บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 405
มู่หรูกงกงนำชาเข้ามาถวาย จากนั้นจึงถอยออกไปอีกครั้ง
ฮ่องเต้หมิงหยวนจิบชาแล้วตรัสว่า ” เช่นนั้นเจ้ามีข้อเรียกร้องอะไรสำหรับการแต่งงานของลูกสาวสุดที่รักอย่างนั้นรึ?”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยกลืนน้ำลาย เหลือบมองพระพักตร์ของฮ่องเต้หมิงหยวน
เหตุใดจึงไม่ค่อยเห็นริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้านั้นสักเท่าไรเลยหนอ? เหตุใดคิ้วตา ปาก จมูก ถึงดูดีได้ขนาดนั้นหนอ? บรรดาอ๋องชินทั้งหลายต่างก็มีหน้าตาเหมือนเขา แต่ละคน ๆ ล้วนมีรูปโฉมหล่อเหลาไม่ธรรมดา ฝ่าบาทเมื่อครั้งยังหนุ่มเขาก็เคยได้เห็นมาก่อน น่ากลัวว่าพระองค์น่าจะเป็นผู้ที่มีรูปโฉมหล่อเหลาเป็นหนึ่งไม่มีสองในเมืองหลวงแล้ว
คนเราหนอ แข่งเรือแข่งพายพอแข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้จริงๆ
“หืม?” ฮ่องเต้หมิงหยวนสายพระเนตรฉายแววเย็นชา ทอประกายแสงวาววับขึ้นมาวูบหนึ่ง “ มัวแต่เหม่อลอยอะไรของเจ้า? ”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยรีบสงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว เขาก็รู้ดีว่าต้องจัดการเรื่องนี้ให้มันจบลงในวันนี้ จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ : “อันที่จริง หม่อมฉันเข้าใจความต้องการของลูกสาวผิดไป ลูกสาวหม่อมฉันไม่ได้อยากแต่งให้กับอ๋องฉู่พ่ะย่ะค่ะ ”
“โอ้ เช่นนั้นนางอยากแต่งให้กับใครล่ะ? นางไปต้องตาใครเข้าแล้วอย่างนั้นหรือ?” ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงสบายพระทัยขึ้นมาก ดูเหมือนว่าเขาจะไม่คิดสร้างความลำบากให้หยวนชิงหลิงกับเจ้าห้าแล้ว ช่างเป็นพ่อที่แสนดีมีเมตตาอะไรเช่นนี้
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ในขณะที่ฮ่องเต้หมิงหยวนเริ่มมีท่าทีกริ้วโกรธขึ้นมาแล้ว เขาจึงเอ่ยปากพูดด้วยเสียงที่เบาราวยุงบินว่า : “ลูกสาวบอกว่า นางอยากเข้าวังมาปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้หมิงหยวน ถึงขั้นพ่นน้ำชาทั้งหมดออกไปใส่ใบหน้าของเขาตรง ๆ เลยทีเดียว
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยเช็ดออกเบา ๆ แล้วพูดช้า ๆ ว่า : “หม่อมฉันขอขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ!”
สุดท้ายเขาก็มองลูกเขยด้วยแววตาลึกซึ้งและอ่อนโยนแวบหนึ่ง ทูลลาแล้วถอยออกไป
อีกด้านหนึ่ง เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยเข้าวังไปจัดการธุระเรื่องสำคัญ ฮู่ก่วงถิงก็มายังจวนอ๋องฉู่พร้อมกับท่านย่า เพื่อแสดงความขอบคุณพระชายาฉู่ในฐานะผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต
หยวนชิงหลิงซึ่งลักลอบอยู่ในจวนอย่างผิดกฎหมายมาได้สองวัน ไม่คาดคิดมาก่อนว่าคุณหนูตระกูลฮู่จะบุกเข้าประตูหน้ามาตรง ๆ เช่นนี้
เมื่อได้ยินที่หมันเอ๋อมารายงาน นางเกือบจะคิดไปว่านางฟังผิดเลยทีเดียว
นางรีบแต่งเนื้อแต่งตัวทันที ทาผงแป้งประทินผิวทุกชนิดลงบนใบหน้า หลังจากทาจนลายพร้อยเป็นจานสีแล้ว มันยิ่งดูน่าเกลียดมากจนแสลงนัยน์ตา จึงสั่งให้คนมาล้างมันออก
