บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 428
รถม้าทำขึ้นเป็นพิเศษ ด้านในปูด้วยเบาะรองนั่งนุ่มสบาย หลังจากที่หยวนชิงหลิงขึ้นไป นางก็กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ในอ้อมแขนของหยู่เหวินเห้า ท่านี้สามารถช่วยให้นางหลีกเลี่ยงแรงกระแทกที่รุนแรงเกินไปได้พอสมควร
เมื่อเห็นสภาพที่ดูเงอะงะงุ่มง่ามของตัวเอง หยวนชิงหลิงก็ถอนหายใจเฮือก: “ถ้าวันหน้าเด็กสามคนนี้ซุกซนก่อความวุ่นวาย ข้าจะตีให้ตายเลยคอยดู”
“ไม่ต้องรอให้ถึงตาเจ้าลงมือหรอก” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างเผด็จการ กำหมัดแน่นแล้วพูดเสียงดังลั่นว่า “แค่หมัดเดียวก็ทำให้พวกเขาเละจนกลายเป็นโคลนได้เลยเชียวล่ะ”
“โหดร้ายเกินไปแล้ว” หยวนชิงหลิงตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน
หยู่เหวินเห้าแค่นเสียงเฮอะในลำคอขึ้นมาสองครั้ง “ให้พวกเขารู้ตั้งแต่ยังเล็กว่า โลกใบนี้มันช่างโหดร้าย เช่นเดียวกับข้าที่เป็นพ่อของพวกเขานี่แหละ อดทนแบกรับทุกอย่างก็ยังต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่ปลอดภัย”
หยวนชิงหลิงกอดแนบแอบอิงเขาแน่น ไม่พูดอะไรออกมาอีก
“เป็นอะไรไป ? ไม่สบายตรงไหนรึ ?” หยู่เหวินเห้าถามพร้อมกับกอดนางไว้แน่น
หยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้นมองเขา ในดวงตาแฝงแววโศกเศร้าเล็กน้อย “เจ้าห้า ข้าไม่อยากให้เจ้าเป็นฮ่องเต้เลย”
“ทำไมจู่ๆ ถึงพูดอะไรแบบนี้ออกมาล่ะ?” หยู่เหวินเห้าตกใจจนผงะ มองนางแล้วหัวเราะ “เจ้ากลัวสาวงามสามพันนางในวังหลังรึ ? เจ้าวางใจเถอะ หากข้าได้เป็นฮ่องเต้จริง ๆ ข้าจะดีกับเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น”
หยวนชิงหลิงยัดร่างของตัวเองขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าจะแต่งหรือไม่แต่งใครไม่สำคัญ แต่เมื่อครู่เจ้าเพิ่งบอกว่า เจ้าอดทนทุกอย่างก็ยังต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่ปลอดภัย ในหมู่มวลพี่น้องของเจ้า ความรักใคร่สายสัมพันธ์ที่แท้จริงจะมีอยู่สักเท่าไหร่กัน ? เพื่อตำแหน่งนั้น ก็ไม่ใช่ว่าต้องต่อสู้แย่งชิงกันจนไม่เจ้าก็ข้าต้องตายกันไปข้างหรอกรึ? หากวันหน้าลูก ๆ ของเราต้องเดินตามรอยพวกเจ้าพี่น้องขึ้นมา จะทำอย่างไรล่ะ?”
คำถามนี้ หยู่เหวินเห้าเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนจริง ๆ ทันทีที่หยวนชิงหลิงพูดเช่นนี้ เขาเองก็ถึงกับตกตะลึงจนผงะไป
“นี่… อาจจะเป็นลูกผู้หญิงสอง ลูกชายหนึ่งก็ได้นะ?” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างมองโลกในแง่ดี
“หรืออาจไปได้ว่า บางทีทั้งสามคนอาจเป็นผู้ชายหมดก็ได้?” หยวนชิงหลิงถามย้อน
หยู่เหวินเห้ารู้สึกหดหู่ขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง
สิ่งนี้ช่างขัดกับความประสงค์ของเขายิ่งนัก เขาตั้งตารอลูกสาวสองลูกชายหนึ่งมาโดยตลอด เพื่อที่เขาจะได้โอบซ้ายประคองขวาอยู่ในจวน ลูกชายก็ออกไปทำงานอย่างขยันขันแข็ง เพื่อหาเงินกลับมาเลี้ยงดูครอบครัว
“หรือถ้าเป็นลูกชายสองคน ก็อาจคิดเข่นฆ่ากันเองได้อยู่ดี ตำแหน่งนั้นจะทำให้คนเป็นบ้ากันไปหมด” หยวนชิงหลิงพูด
หยวนชิงหลิงมองไปที่ท้องของนาง “เช่นนั้นควรทำอย่างไรดีล่ะ?”
