บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 421
อันที่จริงหลังจากที่หยวนชิงหลิงออกมา นางมีความรู้สึกแบบนี้จริง ๆ
เพราะอ๋องจี้ที่ไม่มีพระชายาจี้แล้ว แท้ที่จริงก็เป็นได้แค่เสือที่ไม่มีเขี้ยวเล็บตัวหนึ่งเท่านั้น
ธรรมดาสามัญไร้ความสามารถ ถนัดแต่หาเหาใส่หัวรนหาที่ตาย
แต่ฮ่องเต้กลับเอาแต่ปกป้องเขามาโดยตลอด ให้โอกาสเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
หรือจะเป็นเพราะสถานะของลูกชายคนโต?
“ที่เจ้าไม่ทำให้เรื่องนี้มันเอะอะวุ่นวายไปถึงในวัง ก็เพราะสาเหตุนี้ใช่หรือไม่ ? ” หยวนชิงหลิงเอ่ยถาม
ในดวงตาของหยู่เหวินเห้าเต็มไปด้วยความจนใจ “ถูกต้อง เพราะไม่ว่าเรื่องนี้จะใหญ่โตมากไปกว่านี้อีกสักแค่ไหน หรือต่อให้เจ้าต้องตายอยู่ในจวนอ๋องจี้จริง ๆ เสด็จพ่อก็จะไม่มีวันรับสั่งให้ประหารชีวิตเขา หรือแม้แต่ริบตำแหน่งอ๋องชินของเขาเป็นแน่”
ความโปรดปรานรักใคร่ที่ฮ่องเต้จะทรงมีต่อใครสักคน เหตุใดจึงไม่ใช่การแสดงผลงานให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ล่ะ? เขาไม่ปฏิเสธว่าเสด็จพ่อก็ทรงรักใคร่เอ็นดูเจ้าหยวน แต่ความรักใคร่เอ็นดูนั้นช่างมีอย่างจำกัดน้อยนิดเหลือเกิน แค่เจ้าหยวนไม่ยอมให้เขาแต่งชายารอง เสด็จพ่อก็ทรงพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที
แต่เรื่องที่พี่ใหญ่ทำ กลับมีผลลัพธ์ออกมาเพียงแค่นี้เอง?
หยู่เหวินเห้าเองก็มองออกมานานแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกเสียใจมากมายเกินไปนัก
แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับเจ้าหยวน วันนี้เขาไม่สามารถแม้แต่จะเข้าวังไปด้วยความมั่นใจ เพื่อจะถามหาความยุติธรรมจากเสด็จพ่อได้ด้วยซ้ำ
ในใจเขารู้สึกโกรธกรุ่นราวมีไฟลุกไหม้ รู้สึกผิดต่อเจ้าหยวนอย่างยิ่ง
เขาถอนหายใจเบา ๆ “ต้องให้เจ้าทนรับความน้อยเนื้อต่ำใจแล้ว”
หยวนชิงหลิงกลับยิ้มแย้ม “ข้าไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเลยแม้แต่น้อย วันนี้ได้เห็นเจ้าแสดงทักษะความสามารถ จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกยกย่องชื่นชมเจ้ามาก เจ้าห้า คนที่ใช้ชีวิตร่วมกันกับข้าคือเจ้า ไม่ใช่คนอื่น ข้าสนใจแค่ว่าเจ้าดีต่อข้าหรือไม่ คนอื่นไม่เกี่ยวสักหน่อย ไม่เห็นจะต้องไปสนใจเลย”
เขาจ้องไปที่ดวงตาของนาง รอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้ารอยนั้น ช่างดูบริสุทธิ์และสัมผัสได้ถึงความจริงใจอย่างยิ่ง
เขาเอื้อมมือออกไปกอดนางเข้ามาแนบอก นึกย้อนไปว่า นับตั้งแต่ที่นางติดตามอยู่เคียงข้างเขามา ดูเหมือนว่าจะไม่มีวันไหนเลยสักวันที่นางจะได้อยู่อย่างปลอดภัยสงบสุข กลับกันตอนที่อยู่ในจวนเจ้าพระยาจิ้ง กลับได้อยู่อย่างสงบสุขหลายวันเลยทีเดียว
เขาอดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้ กับแค่เรื่องแค่นี้ ก็ยังต้องรู้สึกขอบคุณ
จวนอ๋องฉู่ดูคึกคัก มีชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อย