หยู่เหวินเห้า ผู้ซึ่งเป็นแพะรับบาปที่กำลังนอนพักฟื้นอาการบาดเจ็บอยู่อีกด้านเห็นแล้ว ก็พูดขึ้นว่า “เจ้าทาแป้งแบบนั้น สู้ไม่ทาเสียยังจะดูดีกว่าอีก ไม่ต้องกลัวนางหรอก ถ้านางกล้ากล่าววาจาที่ทำร้ายจิตใจเจ้าล่ะก็ ข้าจะไม่ปล่อยให้นางลอยนวลแน่”
หยวนชิงหลิงปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “รอให้เจ้าสามารถลงจากเตียงไปเวจได้ด้วยตัวเองก่อนเถอะ ค่อยมาช่วยข้าจัดการกับศัตรู”
หยู่เหวินเห้ามองนางด้วยสายตายอมแพ้ ตอนที่ผู้หญิงคนหนึ่งเต็มไปด้วยความเป็นศัตรู นางจะกลายร่างเป็นเม่นที่มีหนามแหลมคมทั่วร่าง ซึ่งไม่เหมาะกับการไปหาเรื่องอย่างยิ่ง
รอจนหยวนชิงหลิงออกไปแล้ว เขาก็เรียกทังหยางให้ไปคอยจับตาดูไว้ อย่าปล่อยให้พระชายาต้องได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจแม้แต่น้อย ทั้งยังสั่งให้สวีอีพาตอเป่าไปด้วย สิ่งที่เจ้าตอเป่าไม่ชอบที่สุด ก็คือคนที่มายังจวนอ๋องเพื่อมาพบผู้หญิงของเขา
อย่างที่ว่ากันว่า เมื่อศัตรูมาพบหน้า จะโกรธแค้นกันขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
หยวนชิงหลิงออกไปด้วยพลังที่พร้อมสู้รบเต็มที่ คนเพิ่งจะก้าวข้ามธรณีประตูไปด้วยท่าทางภาคภูมิใจเต็มที่ ก็เห็นหญิงสาวในชุดสีแดงก้าวขึ้นมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง ยังไม่ทันเห็นหน้าค่าตากัน นางก็คุกเข่าลงไปกับพื้น “ข้าขอขอบคุณพระชายาในบุญคุณที่ช่วยชีวิตท่านย่าเอาไว้ โปรดรับการคารวะจากข้าด้วย”
หยวนชิงหลิงตกใจมากจนผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ส้นเท้าไปกระแทกกับธรณีประตู เกือบจะล้มลงไปอยู่แล้ว แต่โชคดีที่ได้อาซี่กับหมันเอ๋อช่วยพยุงไว้ จึงสามารถทรงตัวได้
นางกระแอมไอให้ลำคอโล่ง “เป็นคุณหนูฮู่เองหรอกหรือ? รีบลุกขึ้นเร็วเข้า ไม่ต้องมากพิธี”
ฮู่ก่วงถิงเงยหน้าขึ้น พูดอย่างมั่นคงชัดถ้อยชัดคำว่า : “ไม่ พระชายาช่วยชีวิตท่านย่าของข้าไว้ นับว่าเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลข้า ข้าจะต้องโขกหัวคำนับพระชายา และจำเป็นต้องโขกหัวคำนับในวันนี้ให้ได้ด้วย ไม่อย่างนั้นเมื่อผ่านพ้นวันนี้ไป แล้วข้าโขกหัวคำนับพระชายาอีก นั่นย่อมจะไม่เหมาะสมแล้ว”
หยวนชิงหลิงไม่รู้ว่าคำพูดนี้มีความหมายว่าอย่างไร แต่ตอนนี้ฮูหยินใหญ่ก็อยู่ที่นี่ด้วย คิด ๆ ดูนางก็ไม่ควรจะทำตัวกำเริบเสิบสานจนเกินไป จึงยื่นมือออกไปช่วยพยุงนางให้ลุกขึ้น แล้วพูดว่า: “เอาล่ะ เช่นนั้นข้าขอรับการคำนับนี้แล้ว อย่าพูดเรื่องผู้มีพระคุณอะไรกันเลยนะ ข้าช่วยท่านย่าของเจ้า เจ้าโขกหัวคำนับให้ข้า ก็เท่ากับว่าเราสองคนไม่ติดค้างอะไรกัน”
ฮู่ก่วงถิงยืนขึ้น เพ่งมองหยวนชิงหลิงอย่างพิจารณา “พระชายาช่างเป็นคนที่ใจดี โอบอ้อมอารีจริง ๆ ท่านย่าเอาแต่ชื่นชมยกย่องท่านตลอดเวลาเลย”
หยวนชิงหลิงยิ้มอย่างขมขื่นในใจ คำพูดนี้คงมิบังอาจรับไว้หรอกกระมัง? ขอแค่อย่ามาแย่งผู้ชายของข้าก็พอแล้ว
หยวนชิงหลิงก้าวขึ้นไปข้างหน้า แล้วค้อมกายคารวะฮูหยินใหญ่ ฮูหยินใหญ่รีบปฏิเสธว่าไม่กล้ารับ ๆ เป็นพัลวัน หลังจากคารวะกันไปมาจนเสร็จ ทุกคนก็นั่งลงในที่สุด
ฮู่ก่วงถิงมองดูท้องของหยวนชิงหลิง เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงว่า: ” พระชายาตั้งครรภ์ได้กี่เดือนแล้วรึ?”