“ข้าไม่รู้”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า: “ถ้าอย่างนั้นพวกเราไม่ต้องเป็นฮ่องเต้ก็พอแล้วนี่”
“ถึงตาเจ้าพูดแบบนี้แล้วรึ ? ตอนนี้เจ้าวางแผนทุกอย่างไว้หมดแล้วนะ”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า: “นั่นเป็นเพียงการรวมความคิดเข้าด้วยกัน ไม่จำเป็นต้องนั่งในตำแหน่งนั้นจริงๆก็ได้”
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่างมันเถอะ มาคิดเรื่องเอาตอนนี้ก็ยังนับว่าเร็วเกินไป ในอดีตมีรัชทายาทกี่พระองค์กันที่ทนไปได้จนถึงวันตาย เมื่อฮ่องเต้ยังไม่สิ้นพระชนม์ พวกเราก็ยังไม่ต้องวิตกกังวลไปหรอกนะ”
หยวนชิงหลิงคิดไปคิดมา ก็เห็นด้วยตามนั้น ตอนนี้มากังวลเรื่องนี้ก็ออกจะเกินเหตุไปหน่อยจริง ๆ บางทีทั้งสามคนอาจจะเป็นผู้หญิงหมดก็ได้?
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คลอดท้องนี้แล้ว นางก็จะไม่คลอดอีก
หลังจากผ่านวันเวลาอันสงบราบรื่นไปได้กว่าครึ่งเดือน หากไม่ใช่เพราะไม่สบายกาย นางก็คงรู้สึกว่าตัวเองได้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์กว่าครึ่งเดือนเลยทีเดียว
หากจะพูดว่าคลอดลูกชายออกมา ก็ต้องถูกลิขิตมาให้มีชีวิตเกลือกกลั้วอยู่ในกระแสน้ำวนอันลึกลับซับซ้อน ต้องคอยใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัวทุกเมื่อเชื่อวันแล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็ไม่สู้เป็นเด็กผู้หญิงหมด มันคงจะดีกว่าจริง ๆ นั่นแหละ
หลังจากเข้าวังไป สองคนสามีภรรยาก็ไปน้อมทักทายไท่ซ่างหวงก่อน ฮองเฮากับฮ่องเต้หมิงหยวนก็อยู่ที่นั่นด้วย
คืนโต้รุ่งของปีนี้ ฮ่องเต้หมิงหยวนก็มีเวลาว่างเช่นกัน หลังจากพระองค์ปิดผนึกตราประทับใหญ่เมื่อคืนเสร็จ วันนี้พระองค์ก็มีเวลาว่างแล้ว ฮ่องเต้หมิงหยวนยังทรงแต่งองค์ทรงเครื่อง โกนหนวดเคราจนสะอาดสะอ้าน พระพักตร์ขาวผ่อง บวกกับฉลองพระองค์สีเหลืองสดใส ขับเน้นให้เห็นถึงสง่าบารมี ทั้งยังเพิ่มความอ่อนโยนขึ้นไม่น้อยอีกด้วย
เนื่องจากเพิ่งจะเป็นยามอู่(ประมาณเที่ยง) พระองค์จึงมีเวลามาน้อมทักทายไท่ซ่างหวง และพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องในครอบครัว
สิ้นปีนี้ ถึงเวลาแล้วที่จะละทิ้งความยุ่งยากทั้งหมด และอุทิศพลังงานทั้งหมดให้กับการพักผ่อน
การมาถึงของคู่สามีภรรยาหยู่เหวินเห้า ทำให้พระตำหนักฉินคุนคึกคักมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเดิมมาก
เมื่อเห็นท้องท้องอันใหญ่โตของหยวนชิงหลิง ฉางกงกงอดไม่ได้ที่จะออกไปช่วยพยุงนาง “พระชายาโปรดเดินอย่างระมัดระวังด้วย มองธรณีประตู ก้าวขึ้น ใช่ ก้าวขึ้นอีกครั้ง…”
หยวนชิงหลิงถึงกับพูดไม่ออก “กงกง แค่เดินข้ายังทำได้อยู่นะ”
ฉางกงกงพูดอย่างจริงจังว่า: “ตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน ร่างกายท่านน้ำหนักเพิ่มขึ้นแล้ว สมควรใส่ใจระมัดระวังกับทุกสิ่ง”
เขาช่วยพยุงนางไปยังหน้าพระพักตร์ไท่ซ่างหวง หยู่เหวินเห้าช่วยพยุงนางให้คุกเข่าลงช้า ๆ ไท่ซ่างหวงหยุดเขาไว้ทันที “หลานห้า เจ้าคุกเข่าแทนนาง โขกหัวคำนับแทนนางด้วย”