มีผู้คนหลั่งไหลเข้าออกไปมาอย่างไม่ขาดสาย ได้ยินกันว่าพระชายาฉู่ตั้งครรภ์เป็นครรภ์แฝดสาม ทุกคนล้วนพากันมาเยี่ยมเยียน อยากมาอาศัยบารมีในบุญพาวาสนานี้กันเสียหน่อย
หยวนชิงหลิงท้องได้ห้าเดือนแล้ว ก่อนหน้านี้มีอยู่หลายคนที่ไม่ได้มา นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะนางเคยดื่มน้ำจื่อจินมาก่อน ทุกคนต่างก็คิดว่านางจะอ่อนแอเกินไป หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจะรับผิดชอบไม่ไหว
ตอนนี้ นางที่ตั้งท้องแฝดสามแล้ว ต่อให้ยิ่งอ่อนแอมากกว่านี้สักเท่าไหร่ แต่มีบุญพาวาสนาดีแบบนี้ ไม่ว่าใครต่างก็อยากมาอาศัยบารมี ได้รับอานิสงส์ในบุญวาสนานี้กันทั้งนั้น
ในความเป็นจริง มันไม่น่าจะเรียกว่าเป็นบุญ แต่ถึงขั้นเรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์เลยก็ว่าได้
หลังจากดื่มน้ำจื่อจินแล้ว ไม่ได้เส้นลมปราณถูกทำลายจนตายไปยังไม่พอ แต่กลับตั้งท้องได้อีก อีกทั้งไม่ใช่แค่คนเดียวแต่มีถึงสาม บุญวาสนาขนาดนี้เหมือนเป็นปาฏิหาริย์ที่มาจากสวรรค์เลยทีเดียว
แต่มีความหมายแฝงอะไรที่อยู่เบื้องหลังบุญวาสนานี้อย่างนั้นหรือ? หรืออาจจะมีความหมายแฝงเป็นนัย ว่าอ๋องฉู่คือคนที่ได้รับเลือกจากสวรรค์ ในวันข้างหน้าอาจจะโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าไปเป็นมังกรผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรก็เป็นได้
การต้องทำตัวสนิทชิดเชื้อกับราชวงศ์ รับของเยี่ยมเยียนทั้งน้อยใหญ่ไม่ได้ขาด หยวนชิงหลิงในช่วงสองสามวันนี้ จึงต้องแสร้งฉีกยิ้มจนใบหน้าแข็งค้างไปหมดแล้ว
โสวฝู่ก็มาด้วยเช่นกัน
ยังคงเป็นเหมือนกับแต่ก่อนทุกประการ คือนำของขวัญชิ้นเล็ก ๆ ที่ไม่ได้มีราคาค่างวดอะไร ไม่ได้สมหน้าตาฐานะผู้ให้เลยแม้แต่น้อยมาด้วย แต่ท่วงท่าที่แสดงออกนั้นช่างดูยิ่งใหญ่อลังการ แม้จะเป็นของขวัญที่เล็กกระจิริด เขาก็ยังเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าอกผายไหล่ผึ่ง ทำราวกับว่าขนเอาสมบัติอันล้ำค่า หรืออัญมณีที่หายากมาเป็นหีบเป็นลังอย่างไรอย่างนั้น
แต่กลับส่งไปให้แม่นมสี่ เขาละเอียดถี่ถ้วนอย่างยิ่ง บรรดาของขวัญที่เขาเลือกดูประณีตอ่อนช้อยมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นของเด็กสาวๆ จะชอบใช้กัน แม่นมสี่ก็ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง รับเอาไว้ทั้งหมด จากนั้นจึงมอบน้ำแกงชามหนึ่งหรือไม่ก็ขนมหวานชิ้นหนึ่งกลับไป โสวฝู่ก็จากไปด้วยท่าทางที่มีความสุขอย่างยิ่ง
สามวันต่อมา มีตั๋วเงินหนึ่งแสนตำลึงส่งมา
เป็นตั๋วเงินที่ฉู่หมิงหยางกับพระชายาจี้ส่งมาให้ด้วยตัวเอง
หนึ่งแสนตำลึง ตั๋วเงินกองหนา ๆ กองละพันตำลึงวางตั้งเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ท่วงท่าของฉู่หมิงหยางดูฮึกเหิมมาก ตอนที่เดินนำคนรับใช้กับพระชายาจี้เข้ามา นางแสดงท่าทีเย่อหยิ่งเย็นชาและภาคภูมิใจราวกับเป็นนายหญิงของบ้านก็ไม่ปาน
หนึ่งแสนตำลึงนี้ นางออกให้แปดหมื่นตำลึง พระชายาจี้ออกให้หมื่นตำลึง ส่วนที่เหลือคืออ๋องจี้เองที่เป็นคนโปะเข้าไปให้มันครบ
