บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 402
ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงรู้สึกไม่พอพระทัยขึ้นมาแล้ว อาหารมื้อนี้ที่เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยจงใจสำรอกออกมา ดูจะใหญ่โตเกินตัวไปหน่อยแล้วกระมัง? แม้จะพูดว่าตอนนี้เขาได้เลื่อนชั้นยศขึ้นมาเป็นเจ้าพระยาแล้วก็จริง แต่ก่อนที่เขาจะได้ไปเจิ้งเป่ย ก็ไม่ใช่ว่าเป็นเพียงแม่ทัพคนหนึ่งเท่านั้นหรอกรึ?
แม้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาจะทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงใจแรงกายไปมากมาย แต่ราชสำนักก็ไม่เคยปฏิบัติต่อคนในตระกูลของเขาอย่างละเลยแม้แต่น้อย แม่ของเขาได้รับการพระราชทานยศเป็นฮูหยินตราตั้ง นี่ก็นับว่าเป็นเกียรติยศขนาดไหนแล้ว?
เพียงแต่ ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงมีความคุ้นชินในการติดต่อสื่อสาร รวมถึงรับมือกับบรรดาขุนนางมากมายหลากหลายประเภท ดังนั้น พระองค์จึงส่ายพระพักตร์เพียงน้อย ๆ พลางตรัสว่า “คนวัยหนุ่มสาวมักชอบใช้อารมณ์เป็นธรรมดา เป็นข้าเองที่สั่งให้นางกลับบ้านไปคิดทบทวนตัวเองเสียใหม่ หลังจากที่นางคิดทบทวนในความผิดได้ แน่นอนว่าย่อมต้องขัดเกลาจิตใจและนิสัยของตนเองได้ใหม่เป็นธรรมดา”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยยังคงยกยิ้มน้อย ๆ “เช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ? เห็นจะเป็นไปตามนั้นจริงๆ แต่สรุปแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องภายในครอบครัวของอ๋องฉู่ หม่อมฉันจะพูดอะไรมากไปก็คงไม่ดีนัก ฝ่าบาทตรัสว่าพระองค์จะทรงพระราชทานงานแต่งให้กับก่วงถิงลูกสาวหม่อมฉัน ไม่ทราบว่าเป็นคุณชายตระกูลไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ? ขอพระองค์อย่าทรงล้อเล่นกับหม่อมฉันเลย ลูกสาวคนนี้เอาแต่ใจตัวเองมาตั้งแต่ยังเล็ก เกรงว่าถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป อาจจะไม่เข้าตานางก็เป็นได้”
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากไม่ใช่ตำแหน่งชายาเอกของอ๋องชิน เขาจะไม่พิจารณาเรื่องนี้นั่นเอง
ฮ่องเต้หมิงหยวนก็ไม่ได้เร่งรีบ เพียงยกถ้วยชาขึ้นมา จิบช้า ๆ พลางตรัสว่า “การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ในเมื่อเป็นเรื่องใหญ่ เป็นธรรมดาที่ควรต้องถามความคิดเห็นของท่านเจ้าพระยาก่อน ส่วนจะเลือกใครข้ายังไม่ได้ตัดสินใจ แต่เผอิญว่าเมื่อวานเสียนเฟยได้เชิญคุณหนูฮู่เข้าวังมาสนทนาคลายเหงา พวกนางทั้งสองดูสนิทสนมเข้ากันได้ดี ดูคล้ายจะมีชะตาต้องกันไม่น้อย ”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เรื่องนี้หม่อมฉันก็ได้ยินจากลูกสาวมาแล้วเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ ลูกสาวหม่อมฉันเคารพเทิดทูนเสียนเฟยอย่างยิ่ง นางยังบอกด้วยว่า หากนางได้รับเกียรติเป็นลูกสะใภ้ที่แท้จริงของเสียนเฟย นั่นคงเป็นสิ่งที่วิเศษสุดอย่างไม่อาจหาอะไรมาทดแทนได้”
“ลูกสะใภ้ก็คือลูกสะใภ้ ยังมีลูกสะใภ้จริงลูกสะใภ้ปลอมอะไรกัน ?” ฮ่องเต้หมิงหยวนแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ พลิกลิ้นอย่างไร้ความจริงใจขึ้นมาทันควัน
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยกลับสวนขึ้นแบบไม่อ้อมค้อมว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเพียงลูกสาวคนนี้คนเดียว เป็นธรรมดาที่จะไม่อาจตัดใจยอมให้นางต้องพบเจอความน้อยเนื้อต่ำใจได้ ในเมื่อนางบอกว่าอยากแต่งให้กับอ๋องฉู่ เช่นนั้นก็ต้องเป็นชายาเอกของอ๋องฉู่เท่านั้น หม่อมฉันไม่อาจให้นางต้องทนน้อยเนื้อต่ำใจ แต่งเข้าไปในฐานะของอนุได้”
ฮ่องเต้หมิงหยวนทอดพระเนตรใบหน้าหนวดเคราครึ้มของเจ้าพระยาเจิ้งเป่ย โทสะปะทุขึ้นมาทั่วทั้งสรรพางค์กาย ช่างตรงไปตรงมาเสียจริงนะ ประเพณีพื้นบ้านอันแข็งแกร่งในเจิ้งเป่ย หล่อหลอมให้เขามีขวัญกล้าอาจหาญขึ้นมาไม่น้อยเลยจริง ๆ
ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมาเสียแล้ว พระองค์ควรฟังเจ้าห้า เจ้าเด็กหัวดื้อนั่นพูดแต่แรกว่าให้รับฮุ่ก่วงถิงเป็นลูกบุญธรรม แล้วค่อยมอบตำแหน่งองค์หญิงให้ เรื่องต่าง ๆ ก็คงจะง่ายกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ไปแล้ว
แรกเริ่มเดิมที ตระกูลของเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยไม่นับว่ามีสถานะสูงส่งอะไร ในรุ่นบรรพบุรุษก็ไม่เคยปรากฏขุนนางผู้มียศตำแหน่งสูงอะไร ได้เป็นชายารองของอ๋องชิน ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องน่าน้อยเนื้อต่ำใจแล้ว
ดูเหมือนว่า ใจคนจะไม่รู้จักเพียงพอแล้ว
ฮ่องเต้หมิงหยวนวางถ้วยน้ำชาลง ตรัสอย่างราบเรียบว่า: “อ๋องฉู่มีชายาเอกแล้ว ราชวงศ์ไม่อาจทำเรื่องชั่วช้าอย่างการพรากแม่พรากลูกได้ ในเมื่อท่านเจ้าพระยามีความคิดเห็นในเรื่องการแต่งงานของลูกสาวมานานแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่ขอเป็นคนกลางจับคู่ให้อีก ท่านเจ้าพระยาเชิญกลับไปเสียเถอะ”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยไม่มีท่าทีตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ประสานมือคำนับแล้วก้าวถอยหลังออกไป
อ๋องฉู่ หยู่เหวินเห้า ในเมื่อเป็นคนที่เข้าตาเขาได้ขนาดนี้ อย่างไรก็ต้องเป็นลูกเขยของเขาเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยแน่นอนแล้ว
หลังจากที่เขากลับมาถึงจวน แม่ที่อยู่ที่บ้านย่อมต้องถามถึงเรื่องนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฮูหยินใหญ่ก็เป็นกังวลในเรื่องการแต่งงานของหลานสาวคนนี้เช่นกัน จนปาเข้าไปสิบเจ็ดแล้ว หากยังไม่ยอมออกเรือนอีกล่ะก็ เกรงว่านางอาจจะกลายเป็นสาวแก่ไปจริง ๆ แล้ว
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยเอ่ยตอบอย่างยินดีว่า: “ท่านแม่ ท่านโปรดวางใจเถอะ หลานเขยท่านคนนี้ ท่านจะต้องพอใจมากอย่างแน่นอน”
“ฝ่าบาททรงกำหนดคุณชายตระกูลไหนมาให้ ? เจ้ารีบบอกข้ามาเร็วเข้า” ฮูหยินใหญ่เอ่ยถาม
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยนั่งลงอย่างวางท่าใหญ่โต “อ๋องฉู่หยู่เหวินเห้า ท่านแม่ อ๋องฉู่ผู้นี้ฝีมือโดดเด่น ฉลาดหลักแหลม ใจคอมั่นคงเด็ดขาด เป็นต้นกล้าที่ดีงามยิ่งนัก”
ฮูหยินใหญ่ยิ้มพลางพูดว่า: “ต้นกล้าดีงามอะไรของเจ้า ? พูดจาเหลวไหล คนเขาเป็นถึงอ๋องชิน หลานสาวของข้า จะแต่งงานทั้งทีก็ต้องแต่งกับคนที่มีคุณสมบัติดีสิ ต้องไปสนทำไมว่าเขาจะโดดเด่นหรือไม่”
“แน่นอนว่าคุณสมบัติไม่เลวเลย” เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยพูดอย่างพึงพอใจ “เพียงแต่ว่าทางฝ่าบาทคงต้องใช้เวลาอยู่บ้าง พระองค์ไม่คิดจะให้ถิงเอ๋อเป็นชายาเอก มากที่สุดคือตำแหน่งชายารอง ช่างเป็นเรื่องไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย”
“ ชายารอง? อ๋องฉู่ผู้นี้แต่งชายาเอกแล้วรึ? ” ฮูหยินใหญ่ตกใจจนชะงักไปครู่หนึ่ง
แม่นมที่อยู่ข้างกายนาง รีบกระซิบที่ข้างหูของนางทันทีว่า: “ฮูหยินใหญ่ ท่านลืมแล้วหรือเจ้าคะ? ผู้หญิงคนที่ช่วยชีวิตท่านไว้ในสำนักนางชีหมิงเยว่ ก็คือพระชายาฉู่อย่างไรล่ะเจ้าคะ”
ฮูหยินใหญ่มีหรือจะกล้าลืมผู้มีพระคุณ? เพียงแต่ไม่ได้คิดเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างท่านผู้มีพระคุณกับอ๋องฉู่ไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินที่แม่นมเอ่ยเตือน จึงรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “ข้าจำได้แล้ว ข้าจำได้แล้ว”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยได้ยินดังนั้นก็ประหลาดใจ เอ่ยถามขึ้นว่า “ชายาฉู่อะไร? ใครเคยช่วยชีวิตท่าน? ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไปรึ?”
