บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 427
อ๋องจี้ประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ แต่กลับประพฤติตัวเรียบร้อยไม่ออกนอกลู่นอกทางขึ้นมาก
ผ่านไปอีกสองสามวัน ตอนที่พระชายาจี้มาถึง พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา อาซี่บอกว่าเขากำลังวางแผนการเคลื่อนไหวลับ ๆ ครั้งใหญ่ พระชายาจี้บอกให้หยวนชิงหลิงสบายใจได้ เขาวางแผนทำการใหญ่อะไรไม่สำเร็จอยู่แล้ว เพราะเขาตอนนี้ไม่ว่าจะคิดทำการใดก็ขาดความระมัดระวังครุ่นคิดได้ไม่ครอบคลุมรอบด้าน
เรื่องตุ๊กตาที่ถูกใช้เป็นแผนการใส่ร้ายนั้น แม้ว่าพระชายาจี้จะมอบเงินให้เขาหนึ่งหมื่นตำลึงเพื่อใช้แลกกับความสงบสุขชั่วคราว แต่พระชายาจี้ก็เริ่มติดต่อกับคนในสายอย่างลับ ๆ แล้ว และทำหมางเมินเย็นชาต่ออ๋องจี้
อ๋องจี้ในตอนนี้ ความคิดทั้งหมดที่มีล้วนทุ่มไปลงที่ฉู่หมิงหยางจนหมดจิตหมดใจ หวังเพียงว่า ฉู่หมิงหยางจะเป็นผู้นำพาการสนับสนุนจากตระกูลฉู่มาให้ตนเองได้
“ฉู่หมิงหยาง? ตระกูลฉู่ไม่มีทางฟังคำพูดของฉู่หมิงหยางหรอก” หยวนชิงหลิงพูดพลางหัวเราะ
พระชายาจี้หัวเราะเบิกบาน “คนเราน่ะ การมีจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังถือเป็นสิ่งดี ในเมื่อเขาอยากได้การสนับสนุนจากตระกูลฉู่ ก็ปล่อยให้เขาไปต่อสู้แย่งชิงเสียหน่อยแล้วกัน จะดีจะร้ายมันก็ยังทำให้พวกเราพอมีเวลาว่าง ได้พักหายใจหายคอบ้าง หลายปีมานี้ เขาไม่ได้ลงแรงทำอะไรเองกับมือมากนัก อย่างมากที่สุดก็สร้างผลงานให้เห็นบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ผลงานเหล่านี้เมื่อนำมาเทียบกับความผิดพลาดของเขาแล้ว เรียกได้ว่าไม่คุ้มค่าที่จะพูดถึงแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน เจ้าห้าของเจ้า มีผลงานมากมายให้เห็นเป็นที่ประจักษ์จริง แต่ความผิดพลาดมักเป็นเพราะคนรอบข้างเป็นคนสร้างให้เขาทั้งนั้น พลอยลากเขาให้ติดร่างแหจนต้องลำบากไปด้วย ตั้งแต่ต้นจนจบ เสด็จพ่อจะต้องทรงทราบเรื่องนี้อยู่แล้วเป็นแน่”
หยวนชิงหลิงหัวเราะ แต่ไม่ได้พูดอะไร
ก็เป็นคำชมเจ้าห้าที่ทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาเลยทีเดียว
“จริงสิ ฮู่เฟยเข้าวังแล้วล่ะ” พระชายาจี้ผู้มีข้อมูลอันทรงประสิทธิภาพพูดขึ้น
หยวนชิงหลิงพูดว่า “ยินดีกับนางด้วย นางชอบเสด็จพ่อมากจริง ๆ ในที่สุดก็ได้ในสิ่งที่นางปรารถนา”
จู่ๆ หยวนชิงหลิงก็นึกถึงคำพูดประโยคนั้นที่เจ้าห้าพูดว่า เสด็จพ่อชอบเหมือนตอเป่า นางจึงรู้สึกกระดากอายในใจไปชั่วขณะ
พระชายาจี้พูดขึ้นว่า “อันที่จริงแล้วฮู่เฟยก็นับว่าฉลาดนะ แต่งให้กับอ๋องคนใดคนหนึ่ง ก็มีแต่ต้องสู้กันไปสู้กันมา ยังไม่สู้เข้าวังไปเป็นพระสนมยังดีเสียกว่า บรรดาท่านหญิงในวังทั้งหลายต่างก็สูงวัยกันไปหมดแล้ว นางเข้าวังไปย่อมต้องได้รับความโปรดปรานมากเป็นแน่”
