว่าแม่นมสี่นั้นก็แค่พูดชื่นชมให้ดีใจไปอย่างนั้นเอง แต่ก็ทำเอาอารมณ์ขุ่นมัวในใจของเสียนเฟยลดลงไปกว่าครึ่ง พูดยิ้มๆว่า “ดูแม่นมพูดเข้า ข้ายังอ่อนเยาว์หรือ แก่แล้ว ใกล้จะสี่สิบแล้วนะ และก็ไม่ได้กินยาอะไร ยังคงเป็นยาเป่ยมีที่แม่นมให้ข้าก่อนหน้านี้ ยานี้กินแล้วดีมาก ข้าเองก็รู้สึกว่าผิวพรรณเนียนเรียบขึ้น ริ้วรอยที่หางตา เจ้าลองดูสิว่าจางลงบ้างแล้วใช่หรือไม่ ”
ที่จริงก็อายุสี่สิบสองแล้ว
แม่นมสำรวจดูอย่างละเอียด แล้วก็อุทานขึ้น “สวรรค์ จางลงบ้างแล้วจริงๆ ถ้าหากท่านหญิงไม่ขมวดคิ้ว ก็มองไม่เห็นว่ามีเส้นริ้วรอยเล็กๆอยู่ ”
เสียนเฟยตบไปที่หลังมือนาง หัวเราะแล้วก็ถอนหายใจหนึ่งเฮือก “ผู้คนในวัง ต่างก็พูดจาไม่จริงใจ ก็มีแต่แม่นมสี่เจ้านั่นแหละที่พูดจาเปิดเผยตรงไปตรงมา ”
แม่นมสี่ยิ้มประคองนางเข้าไป “ท่านหญิง ข้าน้อยอยู่มาครึ่งค่อนชีวิตแล้ว ไม่ชอบการเสแสร้งแกล้งทำเป็นที่สุด……”
หยวนชิงหลิงเดินตามอยู่ข้างหลัง รู้สึกผ่อนคลายอย่างเงียบๆ
นางรู้ว่าแม่สามีโมโหเรื่องอะไร นอกจากเรื่องที่เจ้าห้าได้รับบาดเจ็บ ก็มีเรื่องของคุณหนูฮู่
ไหนเลยนางจะไม่รู้ความคิดของแม่สามี
คาดหวังมาตลอดว่าอยากจะให้เจ้าห้าเป็นรัชทายาท ถ้าหากแต่งกับคุณหนูฮู่ เช่นนั้นชัยชนะก็ย่อมมีสูงมาก สูญเสียแรงหนุนที่แข็งแกร่งไป แม่สามีก็ห่างไกลจากความฝันไปอีกก้าว เกรงว่าหัวใจก็เกือบจะสลายไปด้วยแล้ว
การออกจากวังเพื่อมาดูลูกชายนั้นเป็นเรื่องแสร้งทำ แต่หาข้ออ้างเพื่อออกมาตำหนินางเพื่อระบายอารมณ์นั้นเป็นเรื่องจริง
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าห้าได้รับบาดเจ็บ ก็ไม่เคยเห็นนางจะรู้สึกตื่นเต้นจนต้องมาดูดำดูดีเช่นนี้มาก่อน
และแล้ว พอเสียนเฟยไปถึงตำหนักเซียวเยว่ มองดูหยู่เหวินเห้าชั่วครู่ น้ำตาตกอยู่สองสามหยด หลังจากพูดพร่ำว่าชีวิตลูกชายลำบากแล้ว ก็เรียกให้หยวนชิงหลิงออกไป บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับนาง
หยวนชิงหลิงได้แต่เดินตามออกไปอย่างจนใจ ตอนนี้นางอยากจะเป็นลมไปเสียจริงๆ
ที่จริง นางก็ใกล้จะเป็นลมเข้าไปทุกที นางง่วงจนสามารถนอนหลับไปได้ทุกเมื่อแล้วตอนนี้
หญิงตั้งครรภ์นั้นง่วงนอนง่ายมากจริงๆ
เข้าไปในห้องรับรองด้านข้าง ก่อเตาไฟให้ความอบอุ่น เสียนเฟยก็จ้องหยวนชิงหลิงเขม็ง “ได้ยินมาว่า เจ้าไม่อนุญาตให้ท่านอ๋องแต่งงานกับคุณหนูฮู่เพื่อมาเป็นรองพระชายาหรือ”
คำถามนี้ไม่ว่าจะตอบว่าอย่างไรก็ตายอยู่ดี
นางได้ปฏิเสธไปต่อหน้าฮ่องเต้จึงได้ถูกไล่กลับไปอยู่บ้านมารดา แม่สามีก็คงจะรู้เรื่องนี้ดี
ถ้าตอบว่าใช่ เช่นนั้นก็คงต้องถูกตำหนิยกใหญ่
ฉะนั้น หยวนชิงหลิงจึงตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ท่านแม่ นี่ไม่ใช่ความคิดของลูก นี่เป็นความคิดของท่านอ๋อง ท่านอ๋องไม่กล้าเนรคุณต่อเสด็จพ่อ จึงได้แต่ใช้ให้ข้าเป็นโล่กำบัง ให้ข้าพูดต่อหน้าเสด็จพ่อว่าไม่อนุญาตให้เขาแต่งพระชายารอง เสด็จพ่อจะได้เห็นแก่ที่ข้ามีครรภ์ ลงโทษในสถานเบา”
สามี มีเขาไว้เพื่อขาย หยวนชิงหลิงไม่ได้รู้สึกผิดและไม่รู้สึกละอายเลยสักนิดเดียว
เห็นได้ชัดว่าเสียนเฟยไม่เชื่อ ตบโต๊ะดังปัง “พูดจาเหลวไหล เรื่องนี้มีแต่ประโยชน์ไร้ซึ่งผลเสียต่ออนาคตของเขา ทำไมเขาจะไม่เห็นด้วย”
หยวนชิงหลิงเช็ดน้ำตาที่หัวตาอย่างเศร้าสร้อย สวรรค์ ง่วงจริงๆ
“ท่านแม่ นี่คือเรื่องจริง ท่านอ๋องบอกว่าคุณหนูฮู่เติบโตอยู่ที่ชายแดนทางเหนือมาตั้งแต่เล็ก คงมีนิสัยเอาแต่ใจไร้กรอบระเบียบบังคับ อีกทั้งตระกูลมารดาก็มีอำนาจมาก หลังจากแต่งเข้าจวน เกรงว่ายากจะสั่งสอนดูแล เกิดเป็นหายนะขึ้นมา”
นางรู้สึกผิดต่อคุณหนูฮู่คนนั้นที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนสักครั้ง แม้ว่า ภายนอกจะมีการพูดถึงว่าคุณหนูฮู่นั้นจะจองหองอวดดีจริงๆก็ตาม แต่ก็ไม่เคยสัมผัสด้วยตนเองมาก่อน ข่าวลือก็มีข่าวเท็จเช่นกัน