ฮูหยินใหญ่จึงเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสำนักนางชีหมิงเยว่ให้เขาฟัง จากนั้นจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ : “หากไม่ใช่เพราะนางแล้วล่ะก็ วันนี้แม่ของเจ้าไหนเลยจะมีโอกาสได้เห็นเจ้ากลับมาบ้าน? ป่านนี้น่ากลัวว่าศพจะเหม็นเน่า ถูกหนอนชอนไชไปแล้วกระมัง”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยพูดอย่างประหลาดใจว่า: “ที่แท้ก็มีเรื่องเช่นนี้ด้วยอย่างนั้นรึ? ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าชายาฉู่ผู้นี้ ก็เป็นผู้มีพระคุณของครอบครัวเราน่ะสิ?”
“ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ?” ฮูหยินใหญ่ตอบกลับ
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยหดหู่ขึ้นมาแล้ว “ในเมื่อเป็นผู้มีพระคุณ แล้วจะทำให้นางยอมสละตำแหน่งได้อย่างไรกันล่ะนี่ ? ถิงเอ๋อของเราจะเป็นชายารองไม่ได้นะขอรับ หรือไม่ เราก็เหลือหนทางให้นางสักหน่อย จัดที่จัดทางไว้ให้นางใช้ชีวิตบั้นปลายสักแห่ง หากนางคลอดลูกออกมา ก็ให้เรียกถิงเอ๋อว่าแม่ ให้ถิงเอ๋อเลี้ยงดูเสมือนเป็นลูกของตัวเอง ”
“สละตำแหน่ง?” เมื่อฮูหยินใหญ่ได้ฟังคำพูดเหล่านี้ ก็บันดาลโทสะ “เจ้ากล้าดียังไงถึงกล้าทำเรื่องที่ละเมิดศีลธรรมความเป็นมนุษย์ถึงขนาดนี้ ? ยังถึงกับคิดจะไล่แม่ออกไปเก็บลูกเค้าไว้อีก นี่เจ้าพูดออกมาได้อย่างไร? ข้าฟังแล้วยังถึงกับต้องละอายใจแทนเจ้า!”
เมื่อเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยเห็นว่ามารดาโกรธมาก จึงไม่กล้าพูดเรื่องนี้อีก เปลี่ยนไปพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า “ท่านแม่ไม่ให้พูด เราก็ไม่พูดแล้วดีกว่านะขอรับ เช่นนั้นก็ให้นางเป็นชายารองดีหรือไม่? ถึงอย่างไรเจ้าพระยาจิ้งก็ไม่ใช่คนโดดเด่นมีผลงานอะไร ด้วยสถานะของตระกูลเจ้าพระยาจิ้ง ได้เป็นชายารองก็ถือว่าได้รับเกียรติยกย่องมากพอแล้ว”
“เจ้าหุบปากให้ข้าเดี๋ยวนี้!” ฮูหยินใหญ่เงื้อมือขึ้นได้ก็ฟาดออกไปอย่างแรง “คนเขาเป็นชายาเอกอยู่ดี ๆ เจ้าจะต้องไปแยกผัวแยกเมียเค้าให้จงได้ใช่หรือไม่ ? ถิงเอ๋อของเราใช่ว่าจะไม่มีใครเอา!”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยเห็นว่ามารดาโกรธจัดจริง ๆ แล้ว ก็กลัวว่าโรคหัวใจของนางจะกำเริบ จึงรีบพูดปลอบใจไปว่า “ขอรับ ๆ เป็นความผิดของลูกเองขอรับ ลูกหุบปากแล้ว ท่านแม่โปรดระงับโทสะด้วย โปรดระงับโทสะด้วย”
ฮูหยินใหญ่ยังคงโกรธไม่หาย “ถ้าเจ้ากล้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกล่ะก็ ข้าจะตีขาเจ้าให้หัก!”
