บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 407
ฮู่ก่วงถิงใช้เวลาไปเกือบหนึ่งก้านธูปเพื่อเตรียมใจให้พร้อม จึงค่อยขึ้นรถม้าออกเดินทาง
เพียงแต่ตลอดเส้นทางที่จะเข้าวัง ทุกย่างก้าวที่ม้าวิ่งไปจนเกือกม้าส่งเสียงกระทบกับพื้นดังกุบกับ ๆ นั้น ยังไม่เท่าหัวใจที่เต้นระรัวของนางเลยด้วยซ้ำ
นางบิดผ้าเช็ดหน้า พยายามคิดเรื่องขำขันเบาสมอง เพื่อให้ตัวเองผ่อนคลายความตึงเครียดลงบ้าง แต่สมองของนางจะไปมีแก่ใจคิดถึงเรื่องอะไรได้อีกล่ะ? มันเต็มไปด้วยใบหน้าอันหล่อเหลาสง่างามของเขาจนไม่มีที่เหลือให้เรื่องอื่นแล้ว
นางเอียงศีรษะลงซบบนไหล่อันแข็งแรงของแม่นม ถอนหายใจเฮือกใหญ่: “แม่นม เรื่องสำคัญที่สุดเรื่องเดียวในชีวิตข้า ไม่ควรปล่อยให้ถูกความขี้ขลาดของข้ามาทำลายลงได้เด็ดขาด”
แม่นมตบไหล่นางเบา ๆ “เช่นนั้นคุณหนูก็ต้องกล้า ๆ หน่อยนะเจ้าคะ ทูลกับฝ่าบาทไปตรง ๆ เลยว่าในใจของท่านคิดอย่างไร”
ฮู่ก่วงถิงบีบนิ้วของตัวเองแน่น บีบแรงจนสุดกำลังที่มี ถูกต้อง ตอนนี้นางจำเป็นต้องกล้าหาญเข้าไว้
อนาคตของตัวเอง ก็ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาด้วยตัวเอง
กำแพงอิฐสีเหลืองอร่ามแน่นหนา กระเบื้องเคลือบสีทองอร่ามทอประกายเจิดจ้า และประตูวังสีแดงสดที่แสดงถึงความมั่งคั่งและอำนาจไปทุกหนทุกแห่ง ในตอนที่ได้เหยียบลงบนบันไดหิน ฮู่ก่วงถิงรู้สึกเพียงว่า ตัวเองได้เข้าใกล้ความใฝ่ฝันในวัยเด็กมากขึ้นทุกขณะแล้ว
หัวใจของนาง ก็พลันรู้สึกมั่นคงขึ้นมา ณ ชั่วเวลานั้น
ฮู่ก่วงถิงถูกพาไปยังห้องทรงพระอักษร ที่หน้าประตู นางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วเดินตามมู่หรูกงกงเข้าไปด้านใน
นางก้าวเท้าอย่างมั่นคง เหยียบบนพื้นหินสีขาวที่ขัดเงาวาววับจนสะท้อนเห็นเงาคนได้ ไข่มุกสองเม็ดที่ประดับอยู่บนหัวรองเท้า ปรากฏให้เห็นราง ๆ จากใต้กระโปรง สาวเท้าก้าวเดินทีละก้าว ๆ เข้าไปหาคนที่นางเฝ้าถวิลหามาตลอดเก้าปี
นางยืนอย่างมั่นคง คุกเข่าลง “ฮู่ก่วงถิงถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนทอดพระเนตรร่างที่ยอบกายลงไปกับพื้นจนเตี้ย ในพระทัยรู้สึกอึดอัดคับข้องอย่างยิ่ง ปรายสายพระเนตรมองแวบหนึ่ง แล้วตรัสขึ้นว่า: “ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถอะ”
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท!” นางเก็บผ้าเช็ดหน้าในมือ ยืนขึ้นพร้อมกับลดมือลง ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองพระองค์
ฮ่องเต้หมิงหยวนกระแอมในลำคอ ทรงรู้สึกว่าการพูดคุยกับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้ กดดันเสียยิ่งกว่าได้พูดคุยกับไท่ซ่างหวงเสียอีก “วันนี้พ่อของเจ้าเข้าวังมา เพราะเรื่องการแต่งงานของเจ้า ข้าคิดว่า พ่อของเจ้าทุ่มเททำงานอย่างหนักมามากมายมหาศาล ส่วนเจ้าก็เป็นคนที่ข้าได้เห็นมาตั้งแต่ยังเล็กจนเติบใหญ่……”
ทันใดนั้น ฮู่ก่วงถิงก็เงยหน้าขึ้น จ้องไปยังฮ่องเต้หมิงหยวนด้วยดวงตาที่ร้อนแรงแผดเผา “ฝ่าบาท ทรงอย่าตรัสอีกเลยเพคะ หม่อมฉันแค่อยากทูลถามพระองค์เพียงประโยคเดียว ทรงไม่ประสงค์ให้หม่อมฉันเข้าวัง มาปรนนิบัติรับใช้อยู่เคียงข้างพระองค์ใช่หรือไม่เพคะ?”