หยวนชิงหลิงหลุดอุทานออกมาเสียงหนึ่ง ค่อยตอบว่า “ประมาณห้าเดือนได้แล้ว”
“ห้าเดือนตัวก็หนักขึ้นมากแล้ว จะไปไหนมาไหนเจ้าต้องระวังหน่อยล่ะ ” ฮู่ก่วงถิงเอ่ย
หยวนชิงหลิงมองนางจนตาค้าง ในใจรู้สึกทั้งประหลาด ทั้งไม่สบอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก
แววตาของนาง….ช่างดูคล้ายกับแววตาของฮองเฮาเสียจริง เป็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ห่วงใยและเมตตาอย่างครบถ้วน
“ขอบคุณ” หยวนชิงหลิงทำได้เพียงพูดขอบคุณออกไป ยังคงเดาความหมายที่นางต้องการสื่อไม่ออกไปชั่วขณะ
ฮู่ก่วงถิงพูดขึ้นว่า: “ข้าได้นำยาที่ใช้ในการบำรุงครรภ์มาจำนวนหนึ่ง แล้วก็เตรียมของเล่นสำหรับเด็กมาให้ด้วย หวังว่าเจ้าคงจะชอบ”
นางพูดพลางลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปนำของขวัญที่นางเตรียมไว้มาให้ด้วยตัวเอง
หยวนชิงหลิงมองดูของบำรุงราคาแพงทั้งหลาย รวมไปถึงบรรดาของเล่นที่นางพูดมา เมื่อหยวนชิงหลิงเห็นแล้วก็ถึงกับตกตะลึงไปเล็กน้อย นอกเหนือไปจากกลองป๋องแป๋งใบหนึ่งกับตะกร้อลูกหนึ่งแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นอาวุธทั้งสิ้น
มีแส้ยาว กริช กล่องอาวุธลับ และขลุ่ยอีกเลาหนึ่ง แต่ดู ๆ ไปแล้ว เหมือนว่าขลุ่ยเลานั้นจะมีกลไกบางอย่างซ่อนอยู่
เป็นไปตามที่คิด นางหยิบขลุ่ยขึ้นมา แล้วกดลงไปที่ตำแหน่งรูที่สาม จากนั้นก็เกิดเสียงดัง “ฟิ้ว” ขึ้นมาเสียงหนึ่ง เข็มเงินเล่มหนึ่งพลันพุ่งทะยานออกมา แล้วไปปักแน่นเข้ากับคานประตูอย่างแน่นหนา
หยวนชิงหลิงถึงกับเบื้อใบ้พูดไม่ออก
“ไม่ชอบรึ?” ฮู่ก่วงถิงเอ่ยถาม
“ชอบสิ ชอบมาก!” หยวนชิงหลิงได้สติกลับมา หันไปจ้องมองนาง ก็ได้เห็นนางจ้องมองมาด้วยแววตาที่เหมือนแม่ผู้โอบอ้อมอารีอีกครั้ง อ่อนโยนจนแทบจะหยดออกมาเป็นน้ำได้อยู่แล้ว
สถานการณ์ต่อจากนั้น ยิ่งทำให้สับสนงงงันหนักขึ้นกว่าเดิมไปอีก
ฮู่ก่วงถิงรับบทแสดงเป็นฮูหยินใหญ่แทนอย่างเต็มที่ ดึงมือหยวนชิงหลิงไปกุม พลางบอกให้นางระวังสิ่งนี้ ระวังสิ่งนั้น ควรกินสิ่งไหน ไม่ควรกินสิ่งไหน
หยวนชิงหลิง กลายเป็นเหมือนนักเรียนที่เชื่อฟังว่าง่ายไปโดยปริยาย ท่าทางสูงส่งที่เดิมทีอุตส่าห์แสดงออกมา ก็มีอันต้องหดลีบเหี่ยวเฉาลงไปจนหมด ทำได้เพียงพยักหน้า ขานรับว่า อื้ม! ได้! อะไรแบบนั้นไม่หยุด
ในช่วงเวลานั้นเอง แม่นมสี่ก็นำผลไม้หวานอบแห้งออกมา แล้ววางเรียงรายไว้หลายชุดเพื่อใช้ต้อนรับแขก หยวนชิงหลิงหยิบผลซานจา แห้งชิ้นหนึ่งมากิน ฮู่ก่วงถิงคว้าข้อมือของนางไว้แน่น แล้วตำหนิว่า: “หญิงมีครรภ์ไม่ควรกินผลซานจา”
หยวนชิงหลิงที่อยู่ในฐานะคนเป็นหมอ เอ่ยถามออกไปอย่างงุนงงว่า “ทำไมล่ะ?”
