บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 426
หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่า นี่เป็นการเยาะเย้ยแบบที่ทำเป็นขบวนการ เขากวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเรียบ ๆ พลางพูดว่า “ความคิดเห็นไม่ตรงกัน สามารถถกเถียงกันเพื่อหาเหตุผลอย่างช้า ๆ ได้ แต่ไม่ใช่พูดโจมตีกันเช่นนี้ มันจะทำให้ข้าโกรธ”
พี่ซู่หลงไม่พูดอะไรอีก
หวางเจียพูดขึ้นว่า: “ไม่ใช่พูดโจมตี กลับกันยังต้องขอคำชี้แนะจากพระชายาแล้วว่า พระชายาก็ศึกษาวิจัยในเรื่องของปรากฏการณ์บนท้องฟ้า ที่เกี่ยวข้องกับดาราศาสตร์ด้วยอย่างนั้นรึ?”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า ” ข้าไม่ได้ศึกษาวิจัยอะไร แค่เคยสนใจเรื่องนี้มาบ้างเล็กน้อยเท่านั้น”
สำหรับนางแล้ว ความสนใจในเรื่องของดาราศาสตร์ ไม่ได้มากเท่ากับความสนใจในนิยายแนววิทยาศาสตร์
“จุดมืดบนดวงอาทิตย์ที่เจ้าพูดถึง ก็คืออีกาสามขาอย่างนั้นใช่หรือไม่ ?” หวางเจียงถาม
“ก็อาจจะใช่” หยวนชิงหลิงตอบ
“เช่นนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?” แววตาของหวางเจียง เต็มไปด้วยความสนใจใคร่รู้
หยวนชิงหลิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยพูดว่า “เรื่องนี้ข้าเดาเอาเองว่า น่าจะเป็นเพราะสนามแม่เหล็กไม่สามารถถ่ายเทความร้อนออกไปได้ ทำให้เกิดเป็นบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า เมื่อมองด้วยตาเปล่าของคนเรา มันจะดูเหมือนเป็นวงกลมสีดำวงหนึ่ง เหมือนกับเวลาที่เราใช้เตาเผาไฟ ส่วนโค้งงอส่วนหนึ่งบนหัวเตา จะมีส่วนที่ไฟไม่สามารถเผาไหม้ขึ้นไปได้ถึง ตอนที่พวกเรามองดู ก็ไม่ใช่ว่ามันจะมืดลงไปเล็กน้อยหรอกรึ ? ข้าจึงอนุมานว่านี่แหละคือหลักการของมัน”
ทุกคนมองไปที่หยวนชิงหลิงเป็นตาเดียว
แม้ว่าสิ่งที่นางพูดอาจไม่น่าเชื่อถือ แต่คำพูดที่ว่า สนามแม่เหล็กเอย การถ่ายเทความร้อนเอย หลักการเอย พวกนั้น กลับเป็นคำศัพท์ระดับสูงที่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจได้
อย่างน้อยก็พวกเขานี่แหละ ที่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง
หลังจากที่หวางเจียงได้ฟังคำที่นางพูด ก็เริ่มครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง หวางเจียงก็หันกลับมามองหยวนชิงหลิง แล้วเริ่มหารือกับนางอย่างจริงจัง “เมื่อครู่พระชายาพูดว่าอีกาสามขานี้ สามารถส่งผลกระทบต่อสนามแม่เหล็กของโลก ทำให้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงได้ นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่? มีหลักฐานพิสูจน์หรือไม่?”
หยวนชิงหลิงเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ของเขาแล้ว ก็คิดว่าถ้าหัวข้อนี้ยังดำเนินต่อไป วันนี้นางคงยากจะถอนตัวไปได้แน่แล้ว ด้วยเหตุนี้ นางจึงตัดสินใจขายชื่อคนคนหนึ่งออกไปในที่สุด “ที่จริงแล้วข้าก็ไม่รู้หรอก เรื่องพวกนี้ท่านเจ้าอาวาสวัดฮู่กว๋อเป็นคนบอกข้า”
จู่ ๆ ทุกคนก็เข้าใจขึ้นมาทันที ไม่น่าแปลกใจเลย ที่นางพูดได้อย่างเป็นระเบียบแบบแผนขนาดนี้ กลายเป็นว่านางแค่เก็บเอาคำพูดของคนอื่น มาเป็นคำพูดของตัวเองก็เท่านั้น
หวางเจียงอยากจะไปหาท่านเจ้าอาวาสทันที จะได้หารือเรื่องนี้กับเขาสักรอบหนึ่ง
จึงถูกหยู่เหวินเห้าใช้มือข้างหนึ่งกดไว้ “เอาล่ะ รอให้เป็นเวลาอื่นค่อยไปไม่ได้รึ ? จำเป็นต้องไปในตอนที่พวกเราว่างตรงกันให้ได้หรืออย่างไร ? นั่งลงเถอะน่า ข้ามีเรื่องจะถามเจ้าเสียหน่อย เจ้าจะไม่พิจารณา เรื่องมารับหน้าที่เป็นหัวหน้าสำนักดาราศาสตร์จริง ๆ น่ะหรือ? ”
หวางเจียงส่ายหน้า “ไม่ ไม่พิจารณาแน่ เจ้าก็รู้ว่าแต่ไหนแต่ไรมา ข้ารักอิสระมาโดยตลอด เมื่อไหร่ที่ไปเป็นขุนนาง ทุกคำพูด ทุกการกระทำจะถูกคนอื่นควบคุมทั้งหมด ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ข้าหวังไว้อย่างแท้จริง”
หยู่เหวินเห้าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง: “แต่ ถ้าหากข้าขอให้เจ้าไปล่ะ?”
หวางเจียงตกใจจนผงะ หันไปมองเขา “ความหมายของท่านอ๋องคือ?”
“ถูกต้อง!” หยู่เหวินเห้าก็ไม่พูดอะไรมาก แค่พยักหน้าตอบรับ
เมื่อครู่หวางเจียงยังปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยวอยู่ ตอนนี้พอได้ยินคำสองคำนี้ เขาก็พูดขึ้นว่า “เป็นขุนนางสิดี วัน ๆ ไม่ต้องหงอยเหงาเศร้าสร้อย ชีวิตไม่น่าเบื่อหน่าย ไปเป็นขุนนางนี่แหละดี”
ทุกคนต่างพากันหัวเราะลั่น
หยวนชิงหลิง แอบชำเลืองมองหยู่เหวินเห้าด้วยความประหลาดใจ
วันนี้เขามารับสมัครทหารกับซื้อม้าหรอกหรือนี่ ? * ความหมายคือ การรวบกำลังคนรวมถึงสรรพาวุธเพื่อจัดตั้งกองกำลัง เตรียมตัวทำการอะไรบางอย่าง*
หัวหน้าสำนักดาราศาสตร์ สำหรับผู้ที่อยู่ในตำแหน่งว่าที่กษัตริย์แล้ว คำพูดของเขาจะมีค่ามีน้ำหนักอย่างยิ่ง เพียงประโยคเดียวจากการดูการโคจรของดวงดาวในยามค่ำคืน ก็สามารถรู้ถึงความลึกลับใด ๆ บนท้องฟ้าได้ทั้งหมด บุคคลเหล่านี้เป็นตัวตนที่มักจะปรากฏขึ้นมาไม่น้อยในห้วงเวลาอันยาวนานของประวัติศาสตร์ ที่ไหลไปประดุจสายน้ำที่ทอดยาวไม่เคยหยุดนิ่ง
“หงเฉิง” หยู่เหวินเห้าหันไปมองนางอีกครั้ง “ทางเจ้ามีปัญหาอะไรบ้างหรือไม่?”