ฮ่องเต้หมิงหยวน ทรงอุตส่าห์เตรียมคำพูดเกลี้ยกล่อมด้วยเจตนาดีไว้เสียมากมาย วางแผนไว้ว่าจะพูดคุยกับนาง เรื่องการใช้ชีวิตและอุดมคติเสียหน่อย ผลสุดท้าย เพิ่งจะพูดไปได้เพียงครึ่งเดียว ก็ถูกนางตัดบทเสียจนเป็นใบ้พูดอะไรไม่ออกไปเลยทีเดียว
พระองค์ทอดพระเนตรใบหน้าหมดจดสดใสที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ความหมายของข้าก็คือ เจ้าสมควรจะหาลูกหลานของขุนนางที่มีหน้ามีตา มีอายุพอ ๆ กับเจ้า ข้าจะแต่งตั้งยศองค์หญิง…”
“ไม่!” เป็นอีกครั้งที่คำพูดของฮ่องเต้หมิงหยวนถูกตัดบทอย่างเด็ดขาด ความขี้ขลาดของฮู่ก่วงถิงขณะอยู่ที่บ้าน กับระหว่างทางที่มาที่นี่ล้วนสูญสลายหายไปโดยสิ้นเชิง เปลี่ยนเป็นความกระจ่างแจ้งกล้าหาญ ในดวงตาคล้ายมีเปลวไฟลุกโหม พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่งจนไหม้เกรียม “หม่อมฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้นเพคะ ต้องการแค่ได้เข้าวัง”
พูดตามตรง ฮ่องเต้หมิงหยวนก็ทรงรู้สึกตกพระทัยไหวหวั่นขึ้นมาบ้างแล้ว
สาวน้อยแรกแย้มเช่นนี้ รูปร่างหน้าตาแบบนี้ นิสัยใจคอแบบนี้ ไม่ว่าผู้ชายคนไหนได้เห็น เกรงว่าจะต้องหวั่นไหวใจเต้นกันไม่มากก็น้อย
แต่พระองค์ไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาสามัญ ถ้าฮู่ก่วงถิงได้เข้าวัง นางจะถูกกำหนดให้เป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น เป็นหมากของเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยและกองทัพเจิ้งเป่ย
ในเมื่อต้องเป็นแค่หมากตัวหนึ่งเหมือนกัน พระองค์ก็หวังว่าจะสามารถจัดวางเด็กสาวสักคน ไปอยู่ในที่ที่ดีกว่านี้หน่อย ไม่ใช่เอานางมาวางไว้ในวังหลวงอันแสนล้ำลึกมากเล่ห์ ซึ่งนั่นเท่ากับการทิ้งให้นางถูกกินทั้งเป็น