“ใช่แล้ว” หยวนชิงหลิงพูดอย่างไม่จริงใจนัก นางสามารถมองเห็นจากแววตาของฮู่เฟยได้ว่า นางไม่ใช่คนที่ยึดถือผลประโยชน์เป็นสำคัญ หรือมีแผนการร้ายลึกอะไรแบบนั้นเลย
ในทางตรงกันข้าม นางเป็นคนที่ใสบริสุทธิ์มาก ไล่ตามสิ่งที่ตัวเองปรารถนามาตลอดทั้งชีวิตอย่างชัดเจนแน่วแน่ และยืนหยัดในเป้าหมายนี้อย่างไม่สั่นคลอน
หลังจากที่เจ้าห้ากลับไปปฏิบัติหน้าที่ยังกรมการพระนคร ชีวิตของเขาก็ดูเหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็ถึงช่วงสิ้นปีแล้ว
เริ่มตั้งแต่วันที่ยี่สิบเก้าก่อนวันสิ้นปี ทางราชสำนักก็มีราชโองการให้วันหยุดลงมา ให้หยุดยาวไปจนถึงวันที่แปดของปีหน้า จึงค่อยเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง
หยวนชิงหลิงตอนนี้อายุครรภ์ได้หกเดือนแล้ว ร่างกายหนักขึ้นมาก แม้ว่าจะยังเดินเหินได้ แต่หลังจากเดินไปได้สักพักก็จะเหนื่อยแล้ว
นางนอนหลับไม่สนิทในตอนกลางคืน พบว่าจะรู้สึกหายใจลำบากเวลานอนลง แต่พอลุกขึ้นนั่งก็ไม่สามารถยืดตัวให้ตรงได้
เท้าของนางเริ่มบวม บวมมากเสียจนกระทั่งรองเท้าของหยู่เหวินเห้า นางก็ไม่อาจสวมมันได้แล้ว บวกกับทารกในครรภ์มีขนาดใหญ่เกินไป จึงทิ้งตัวลงด้านล่างเยอะมาก ตอนนี้นางกินอะไรได้ไม่มากนัก เพราะถ้ากินเยอะเกินไปก็จะอาเจียน แต่ถ้ากินน้อยไปก็จะหิว สภาวะอารมณ์อยู่ในช่วงที่แปรปรวน รู้สึกหงุดหงิดง่ายไปหมด
ซึ่งตัวนางเอง ก็ไม่มีวิธีควบคุมอารมณ์ตัวเองเช่นกัน
ตอนนี้หยู่เหวินเห้าเองก็มีรอยคล้ำใต้ตาทุกวัน ตอนกลางคืนหยวนชิงหลิงไม่ค่อยได้หลับสนิท ตัวเขาเองจึงพลอยไม่ค่อยได้หลับสนิทไปด้วย
เมื่อคืนนางเป็นตะคริว เขาจึงตื่นขึ้นมากลางดึกช่วยลูบ ๆ ท้องให้นาง ช่วยยืดเนื้อยืดตัวให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย
เมื่อหายใจไม่ออก เขาจึงช่วยพยุงนางลุกขึ้นมานั่งน้อย ๆ เพื่อให้หายใจได้สะดวกมากขึ้น
เมื่อเห็นนางทรมาน อารมณ์ของหยู่เหวินเห้าเอง ก็พลอยหงุดหงิดขี้โมโหไปด้วยเช่นกัน
สวีอีในช่วงหลายวันนี้ จึงเป็นคนที่ต้องประสบเคราะห์กรรมอันโหดร้ายไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไรก็เป็นต้องถูกดุด่าอยู่เสมอ
อาซี่กลับไปบ้านตระกูลหยวน ในเมื่อเป็นช่วงฉลองปีใหม่ นางต้องกลับบ้านไปอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว
คืนก่อนขึ้นปีใหม่คือการเข้าวังไปโต้รุ่งในคืนสิ้นปี *เป็นประเพณีที่ชาวจีนจะไม่นอนหลับกันในคืนวันสิ้นปี เพื่อต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง เชื่อกันว่าจะทำให้พ่อแม่ของตนมีอายุยืนยาว * คนในราชวงศ์ทั้งหมดจะไปร่วมกันทานอาหารค่ำอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
แต่หลังจากที่หยวนชิงหลิงลองเสื้อผ้าไปหลายชุด ในที่สุด นางก็ร้องไห้ออกมาอย่างสติแตก