ไท่ซ่างหวงทรงห่วงใยหลานสะใภ้คนนี้อย่างยิ่ง
ไทเฮาเห็นดังนั้นก็รู้สึกพอพระทัยมาก เพราะเกรงว่าหากให้นางโขกหัวคำนับ จะส่งผลร้ายต่อหลานคนสำคัญของพระนาง
หยู่เหวินเห้าโขกหัวคำนับทั้งคู่ จากนั้นจึงไปโขกหัวคำนับเสด็จพ่อ การคุกเข่าลงโขกหัวคำนับครั้งนี้ เป็นการคำนับที่หยู่เหวินเห้าทำต่อเนื่องกันราวสิบกว่าครั้งเห็นจะได้
“ร่างกายเจ้ามีน้ำหนักเพิ่มขึ้นแล้ว อย่าเดินไปเดินมา รออยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงเวลาอาหารค่ำเถอะ” ไทเฮาตรัส
“เพคะ!” หยวนชิงหลิงหลังจากที่นั่งลงแล้ว ก็รีบตอบรับอย่างรวดเร็ว แค่นางเดินเข้ามาที่นี่ ก็แทบจะใช้พลังไปเกือบครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่ของนางแล้ว
“ช่วงนี้รู้สึกเป็นเช่นไรบ้าง?” ฮ่องเต้หมิงหยวนก็ทรงทอดพระเนตรมองนาง พลางตรัสถามเช่นกัน
หยวนชิงหลิงตอบไปตามความจริงว่า “กราบทูลเสด็จพ่อ ไม่ค่อยดีนักเพคะ ในแต่ละวันจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยถึงเจ็ดแปดส่วน นอนไม่ค่อยหลับ กินไม่ค่อยได้เพคะ”
“อย่าทำเป็นบอบบางนักเลย ผู้หญิงทุกคนต่างก็ต้องทนผ่านเรื่องพวกนี้มาทั้งนั้น อย่าคิดน้อยอกน้อยใจกับตัวเองมากไป ผู้หญิงล้วนมีหน้าที่เป็นแม่ การท้องก็ไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้น ใคร ๆ ก็ทนผ่านเรื่องแบบนี้มาได้กันทุกคนนั่นแหละ “ฮ่องเต้หมิงหยวนตรัส
แข็งทื่อหัวชนฝาเชียวนะ!
หยวนชิงหลิงไม่ได้คาดหวังว่า ผู้ชายจะมาเข้าใจถึงความยากลำบากเวลาผู้หญิงตั้งท้องหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับฮ่องเต้ที่สูงส่งอยู่เหนือใครแบบนี้ นางจึงทำได้แค่พูดออกไปว่า “เพคะ”
แต่เจ้าห้ากลับไม่ยอมแล้ว “เสด็จพ่อไม่เคยท้องเสียหน่อย จะรู้ได้อย่างไรว่าคนท้องไม่ลำบาก?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนกวาดสายพระเนตรมองไปอย่างเย็นชา
จู่ๆ บรรยากาศก็ปะทุเดือดขึ้นมา ราวกับทั้งคู่พร้อมจะชักดาบมาฟาดฟันกันได้ทุกเมื่อ
“เจ้าเคยท้องรึ ? ถึงได้รู้ว่ามันลำบาก?” ฮ่องเต้หมิงหยวนโต้กลับไปอย่างโกรธกริ้ว ไม่รู้ว่าทำไม ได้เห็นเจ้าเด็กคนนี้ทีไร ก็รู้สึกโกรธเกรี้ยวขึ้นมาเสียทุกที
เมื่อก่อนก็ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้ แต่ตอนนี้ทุกครั้งที่ได้เห็น กลับรู้สึกขัดหูขัดตาไปหมด
หยู่เหวินเห้าโต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้ : “ข้าอยู่กับนางตลอดเวลา ตื่นมาช่วยนวดขาผ่อนคลายให้นางกลางดึก ย่อมรู้ถึงความลำบากเป็นธรรมดา เสด็จพ่อ การคลอดลูกเป็นเรื่องที่วิเศษนัก ท่านจะมาปฏิเสธไม่ได้ว่าคนเป็นแม่นั้นยิ่งใหญ่มากมายเพียงไหน”
ฮ่องเต้หมิงหยวนแค่นเสียงเย็นชาขึ้นมาเสียงหนึ่ง “ยิ่งใหญ่ ? ผู้หญิงคนไหนในใต้หล้านี้บ้างที่ไม่คลอดลูก ? จำเป็นต้องมาละเอียดอ่อนขนาดนี้เลยหรืออย่างไร? ผู้หญิงคลอดลูกเป็นเรื่องที่เป็นไปตามหลักการแห่งฟ้าดินอยู่แล้ว ทำไม? ต้องให้ผู้ชายรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณด้วยอย่างนั้นหรือ?”