คิดได้ดังนั้น พระองค์จึงหรี่ดวงเนตรลง แล้วตรัสว่า “เจ้าอายุยังน้อย ยังมีเรื่องที่ไม่รู้อีกมากมายนัก การเข้าวังสำหรับเจ้า นับเป็นหนทางที่ไม่มีวันหวนกลับออกไปได้อีก ข้าจะเลือกสามีจากภายนอกให้เจ้า จะเลือกจนเป็นที่พอใจของเจ้าอย่างแน่นอน เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงล้มเลิกความคิดที่จะสื่อสารกับนางแล้ว คำพูดที่ได้ตระเตรียมไว้มากมาย ก็ตัดสินใจว่าจะไม่พูดออกไปแล้วเช่นกัน เพราะพระองค์ไม่อาจทนต่อแววตาที่ส่องประกายวาววับคู่นั้นของนางได้ จึงรับสั่งให้นางกลับไปเพื่อตัดปัญหา
ฮู่ก่วงถิงไหนเลยจะยอมกลับไปง่าย ๆ ? ตราบใดที่ยังไม่ได้ยินคำพูดที่อยากได้ยิน นางจะไม่ยอมไปเด็ดขาด เพราะนางอาจไม่มีความกล้ามากพอที่จะพูดความในใจของตัวเองกับฝ่าบาทอีกเป็นครั้งที่สองก็ได้
ด้วยเหตุนี้ นางจึงเดินขึ้นไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า จ้องมองพระองค์อย่างเต็มตา “ผู้ชายในใต้หล้านี้ นอกจากพระองค์แล้ว ไม่ว่าใครหม่อมฉันก็ไม่เห็นอยู่ในสายตาทั้งสิ้น ท่านไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองความคิดเลือกใครมาให้หม่อมฉัน หากท่านไม่เห็นหม่อมฉันในสายตา วันนี้หม่อมฉันก็จะขอยอมตายลงเสียที่นี่ แต่จะไม่ยอมให้พวกท่านมาจัดการชีวิตของหม่อมฉันตามใจชอบ ท่านบอกว่าหม่อมฉันไม่รู้อะไรอีกมากนัก การเข้าวังนับเป็นเส้นทางที่ไม่มีวันได้หวนกลับ ต่อให้เป็นอย่างนั้นจริง นั่นก็เป็นหนทางที่หม่อมฉันเป็นคนเลือกเอง แต่หากมาบงการให้หม่อมฉันต้องแต่งงานกับคนที่ตลอดชีวิตนี้ก็ไม่มีวันชอบสักคน นับเป็นเส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับเหมือนกัน แต่นั่นคือสิ่งที่พวกท่านเป็นคนเลือกให้หม่อมฉัน นั่นจะทำให้หม่อมฉันรู้สึกเคียดแค้นชิงชังพวกท่าน เคียดแค้นชิงชังไปจนตาย”
ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกว่าตกที่นั่งลำบากเข้าแล้ว จึงตรัสด้วยความรู้สึกไม่สบอารมณ์ว่า “อะไรคือไม่มีวันชอบไปตลอดชีวิต ? พอเจ้าแต่งกันไป เจ้าก็จะชอบเขาเองโดยธรรมดานั่นล่ะ ผู้หญิงทุกคนในใต้หล้าก็ล้วนเป็นเช่นนี้ มีใครบ้างที่ก่อนแต่งงานก็ชอบกันแล้ว?”