ฉู่หมิงหยางไม่ได้พูดอะไรมาก แค่พูดกับหยวนชิงหลิงประโยคเดียวว่า “อย่าคิดว่าตัวเองแน่ แล้วจะมาดูถูกคนอื่นเชียวล่ะ หนึ่งแสนตำลึง สำหรับข้าแล้วยังไม่คุ้มค่าที่จะพูดถึงด้วยซ้ำ”
พูดจบ นางก็เชิดหน้าที่ยังมีรอยแผลเป็นให้เห็นอยู่เหมือนเดิม แล้วเดินจากไปอย่างเย็นชา
หยวนชิงหลิงได้ยินประโยคนี้ ก็อดหัวเราะไม่ได้
พระชายาจี้ยังไม่ไป นางยังต้องกินยา
ทุกวันนี้นางไม่จำเป็นต้องให้น้ำเกลือแล้ว แต่เพราะไม่ได้มาหลายวัน นางจึงอยากมาให้หยวนชิงหลิงช่วยตรวจดูอาการให้ รวดถือโอกาสคุยเล่นกับนางไปด้วยเลย
“นางตามมาด้วยทำไมหรือ?” หยวนชิงหลิงถาม
พระชายาจี้ยิ้มพลางพูดว่า “เพราะเงินเหล่านี้จะให้คนรับใช้ส่งมาแบบขอไปทีไม่ได้ อ๋องจี้ก็ไม่มีวันมาด้วยตัวเองแน่นอน จะมอบให้ข้าเป็นคนรับผิดชอบส่งให้ ฉู่หมิงหยางก็ไม่วางใจ เพราะถึงอย่างไรนางก็ออกเองถึงแปดหมื่นตำลึง ส่วนข้าออกแค่หมื่นตำลึงเท่านั้น”
“เจ้ายังออกให้ถึงหมื่นตำลึงเชียวรึ?” หยวนชิงหลิงถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมเจ้าถึงต้องช่วยเขาด้วยล่ะ?”
พระชายาจี้ยิ้มแย้ม “เพราะเงินหมื่นตำลึงนี้ ข้าคิดว่าเจ้าจะคืนให้ข้าน่ะสิ”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ไม่”
พระชายาจี้มีท่าทางน่าสงสารมาก “ตอนนี้ข้ามีเงินที่เก็บออมไว้ไม่มากแล้ว แล้วก็ไม่อาจไปขอเงินจากบ้านเดิมได้ตลอดด้วย เงินหมื่นตำลึงนี้ เจ้าก็คืนมันให้ข้าเถอะนะ”
“เจ้าต้องบอกมาก่อนว่า ทำไมเจ้าต้องออกเงินหนึ่งหมื่นตำลึงนี้ให้เขาด้วย?” หยวนชิงหลิงถาม
พระชายาจี้ถอนหายใจเฮือก “ เพื่อที่จะมีชีวิตที่สงบสุข ให้เงินหนึ่งหมื่นตำลึงนี้ไปซะ แม้ว่ามันจะเจ็บปวดใจ ทั้งยังไม่คุ้มค่า แต่ถ้าอย่างน้อยออกแรงสักหน่อย เขาก็จะไม่เอาแต่มาทำให้ข้าลำบากใจอีก ข้าก็จะพอมีวันเวลาที่จะไปทำเรื่องของข้าแล้ว”
“พวกเจ้าสามีภรรยากลายเป็นอย่างนี้แล้ว มันยังจะมีความหมายอะไรอยู่อีกหรือ?” หยวนชิงหลิงไม่เข้าใจจริง ๆ ว่านางคิดอะไรอยู่กันแน่
ใบหน้าซูบผอมของพระชายาจี้ ยังคงขาวซีดเผือดสีอย่างมาก นางรวบมือเข้าไว้ด้วยกัน ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วพูดว่า “อย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ลูกสาวของข้าอยู่ในจวนอ๋อง ข้ายังไปไม่ได้”
ถ้าหากทำเพื่อลูก หยวนชิงหลิงก็เข้าใจได้
ในยุคสมัยนี้ การหย่าร้างไม่เหมือนกับยุคปัจจุบัน ที่เมื่อหย่ากันไปยังสามารถได้พบหน้าลูก ๆ หรือต่อสู้เพื่อแย่งชิงสิทธิ์เลี้ยงดูลูกได้
ถ้านางเลิกร้างไปจริง ๆ เกรงว่าจากนี้คงจะไม่ได้พบหน้าลูกสาวตัวเองอีกเลย
ใจคนเราอาจแตกต่างกัน แต่ความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้นล้วนเป็นเหมือนกันหมด
หยวนชิงหลิงนับตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึง แล้วยื่นส่งคืนให้กับพระชายาจี้ “เจ้าเอามันกลับไปเถอะ”
พระชายาจี้รับไปอย่างใจกว้างไม่มีอ้อมค้อม “ขอบคุณเจ้ามาก!”