“เพราะว่าซานจามีผลในการสลายเลือดอุดกั้น จึงไม่เหมาะกับหญิงมีครรภ์” ฮู่ก่วงถิงขมวดคิ้วมุ่น “ความรู้พื้นฐานแค่นี้เจ้าก็ไม่รู้อย่างนั้นหรือ? เจ้าเป็นเช่นนี้ข้าไม่อาจวางใจได้จริง ๆ ”
หยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้นมองนาง ด้วยความรู้สึกที่เกือบจะเรียกได้ว่าสยองขวัญ จากนั้นจึงหันไปมองแม่นมสี่
แม่นมสี่ก็ไม่รู้เช่นกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เนื่องจากสถานการณ์ของศัตรูยังไม่แน่ชัด จึงไม่เป็นการดีที่หยวนชิงหลิงจะแสดงท่าทีของตัวเองออกมาง่าย ๆ จึงทำได้แค่ฉีกยิ้มธุรกิจออกมาจนเต็มใบหน้า แล้วพูดคุยกับฮูหยินใหญ่อีกหลายประโยค หัวข้อหลัก ๆ ก็คือถามในเรื่องเกี่ยวกับอาการป่วยของฮูหยินใหญ่
“จริงสิ ได้ยินมาว่าเจ้าห้าได้รับบาดเจ็บ เขายังไหวหรือไม่? สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างแล้ว? เฮ้อ! เด็กโชคร้ายคนนี้นี่หนอ ข้าได้ยินว่าเขาถูกโบยถึงยี่สิบห้าไม้ ทำไมถึงได้ตรงเป็นไม้บรรทัดอย่างนั้นนะ?”
จู่ ๆ ฮู่ก่วงถิงก็เปลี่ยนเรื่องคุยแบบกะทันหัน ทะลุกลางปล้องขึ้นมา
ในใจของหยวนชิงหลิง เริ่มบังเกิดความรู้สึกว่าชักจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เจ้าห้า? เด็กโชคร้าย?
นางทนไม่ไหวแล้ว จึงจ้องมองฮู่ก่วงถิงตรง ๆ แล้วถามว่า “คุณหนูฮู่ สรุปว่าวันนี้เจ้ามาทำไมรึ?”
ฮู่ก่วงถิงผงะไปครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อย ๆ ยิ้มแย้มออกมาอีกครั้ง “แน่นอนว่าต้องมาขอบคุณที่เจ้าช่วยท่านย่าของข้าไว้ ในขณะเดียวกันก็มาเยี่ยมเยียนเจ้าด้วยน่ะสิ”
ท่าทางที่นางแสดงออกในตอนนี้ ช่างแตกต่างอย่างมากจากท่าทางเมื่อครู่ ที่นางเพิ่งจะคุกเข่าโขกคำนับแสดงความขอบคุณชนิดห่างกันราวฟ้ากับดิน
หยวนชิงหลิงมองใบหน้ายิ้มแย้มจนเห็นรอยลักยิ้มจาง ๆ ดวงนั้นของนาง ดูกลมกลืนราวกับน้ำผลไม้คั้นสด ๆ สักแก้วที่มีสีสันสดใส ดวงตากระจ่างใสเป็นประกาย รวมถึงแววอ่อนโยนที่เจืออยู่ในดวงตาคู่นั้นของนาง แบบนี้นางจะต่อต้านไหวได้อย่างไรกัน?
ฮู่ก่วงถิงก็ไม่ได้นั่งอยู่นานจนเกินไป ตอนที่กำลังจะกลับไป ยังดึงมือหยวนชิงหลิงมากุมไว้ แล้วบอกว่าวันหลังจะมาเยี่ยมนางอีก
หยวนชิงหลิงมาส่งนางกลับไป ด้วยสภาพจิตใจที่สับสนมึนงงอย่างท่วมท้น หลังจากที่นางกลับไปแล้ว จึงหันไปมองใบหน้าที่งุนงงแบบเดียวกันทั่วทั้งห้อง แล้วถามว่า: “ใครสามารถบอกข้าได้บ้างว่า สรุปแล้วนางต้องการอะไรกันแน่?”
ทุกคนส่ายหน้าระรัว ไม่รู้สิ มันแปลกมากจริงๆ
กลับกัน อะหมันที่หน้าแดงก่ำพูดอย่างอัดอั้นออกมาประโยคหนึ่งว่า “ฟังจากน้ำเสียงที่นางพูดแล้ว ข้าน้อยยังคิดเลยเจ้าค่ะ ว่านางเป็นท่านแม่ของพระชายา”
ทุกคนหลุดขำพรืด