เสี้ยวหงเฉิงหัวเราะ “ข้าจะไปมีปัญหาอะไรได้ ? ข้าพร้อมรออยู่เสมอ มีอะไรจัดให้ได้ทุกเมื่อ”
แม่ทัพหลู่หมางก็พูดขึ้นเช่นกันว่า: “ข้าก็พร้อมรออยู่เสมอ มีอะไรจัดให้ได้ทุกเมื่อเช่นกัน”
หยู่เหวินเห้าหันไปมองพี่ซูหลง เขายักไหล่พลางพูดว่า “ทำไมล่ะ? ลูกพี่ลูกน้องของข้าเอง ข้าจะไม่สนับสนุนเชียวรึ?”
หยู่เหวินเห้ายกแก้วเหล้าขึ้น “ถ้าเช่นนั้นก็เริ่มกันเดี๋ยวนี้เลย พูดถึงแค่เรื่องสายลมและจันทรา ไม่พูดถึงเรื่องราชการบ้านเมือง ดื่มให้ตายกันไปข้าง!”
ทุกคนต่างยกแก้วเหล้า เหล้าแก้วใหญ่แบบเต็ม ๆ แก้ว ถูกเทลงลำคอไปราวกับว่าพวกเขากำลังดื่มน้ำเปล่าอยู่อย่างไรอย่างนั้น
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าฉากนี้ ดูออกจะทำเป็นเล่นเกินไปหน่อยไหมนะ? พวกเขามาวางแผนการสำคัญบางอย่างร่วมกันไม่ใช่หรือ ? มันควรจะมีการพูดปลุกใจเพื่อล้างสมองที่แสนกระตือรือร้นอะไรสักหน่อยสิ ยกตัวอย่างเช่น หากแม้นทำไม่สำเร็จ เจ้าทุกคนจงไสหัวกลับบ้านไปปลูกเผือกปลูกมันกันเสียให้หมด ! อะไรทำนองนี้
แค่คำพูดไม่กี่ประโยค ในความเป็นจริง มันทำให้รู้สึกว่าขาดจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เกินไปหน่อย ช่างเป็นอะไรที่ชุ่ยพอ ๆ กับการตัดสินใจจะออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนซักแห่งแถว ๆ ชานเมืองในวันพรุ่งนี้อย่างไรอย่างนั้น
ไม่ถามถึงเหตุผล ไม่คำนึงถึงสถานการณ์ ไม่ต้องวิเคราะห์โอกาสในการแพ้ชนะ เพียงแค่ลงมือทำไปเลยตรง ๆ
หัวข้อนี้ ดูเหมือนว่าจะสิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้
หวางเจียงหันกลับมาถามนาง “เช่นนั้น พระชายายังศึกษาดาวดวงอื่นได้ด้วยหรือไม่ ? ดวงจันทร์?”
เสี้ยวหงเฉิงหลุดขำพรืดออกมาเสียงหนึ่ง “พระชายาต้องรู้แน่ว่ามีอู๋กัง (ตำนานอู๋กังโค่นต้นไม้) นางฟ้าฉางเอ๋อ กระต่ายน้อยตัวอวบอ้วน กับต้นกุ้ยอยู่บนดวงจันทร์ด้วยใช่หรือไม่?”
ยังคงเป็นคำพูดประชดประชันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
หยู่เหวินเห้าไม่พอใจแล้ว หันไปพูดกับหยวนชิงหลิงว่า: “เจ้าบอกพวกเขาไปเลยว่า ดาวยาวนั่น มันอยู่ห่างจากพวกเราไกลขนาดไหน”
หยู่เหวินเห้าไม่เคยลืมคำพูดที่ชวนประหลาดใจ ซึ่งหยวนชิงหลิงมักหลุดปากพูดออกมาให้ได้ยินเป็นครั้งคราวเหล่านั้น
ดวงตาของหวางเจียงเป็นประกายเจิดจ้า “พระชายาก็เข้าใจในเรื่องของดาวยาวด้วยอย่างนั้นรึ?”