ฮู่ก่วงถิงพูดสวนขึ้นทันทีว่า “ก่อนที่ผู้หญิงคนอื่นจะแต่งงาน ในใจพวกนางไม่มีคนที่ชอบ แน่นอนว่าย่อมเกิดความรักกับสามีที่อยู่กินร่วมกันมานานได้ เป็นเพราะเดิมทีไม่เคยมีความรักมาก่อน แต่ถูกจับมามัดรวมเอาไว้ให้ต้องใช้ชีวิตร่วมกัน นั่นเรียกว่าไม่มีทางเลือก แต่หม่อมฉันไม่เหมือนกัน เพราะหม่อมฉันมีคนที่ชอบแล้ว นับตั้งแต่ล่วงเข้าวัยจี๋พิ่น ที่เจิ้งเป่ยก็มีแต่คนมาเจรจาสู่ขอหม่อมฉันไม่เคยขาด แต่หม่อมฉันล้วนไม่ยอมแต่งกับใครทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าที่เจิ้งเป่ยไม่มีผู้ชายดี ๆ แต่เป็นเพราะหม่อมฉันไม่ชอบ ในใจของหม่อมฉันมีคนเข้าไปอยู่ในนั้นแล้ว ฝ่าบาทเข้าใจหรือไม่เพคะ?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนตรัสด้วยโทสะ: “พูดกับเจ้าไปก็เหมือนสีซอให้ควายฟัง! พูดอย่างไรก็ไม่เข้าหัว ไม่พูดแล้ว ข้าจะไปพูดกับพ่อของเจ้าแทน เรื่องสำคัญเช่นการแต่งงานของเจ้า ก็สมควรให้พ่อของเจ้าเป็นคนตัดสินใจ!”
ฮู่ก่วงถิงพูดอย่างแน่วแน่ว่า: “การแต่งงานของหม่อมฉัน หม่อมฉันตัดสินใจเอง นั่นคือชีวิตของหม่อมฉัน อาศัยอะไรให้เขาเป็นคนตัดสินใจ หม่อมฉันไม่ได้อยากทำให้ฝ่าบาทต้องทรงลำบากพระทัย แค่ฝ่าบาทตรัสมาเพียงประโยคเดียว ว่าพระองค์จะทรงยินยอมให้หม่อมฉันเข้าวังหรือไม่? ไม่ว่าคำตอบจะใช่หรือไม่ใช่ หม่อมฉันก็มีทางของตัวเองอยู่ในใจแล้ว หม่อมฉันรู้ว่าควรต้องทำเช่นไร”
ฮ่องเต้หมิงหยวนหรี่ดวงเนตรเย็นชาลง “หากข้าบอกว่าข้าไม่ตกลงล่ะ?”
ฮู่ก่วงถิงจ้องมองพระพักตร์ฮ่องเต้อยู่ครู่หนึ่ง จ้องจนกระทั่งถึงตอนที่ฮ่องเต้หมิงหยวนอดรู้สึกขนลุกไม่ได้ นางก็ค่อย ๆ พูดขึ้นอย่างช้าๆ ว่า: “ไม่ตายอยู่ที่นี่ ก็ละทางโลกไปออกบวช หม่อมฉันฮู่ก่วงถิง จะไม่ยอมให้การแต่งงานของตัวเองเกิดขึ้นแบบส่งๆ จะไม่ยอมให้ชีวิตตัวเองต้องสุกเอาเผากินอย่างเด็ดขาด”
ฮ่องเต้หมิงหยวนถึงกับตกตะลึงพรึงเพริศจริง ๆ แล้ว
การรับมือกับเด็กสาวตัวเล็ก ๆ เช่นนี้ ไม่มีทางที่จะใช้บารมีของฮ่องเต้ไปกดดันได้ ประเด็นสำคัญคือนางยังมีความคิดเช่นนั้น จึงยิ่งไม่สามารถใช้อำนาจบารมีไปบังคับให้นางยอมทำตาม
แต่หากตัดเยื่อใยไม่สนใจนางจริง ๆ แล้วนางเกิดยอมตายที่นี่ หรือไปออกบวชเป็นแม่ชี ก็ล้วนส่งผลให้เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยแค้นเคืองขึ้นมาได้อีก
ผ่านไปครู่หนึ่ง พระองค์จึงตรัสขึ้นว่า: “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าจะตัดสินใจของข้าเองอีกครั้ง”
“ไม่เพคะ ท่านโปรดให้คำตอบที่ชัดเจนมาตอนนี้เลย” ฮู่ก่วงถิงถึงขั้นทุ่มสุดตัวจนหมดหน้าตักแล้วในวันนี้
“ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่า ว่าจะพิจารณาอีกที!” ฮ่องเต้หมิงหยวนตรัสอย่างโกรธกริ้ว
ฮู่ก่วงถิงจ้องมองพระองค์ “หลังจากที่หม่อมฉันออกจากวังแล้ว ใครจะรู้ล่ะว่าท่านจะหารือกลยุทธ์อะไรกันอีก จำเป็นต้องได้รับคำตอบที่แน่ชัด อีกทั้งหลังจากได้รับคำตอบที่แน่ชัดแล้ว หม่อมฉันจะออกไปป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ เป็นการยืนยันว่า พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ตรัสแล้วไม่คืนคำ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนถึงกับตกตะลึงพรึงเพริศไปอีกครั้ง
พระองค์… ไม่ได้เข้าใจผิดใช่หรือไม่? พระองค์ถูกบังคับให้แต่งงานแล้ว ? ถูกเด็กสาวอายุสิบเจ็ดคนหนึ่งบังคับให้แต่งงานด้วย?