“ไม่กล้าแล้วขอรับ ไม่กล้าแล้ว ” เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยนั่งลง แต่กลับอดพูดขึ้นมาอีกไม่ได้ว่า: “เพียงแต่ เป็นไปได้หรือไม่ขอรับ ว่าจะให้ถิงเอ๋อแต่งเข้าไปเป็นชายารอง?”
“ต้องแต่งกับคนในราชวงศ์ให้ได้อย่างนั้นรึ?” ฮูหยินใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงบูดบึ้ง: “ราชวงศ์มีทองคำให้เก็บไม่หวาดไม่ไหวหรืออย่างไร? แต่ละคน ๆ มีแต่เจ้าเล่ห์เสแสร้ง สมองเอาแต่คิดแผนการสารพัดไม่หยุดหย่อน ราชวงศ์ก็ใช่ว่าจะต้องดีงามทั้งหมด ตระกูลผู้รากมากดี ก็ใช่ว่าจะเป็นผู้ดีมีเงินกันทั้งหมดเสียเมื่อไหร่?”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ท่านแม่ สิ่งที่ท่านพูดมานั้นก็ไม่ผิด แต่เมื่อวานหลังจากถิงเอ๋อกลับมาจากวัง นางก็บอกว่าจะแต่งเข้าราชวงศ์ ยัยหนูนี่นิสัยดื้อรั้นยิ่งนัก เรื่องที่นางตัดสินใจไปแล้ว ต่อให้เอาม้าแปดตัวมาลากมาดึง ก็ไม่มีทางยอมถอยกลับง่าย ๆ”
ฮูหยินใหญ่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดว่า: “อ๋องฉู่แต่งชายาเอกไปแล้ว แต่ข้าได้ยินมาว่าอ๋องหวยยังไม่มี ไม่สู้ พวกเราลองไปถามทางอ๋องหวยดีหรือไม่?”
“เป็นอ๋องหวยไม่ได้ขอรับ ผีขี้โรคเช่นนั้น ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะกลับบ้านเก่า ?” เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยโบกมือซ้ำ ๆ “ไม่ได้เด็ดขาด ดีไม่ดีแต่งงานกันไปไม่ทันถึงสองปี คนก็มีอันเป็นไป นั่นไม่เท่ากับว่าต้องปล่อยให้ถิงเอ๋อกลายเป็นม่ายไปหรอกรึ?”
ฮูหยินใหญ่คิด ๆ ดูก็รู้สึกเห็นด้วย หากต้องกลายเป็นหญิงม่ายในลักษณะนี้ ย่อมส่งผลร้ายต่อชื่อเสียง อาจถึงขั้นถูกตราหน้าว่ามีดวงกินผัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งถ้าเป็นสะใภ้ในราชวงศ์ การจะหาคนใหม่หลังจากนั้นก็ยิ่งเป็นไปได้ยาก ยังไม่เท่าหาคนธรรมดาสักคนยังดีกว่า
“เช่นนั้น ก็เป็นชายารอง….. ” ฮูหยินใหญ่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “พระชายาฉู่ผู้นั้นดูกิริยาท่าทางเป็นคนโอบอ้อมอารีมีเมตตา หากถิงเอ๋อสามารถติดตามคนที่เป็นเมียหลวงที่จัดการครอบครัวเช่นนี้ได้ บางทีชีวิตของนางอาจจะราบรื่น อ๋องฉู่ผู้นี้ก็ดูเป็นคนที่มีแววว่าจะมีอนาคตยาวไกล หากวันหน้าได้ขึ้นครองสมบัติ จะดีจะชั่วอย่างไรก็ยังได้เป็นถึงกุ้ยเฟยเลยทีเดียว”
แม้ว่าเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยจะไปไม่ถึงสิ่งที่ใจมุ่งหวังไว้ แต่เขาเคารพเชื่อฟังมารดา จึงพูดขึ้นว่า: “เช่นนั้น พวกเราก็เรียกถิงเอ๋อออกมาถามดูสักหน่อย ว่านางยินยอมหรือไม่? หากนางยินยอม ลูกก็จะเข้าวังไปกราบทูลฝ่าบาทอีกสักครั้ง เพราะถึงอย่างไร แท้ที่จริงนี่ก็เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาทในวันนี้อยู่แล้ว”