ไม่ใช่เพราะอ้วน แต่เพราะนางลองเสื้อผ้าไปมากมายหลายชุด ต่างก็ทำให้นางหายใจไม่ออก รู้สึกขาดอากาศจนสมองตื้อตันอึดอัดไปหมด บวกกับเวลาที่ยืนเพื่อลองชุดนานเกินไป จนทำให้เท้าเป็นตะคริว ในตอนแม่นมสี่ไปช่วยพยุงนางให้นั่งลง ชั่วขณะนั้นนางก็ก้มหน้าร้องไห้ขึ้นมาอย่างทุกข์ใจ
หยู่เหวินเห้าสั่งการให้คนเตรียมการเข้าวังอยู่ข้างนอก จึงได้ยินเสียงร้องไห้ของหยวนชิงหลิง
เขาแทบจะหมุนตัวแล้วพุ่งทะยานเข้ามาอยู่แล้ว หมันเอ๋อกับแม่นมสี่กำลังช่วยนวดขาให้นาง นางร้องไห้จนมีสภาพเหมือนขนมปังก้อนหนึ่ง ที่มีน้ำตาสองสายอาบนองหน้า เรียกได้ว่าเป็นภาพที่ดูทุลักทุเลมาก
หยู่เหวินเห้าเดินเข้าไปกอดนางอย่างรวดเร็ว พลางพูดปลอบว่า: “ไม่เป็นไร ๆ ข้าอยู่นี่แล้ว”
หลังจากที่หยวนชิงหลิงยอมรับความจริงที่ว่า ตัวเองกำลังตั้งครรภ์เป็นต้นมา นางไม่เคยพูดเลยสักครั้งว่าไม่ต้องการลูก แต่ในครั้งนี้ เธอรู้สึกอึดอัดทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจมากจริง ๆ นางร้องไห้พลางพูดว่า “เจ้าห้า หลังคลอดท้องนี้แล้ว ข้าจะไม่คลอดอีกแล้วนะ ข้ายอมตายเสียยังดีกว่าต้องคลอดอีก”
หยู่เหวินเห้าปลอบนางไม่หยุด “ ได้ พวกเราไม่คลอดแล้ว ไม่คลอดแล้ว ใครคลอดอีก คนนั้นเป็นลูกเต่า” *เป็นคำด่าในทำนองว่าโง่เง่าเต่าตุ่น*
เขาย่อตัวลง เอื้อมมือออกไปเช็ดน้ำตาจากใบหน้าของนาง แล้วจ้องไปยังใบหน้าที่กลมขึ้นมากของนาง จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ถึงขั้นอ้วนหรอก แค่บวมขึ้นนิดหน่อยเท่านั้นเอง
หยวนชิงหลิงหันหน้าไป “เจ้าห้ามดู ข้าในตอนนี้น่าเกลียดแทบตายแล้ว!” “ไม่น่าเกลียดหรอก ตอนนี้เป็นตอนที่เจ้างดงามที่สุดต่างหาก ” หยู่เหวินเห้าปลอบโยน
หยวนชิงหลิงเชื่อเสียที่ไหนกัน ตัวนางเองก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ส่องกระจกเสียหน่อย
นางผลักเขา “เจ้าเข้าวังไปเองเถอะ ข้าไม่ไปแล้ว”
หยู่เหวินเห้ากอดนางอีกครั้ง “เจ้าไม่ไป ข้าก็ไม่ไปเช่นกัน พวกเรามาฉลองปีใหม่ที่บ้านกันเถอะ”
“นั่นไม่ได้ ฝ่าบาทจะทรงตำหนิเจ้าได้” หยวนชิงหลิงพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น
“ใครกลัวเขาตำหนิกันล่ะ? เขาโกรธพวกเราก็ยังไม่ตายเสียหน่อย” หยู่เหวินเห้าจูบนางที่หน้าผาก มองดูรูปร่างหน้าตาของนางตอนนี้ ก็เป็นห่วงจนเจ็บปวดใจอย่างยิ่ง “ทุกวันนี้ นอกจากเจ้าแล้ว อะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น”
จมูกของหยวนชิงหลิงแดงก่ำ เมื่อเห็นท่าทางวิตกกังวลของเขา อารมณ์ของนางก็ค่อย ๆ สงบลงไปบ้างเล็กน้อย “ข้าแค่อารมณ์เสียนิดหน่อย อะไรที่พวกเราควรไป อย่างไรก็ต้องไป”