แต่ในเวลานี้ พระองค์ไม่มีแม้แต่เวลาจะสนใจหน้าตาศักดิ์ศรีของฮ่องเต้ ที่ถูกทุบจนแตกละเอียดจนร่วงกราว ๆ ๆ ลงพื้นไปไม่หยุดแล้วด้วยซ้ำ ทำได้เพียงพยายามคิดหาหนทางไล่นางกลับไป
นี่พระองค์คิดได้อย่างไรกัน ? คิดได้อย่างไรถึงเรียกให้นางมาที่วัง ? ช่างเป็นเจตนาจะยกหินโยนออกไป แต่กลับหล่นมาทับใส่เท้าตัวเองแท้ ๆ
“ฝ่าบาทเพคะ!” ฮู่ก่วงถิงคุกเข่าลง เมื่อเงยหน้าขึ้นใบหน้าก็อาบนองไปด้วยน้ำตาแล้ว ใบหน้าที่แสดงความมั่นใจมาตลอด ดูอ่อนแอเปราะบางลงอย่างเห็นได้ชัด “ไม่ใช่ว่าหม่อมฉันไม่รู้สึกละอายนะเพคะ ในตอนที่พระราชโองการของฝ่าบาทมาถึง หม่อมฉันก็ตื่นเต้นประหม่าเสียจนหัวใจแทบจะกระเด็นออกมานอกอกแล้ว ตลอดทางที่จะเข้าวัง ความคิดจิตใจของหม่อมฉันไม่เคยเป็นระเบียบเลย หม่อมฉันให้กำลังใจตัวเอง เพื่อจะรวบรวมความกล้าให้พูดคำพูดเหล่านี้ออกมาได้ หลังจากกลับไปในวันนี้แล้ว เกรงว่าคงจะไม่มีความกล้าที่จะพูดออกมาได้อีกต่อไป หม่อมฉันไม่ได้จะบังคับพระองค์ หม่อมฉันแค่อยากได้คำอธิบายที่มันกระจ่างชัดให้กับตัวเองสักข้อก็เท่านั้นเพคะ”
ใต้หล้านี้ไม่ว่าจะวีรบุรุษ หรือผู้ชายที่แข็งแกร่งกล้าหาญสักแค่ไหน พวกเขาก็ไม่อาจต้านทานน้ำตาของผู้หญิงได้ นี่คือกฎที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่โบราณกาลมา
ฮ่องเต้หมิงหยวนผู้ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมา ล้วนเป็นที่รู้จักในเรื่องอำนาจบารมีอันยิ่งใหญ่ และใบหน้าอันเย็นชา พยักหน้าช้า ๆ ไปทางเจ้าของดวงตาที่อาบไปด้วยน้ำตาเต็มสองหน่วยคู่นั้น
จนกระทั่งเสียงกล่าวขอบคุณในพระมหากรุณาดังขึ้นด้วยความยินดีนั่นเอง พระองค์จึงค่อยกลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง
เวรกรรมแท้ ๆ !