หยวนชิงหลิงมองดูนาง “เจ้ากลับมองโลกในแง่ดีมากเลยนะ เรื่องในวันนั้นถ้าพวกเราไม่ไป พอไปถึงเบื้องพระพักตร์เสด็จพ่อ เจ้าจะปลีกตัวออกไปได้จริงๆ น่ะหรือ?”
พระชายาจี้ถอนหายใจเบา ๆ “ยาก เสด็จพ่อทรงเกลียดชังมนตร์ดำประเภทนี้ ทั้งยังให้ความสำคัญกับเจ้าและลูกในท้องของเจ้าด้วย ตุ๊กตาตัวนี้ยืนยันได้ว่าหาพบในจวนอ๋องจี้จริง ๆ คนที่กล้าทำเรื่องอย่างนี้ นอกจากข้า เขา แล้วก็ฉู่หมิงหยาง ถึงแม้ว่าเสด็จพ่อจะรู้ว่าไม่ใช่ข้า แต่ฉู่หมิงหยางกับเขายืนยันแบบกัดไม่ปล่อยว่าเป็นข้า เจ้าว่า ใครจะเป็นแพะรับบาปในเรื่องนี้ล่ะ?”
“แต่ข้าเห็นว่าการวิเคราะห์ของเจ้ายอดเยี่ยมมากจริง ๆ นะ” หยวนชิงหลิงพูด
พระชายาจี้ยิ้มอย่างชืดชา “เปล่าประโยชน์ นั่นเป็นแค่การขู่ให้เขาตกใจได้เพียงชั่วครู่ ไม่ได้ช่วยอะไรมากไปกว่านั้น แต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่าพวกเจ้าจะไปช่วยข้า ข้าแค่คิดจะไปหาพวกเจ้าเพื่อให้เป็นพยาน ให้พวกเจ้ารู้ว่าข้าไม่ใช่คนที่วางยาพิษพวกเจ้า อันที่จริงถ้าจะพูดว่าไม่มีวิธีแล้วโดยสิ้นเชิงก็ยังไม่ใช่ ต่อให้สุดท้ายข้าจะลงเอยด้วยการต้องรับโทษแทน เสด็จพ่อก็ไม่แน่ว่าจะทำอะไรข้าอยู่ดี จะมีคนมากมายที่ขอร้องแทนข้า เพราะถ้าข้าเคราะห์ร้าย ก็จะมีคนอีกหลายคนที่จะเคราะห์ร้ายตามไปด้วย”
หยวนชิงหลิงจ้องมองนาง รู้สึกว่านางมีแววโดดเด่นเสียยิ่งกว่าอ๋องจี้เป็นสิบ ๆ เท่า
ที่แล้วมาอ๋องจี้มักจะดูถูกนาง ทอดทิ้งนาง ซึ่งคำนวณคร่าว ๆ แล้ว นี่อาจจะเป็นความเสียหายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอ๋องจี้แล้ว
หากในช่วงหลายปีมานี้ไม่มีพระชายาจี้อยู่ เกรงว่าอ๋องจี้คงจะต้องประสบปัญหาที่ยากจะแก้ไขไปหลายต่อหลายครั้งไปแล้ว
“ให้กำลังใจซึ่งกันและกันเถอะนะ!” หยวนชิงหลิงก็ไม่มีคำพูดอะไรที่จะปลอบโยนนางได้
พระชายาจี้มองดูหยวนชิงหลิงแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ก่อนหน้านี้ที่ข้ามาเพื่อขอรับการรักษาจากเจ้า ทุกคำสัญญาที่ข้าเคยพูดไว้ ถึงวันนี้ข้าก็ยังยึดถือสัจวาจานั้นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”