“ไปได้รึ ? หากไปไม่ได้จริง ๆ พวกเราไม่ฝืนดีกว่านะ ไม่ต้องกลัวว่าใครจะลงโทษหรอก” หยู่เหวินเห้าเองก็ไม่อยากไปแล้ว ในวังมีคนมากเกินไป วุ่นวายขวักไขว่อึกทึก อารมณ์ของเจ้าหยวนก็มักหงุดหงิดง่ายอยู่ด้วย หากถูกคนกวนใจมาก ๆ ต้องหงุดหงิดจนระเบิดโทสะแน่
หยวนชิงหลิงเช็ดน้ำตา “ไปเถอะ เมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนที่ฉางกงกงมา เขาบอกว่าไท่ซ่างหวงทรงเกิดอาการหลอดเลือดหัวใจตีบกำเริบถึงสองครั้ง เข้าวังไปจะได้ถือโอกาสไปดูอาการให้ท่านด้วย”
“เจ้าดูตัวเจ้าสิ จนเวลานี้แล้ว เจ้าก็ยังเอาแต่กังวลถึงอาการของเสด็จปู่อยู่อีก ตัวเจ้าเองตอนนี้ก็มีสภาพย่ำแย่จนแทบจะไม่ไหวแล้วนะ” หยู่เหวินเห้านำหลัวต้ายมาเขียนคิ้วให้นาง ดวงตาจดจ่อและอ่อนโยน นี่เป็นหนึ่งในงานฝีมือที่เขาเชี่ยวชาญที่สุด ในการนำมาใช้ดูแลปรนนิบัติภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์
หยวนชิงหลิงยึดเกาะเสื้อผ้าของเขาไว้ พยายามลืมตาที่ค่อนข้างบวมขึ้น “มีทางอื่นหรือไม่ล่ะ? ตอนนี้เขาเป็นที่พึ่งพิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเรา หลังจากคลอดลูกแฝดสามท้องนี้แล้ว เราก็ยังต้องพึ่งพาเขาให้ช่วยคุ้มครองไปอีกสักระยะหนึ่งด้วย”
หยู่เหวินเห้าพูดเสียงเบา: “ข้าก็สามารถปกป้องพวกเขาได้เช่นกัน”
“ไท่ซ่างหวงใช้เพื่อป้องกันคนผู้นั้นหรอก” หยวนชิงหลิงตอบกลับเสียงเบา
หยู่เหวินเห้าจึงไม่พูดอะไรขึ้นมาอีก
ตอนนี้เขาไม่กลัวใครทั้งนั้น กลัวแค่พ่อตัวเองจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือไม่นับญาติ
ดังนั้น หากไท่ซ่างหวงทรงมีพลานามัยแข็งแรงอายุยืนยาวต่อไป สำหรับจวนอ๋องฉู่ของพวกเขาแล้ว นับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างใหญ่หลวง
ชุดราชสำนักสำหรับพระชายา หยวนชิงหลิงไม่สามารถใส่เข้าไปได้
โชคดีที่นางรู้มานานแล้วว่า จะต้องเข้าวังไปกินเลี้ยงอาหารค่ำฉลองปีใหม่ ดังนั้นนางจึงทำเสื้อคลุมสีแดงตัวหลวม ๆ เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
เสื้อคลุมนี้ไม่มีอะไรพิเศษอย่างอื่น มันแค่เป็นชุดหลวม ๆ เท่านั้น
นางยังต้องสวมเสื้อผ้าฝ้ายเอาไว้ด้านในชั้นหนึ่ง ส่วนด้านนอกจะเป็นเสื้อคลุมหนา ๆ นางไม่ใช้ขนจิ้งจอก หรือขนสัตว์ใด ๆ ในฐานะที่เป็นคนเลี้ยงหมาคนหนึ่ง นางต่อต้านในสิ่งเหล่านี้
ดังนั้น แม้ว่านางจะแต่งกายด้วยผ้าที่หนาขนาดนี้แล้ว แต่นางก็ยังรู้สึกหนาวอยู่ดี
ตอนที่ออกจากบ้าน ร่างกายก็สั่นเทาขึ้นมาน้อยๆ “คืนนี้คนคงจะเยอะใช่หรือไม่?”
“บรรดาราชนิกุล โดยพื้นฐานแล้วทุกคนล้วนมาหมด” หยู่เหวินเห้าช่วยพยุงนาง ตอนนี้แค่เดินนางก็ต้องเดินอย่างระมัดระวังที่สุด เพราะนางถึงขั้นมองไม่เห็นนิ้วเท้าของตัวเองอีกต่อไปแล้ว
แต่การแต่งกายที่แน่นหนาทบซ้อนกันเป็นชั้น ๆ แบบนี้ เมื่อมองจากสายตาของคนนอก มันดูไม่ค่อยเหมือนคนตั้งครรภ์เท่าไหร่ แต่ดูเหมือนคนที่อ้วนฉุเลยมากกว่า