หยวนชิงหลิงมองไปที่ดวงตาที่วาวโรจน์ของหยู่เหวินเห้า รู้ดีว่าที่เขาพาตัวเองมาพบกับคนเหล่านี้ในวันนี้ อีกทั้งคนเหล่านี้กำลังวางแผนที่จะทำการสำคัญร่วมกับเขา และเขาต้องการพิสูจน์ให้คนเหล่านี้รู้ว่านางไม่ใช่หยวนชิงหลิงคนเดิมในอดีตคนนั้นแล้ว
ต่อให้เป็นการค่อย ๆ เปลี่ยนความคิดเห็นของพวกเขาทีละเล็กละน้อย แต่ก็ยังดีกว่าความรังเกียจเดียดฉันท์ที่เคยมีต่อนางเมื่อสมัยก่อน
ความร่วมมือในการตอบคำถามของหวางเจียง ก็นับว่าเป็นก้าวแรกในความพยายามเช่นกัน
ดังนั้นนางจึงพูดว่า: “ไม่นับว่าถึงกับเข้าใจ ยังต้องศึกษาวิจัยอีกนิดหน่อย”
“รีบพูดมาเร็วเข้า” หวางเจียงพูดเร่ง
หยวนชิงหลิงหยิบเอาข้อมูลบางอย่างที่พอรู้เกี่ยวกับดาวศุกร์ ออกมาบอกเล่าให้เขาฟัง เช่น การหมุนย้อนกลับของดาวศุกร์ เรื่องที่ว่าดาวศุกร์อยู่ห่างจากโลกมากขนาดไหน อุณหภูมิพื้นผิวของดาวศุกร์ เป็นต้น หวางเจียงฟังจนถึงขั้นร้องตะโกนอย่างเหลือเชื่อ
คนอื่นๆ ต่างก็แสดงสีหน้าชื่นชมขึ้นมาด้วยเช่นกัน
บทสนทนาต่อจากนั้น จึงดูสนุกสนานขึ้นมากเลยทีเดียว
แต่หลังจากดื่มไปสามรอบ ในตอนที่หยวนชิงหลิงกลับมาจากเวจ ก็ได้ยินเสี้ยวหงเฉิงถามหยู่เหวินเห้าว่า “ดูแล้วแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อยจริง ๆ ด้วย แต่ข้ากลัวว่ามันเป็นเพียงเคล็ดลับที่ใช้ในการสะกดจิตให้คนลุ่มหลงหรือไม่? เจ้าก็รู้นะว่า เมื่อไหร่ที่เจ้าเริ่มลงมือทำเรื่องนั้น ในจวนของเจ้าคือกุญแจสำคัญ และเมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดเรื่องอะไรขึ้น เป็นไปได้ว่า เจ้าจะล้มเหลวเพราะขาดความพยายามขั้นสุดท้ายไม่พอ ยังต้องรับโทษในผลที่ตามมาอีกด้วย”
นางชะงักฝีเท้า อยากจะฟังว่าหยู่เหวินเห้าจะรับประกันกับพวกเขาว่าอย่างไร
คาดไม่ถึงว่า กลับได้ยินหยู่เหวินเห้าพูดว่า: “ใช่ มันเป็นกุญแจสำคัญจริงๆ ดังนั้น วันนี้ข้าจึงพานางมาด้วย ในอนาคต ถ้าเรามีปัญหาอะไรขึ้นมาจริงๆ นางเองก็ไม่สามารถสลัดพ้นในความเกี่ยวข้องนี้ได้ ทุกคนล้วนต้องถูกตัดหัวเหมือนกันหมด”
พูดจบ เขาก็หัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน
พี่ซูหลงพูดขึ้นว่า “น้องชาย ถ้าเจ้าไว้ใจนางได้ล่ะก็ เป็นธรรมดาที่พวกเราก็จะเกรงใจนางมากขึ้นอีกสักหน่อย แต่ก็หวังว่าเรื่องเลวร้ายแบบที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งอดีต มันจะไม่เกิดขึ้นมาอีก”