ไทเฮาทรงถึงกับเบิกดวงเนตรอย่างเคืองขุ่น แล้วตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ฝ่าบาท หูของข้าคล้ายจะได้ยินไม่แจ่มชัดนัก คำพูดเมื่อครู่ที่เจ้าเพิ่งพูดไป ลองพูดให้ข้าฟังชัด ๆ อีกสักครั้งซิ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนรีบลุกขึ้นสารภาพบาปว่า “เสด็จแม่โปรดประทานอภัย ลูกไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นพ่ะย่ะค่ะ ท่านย่อมไม่เหมือนกับคนอื่นเป็นธรรมดา”
ไทเฮาแค่นเสียงเอ่ยขึ้นว่า: “ข้าเองก็เหมือนกับผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่ต้องอดทนผ่านความยากลำบากนานัปการกว่าจะคลอดเจ้าออกมาได้ ยามที่ผู้หญิงคลอดลูก เรียกได้ว่าขาข้างหนึ่งได้ก้าวเข้าประตูผีไปแล้วก้าวหนึ่ง เจ้าว่านั่นลำบากหรือไม่ล่ะ? ”
กลิ่นดินระเบิดที่ไทเฮาโยนมา ลอยกรุ่นอยู่ในอากาศอย่างเข้มข้นจนฮ่องเต้หมิงหยวนถึงกับต้องปาดเหงื่อ “ลำบากพ่ะย่ะค่ะ ลำบาก!”
หากพูดเรื่องอื่น ไทเฮาจะไม่ทรงค้านเลย ตอนนั้นเพื่อจะให้กำเนิดฮ่องเต้ นางแทบจะต้องตายจากไปจริงๆแล้ว ด้วยเหตุนี้ ประโยคที่เขาพูดมาเมื่อครู่ ไทเฮาจึงไม่เห็นด้วยอย่างมาก อีกทั้งยังโกรธมากด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หยวนชิงหลิงกำลังตั้งท้องหลาน ๆ ทั้งสามคนของนาง ตอนนี้นางเอาแต่ตั้งตารอคอยที่จะให้ถึงวันคลอดอย่างใจจดใจจ่อ นางรอคอย แต่ก็กลัวด้วยเช่นกัน ฮ่องเต้มาพูดคำปรามาสเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกัน? นี่จะไม่ทำให้คนฟังแล้วรู้สึกขุ่นเคืองได้หรือไร?
ฮ่องเต้หมิงหยวนกลับไปนั่งลงด้วยอาการหน้าม้าน ไท่ซ่างหวงตรัสอย่างเฉยชาว่า: “ปากเสีย”
ฮ่องเต้หมิงหยวนหันไปมองไท่ซ่างหวงอย่างไม่พอใจ เสด็จพ่อช่างไม่ไว้หน้ากันเกินไปแล้ว อยู่ต่อหน้าเด็ก ๆ แท้ ๆ
ไท่ซ่างหวงชี้ไปที่หยู่เหวินเห้า “เจ้า ปากเสีย จะต่อปากต่อคำกับเสด็จพ่อของเจ้าไปทำไมกัน?”
หยู่เหวินเห้าไม่กล้าโต้เถียงแล้ว จึงทำได้เพียงสงบปากสงบคำ
ไท่ซ่างหวงเริ่มผลักคนออกไป รับสั่งให้ไทเฮาและฮ่องเต้หมิงหยวนออกไปก่อน เหลือไว้เพียงหยู่เหวินเห้าสามีภรรยาที่ยังอยู่ในพระตำหนัก
ในตอนที่ฮ่องเต้หมิงหยวนจะจากไป ยังปรายตามองหยู่เหวินเห้าน้อยๆ “เจ้า ตามข้าไปที่ห้องทรงพระอักษร ข้ามีเรื่องที่อยากจะถามเจ้าหน่อย”
ภายใต้อำนาจนี้ หยู่เหวินเห้าทำได้เพียงต้องเดินตาละห้อยตามไปอย่างน่าสงสาร
เมื่อมองไปที่เงาด้านหลังของฮ่องเต้หมิงหยวน ในสมองของหยวนชิงหลิง ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพฉากหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้หมิงหยวน ฮู่เฟย และตอเป่า เชื่อมโยงกันเป็นสามเหลี่ยม ทันใดนั้นก็ถึงกับต้องรีบถ่มน้ำลายออกมาเสียงหนึ่ง แหวะ!