“นั่นก็ยากที่จะพูดนะ ผู้หญิงคนนี้น่ะ เมื่อไหร่ก็ตามที่นางได้เห็นคนหน้าตาดีกว่าข้าเข้าหน่อย ก็จะมีอาการคลั่งผู้ชายหน้าตาดีขึ้นมาทันที” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างเศร้าโศก
พี่ซูหลงถึงกับพูดไม่ออก เอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งว่า “อันที่จริงแล้ว ข้าเองก็ได้ยินเรื่องความเปลี่ยนแปลงของนางมาไม่น้อยเช่นกัน แต่เพราะว่าความประทับใจก่อนหน้านี้มันแย่มาก ข้าจึงลังเลที่จะเชื่อมาโดยตลอด พอได้มาเห็นวันนี้ จึงพบว่านางแตกต่างจากเดิมมากอย่างที่คิดจริง ๆ เสียด้วย จริงสิ นางเคยโดนหมากัดมาก่อนจริงๆ น่ะหรือ?”
หยู่เหวินเห้าพูดอย่างโกรธเคืองว่า: “นางเคยถูกกัดหรือไม่ข้าก็ไม่รู้หรอก แต่ที่แน่ ๆ คือข้าเองนี่ล่ะที่ถูกกัด แล้วตัวที่กัดก็เป็นหมาที่นางเลี้ยงเสียด้วย”
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ หยวนชิงหลิงก็กลอกตามองบนใส่ ทั้งยังพูดอะไรไม่ออก นอกเสียจากว่าพวกเขาจะสนิทสนมคุ้นเคยจนรู้ไส้รู้พุงกันดี หาไม่แล้ว คำพูดเหล่านี้ไม่มีทางที่เขาจะใช้เป็นข้อแก้ตัวให้กับนางแน่
แต่เมื่อนางกลับไปที่เดิม แววตาที่ทุกคนมองมาที่นาง กลับดูอ่อนโยนขึ้นกว่าเดิมมาก
หยวนชิงหลิงถอนหายใจเฮือก คนเหล่านี้ ช่างสนิทสนมคุ้นเคยกับเขามากเสียจนรู้ไส้รู้พุงกันดีจริง ๆ
ที่บ้านของหวางเจียง ทุกคนต่างดื่มกินจนอิ่มหนำสำราญ กว่าจะแยกย้ายกันกลับบ้าน ก็เป็นเวลาค่ำมากแล้ว
บนรถม้า หยวนชิงหลิงถามว่า “เรื่องบางอย่างที่เจ้าหมายถึง เป็นเรื่องเดียวกันกับที่พระชายาจี้เคยพูดไว้หรือไม่?”
หยู่เหวินเห้าลูบท้องของนางเบา ๆ “เตรียมพร้อมให้มากหน่อยย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอ หากใช้คำของท่านเจ้าอาวาสมาพูด พวกเราไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มทำศึกก่อน แต่พวกเราก็ไม่กลัวการทำศึก เมื่อถึงเวลาสำคัญขึ้นมาจริง ๆ พวกเราไม่สู้ไม่ได้”
“…. แต่วันนี้ข้าไม่ได้ยินเจ้าพูดอย่างละเอียดเลยนะ”
“ข้างนอกมีคนจากวังตั้งมากมายถึงเพียงนั้น พวกเราจะคุยกันได้หรือ?” หยู่เหวินเห้าส่งสายตาที่สื่อความหมายว่านางปัญญาอ่อนไปให้แวบหนึ่ง ให้นางได้ตระหนักรู้ด้วยตัวเอง