บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 429
ไท่ซ่างหวงทรงไม่พอพระทัยแล้ว “นั่นเจ้าแหวะใส่ใครกัน?”
หยวนชิงหลิงรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็วว่า: “ท่านฟังผิดแล้วเพคะ ฟังผิดแล้ว”
ไท่ซ่างหวงเหลือบมองนาง “เจ้าพอจะยืนขึ้นมาช่วยตรวจอาการให้ข้าหน่อยได้หรือไม่? ช่วงนี้ ข้ามักจะรู้สึกทรมานจากความเจ็บปวดอยู่เสมอ ๆ”
“ได้เพคะ ได้!” หยวนชิงหลิงรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไท่ซ่างหวงมีอาการกล้ามเนื้อหัวใจตาย ความดันโลหิตก็สูงขึ้นมาอีกหน่อยแล้ว สถานการณ์มองในแง่ดีไม่ค่อยได้จริงๆ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง จะพบเจอสิ่งเร้าจนเป็นตัวกระตุ้นไม่ได้เด็ดขาด
โชคดีที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาได้ประสบพบพาน ก้าวผ่านบรรดาเรื่องราวน้อยใหญ่มามากมาย คิดว่าตอนนี้ไม่น่าจะมีเรื่องอะไรที่สามารถกระตุ้นเขาได้ง่าย ๆ อีกต่อไปแล้ว
หลังจากจ่ายยา กำชับกำชาเรื่องการกินยาไปรอบหนึ่ง ไท่ซ่างหวงก็ตรัสถามอย่างเรียบ ๆ ว่า “ทางจวิ้นจู่จิ้งเหอนั่น ว่าง ๆ เจ้าต้องหาคนมาพูดคุยเป็นเพื่อนกับนางบ้าง เมื่อคนเราจมอยู่ในความท้อแท้สิ้นหวัง หากคิดอะไรขึ้นมาแม้เพียงชั่ววูบ ล้วนก่อให้เกิดอันตรายที่คร่าชีวิตลงได้ทุกเมื่อ”
หยวนชิงหลิงคิดไม่ถึงว่าพระองค์จะยังระลึกคิดถึงจวิ้นจู่จิ้งเหออยู่ ในใจจึงเกิดความรู้สึกเหมือนได้รับคำปลอบโยนอย่างมาก นางกล่าวขอบคุณแทนจวิ้นจู่จิ้งเหอ รวมถึงสัญญาว่าจะส่งคนไปเคยเยี่ยมเยียนและอยู่เป็นเพื่อนนาง
ตอนที่หยวนชิงหลิงออกมา ก็เห็นชายวัยกลางคนที่แต่งกายด้วยชุดจิ้นจวงคนหนึ่ง (เป็นชุดจีนโบราณที่เน้นความคล่องตัว เมื่อสวมแล้วชุดจะไม่ลากพื้น) ชายคนนั้นก้มศีรษะต่ำ ประสานมือในท่าคารวะแล้วพูดกับนางว่า “คารวะพระชายา”
หยวนชิงหลิงไม่รู้จักเขา จึงถามออกไปว่า “ท่านคือ?”
*****
งานเลี้ยงอาหารค่ำในวันส่งท้ายปีจัดอย่างยิ่งใหญ่อลังการมาก จัดขึ้นที่ตำหนักกวงหมิง หยวนชิงหลิงไปถึงตอนที่เริ่มทานอาหารกันแล้ว ทั้งยังพลาดโอกาสที่จะกล่าวทักทายทุกคนอีกด้วย
หลังจากนั่งลงแล้ว ก็เห็นว่าอ๋องฉีมาเพียงคนเดียวลำพัง ท่าทางดูเปล่าเปลี่ยวหงอยเหงา
ทั้งยังได้เห็นฉู่หมิงหยางที่นั่งติดกับอ๋องจี้ แสดงท่าทางหวานเลี่ยนใส่กัน บางครั้งก็ยังส่งสายตาว่าตัวเองเหนือกว่าใส่นางเป็นระยะ ๆ หยวนชิงหลิงจึงทำได้แค่แกล้งมองไม่เห็นไปซะ
ท่าทางของพระชายาจี้สงบเงียบขรึม ท่ามกลางงานเลี้ยงอันคึกคักครึกครื้นนี้ ดูเหมือนว่านางจะเอาตัวเองออกจากสิ่งต่าง ๆไปอย่างสิ้นเชิง
ในปีนี้องค์ชายเก้า กับองค์หญิงสิบแปดก็ออกมาได้เช่นกัน ดูเหมือนเขาจะมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ดูตื่นคนมากอย่างเห็นได้ชัด โชคดีที่อ๋องหวยคอยดูแลเขาอยู่ สุดท้ายจึงไม่มีอาการตื่นคนจนเกินไป
องค์หญิงสิบแปดนั่งข้างเต๋อเฟย เต๋อเฟยคอยดูแลนางเป็นอย่างดี นางเป็นเหมือนดั่งดอกทานตะวันช่อเล็ก ๆ ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางมักจะหันเข้าหาเต๋อเฟยตลอดเวลา แสดงถึงความผูกพัน ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของทุกคนมาก
ด้วยรอยยิ้มที่แฝงความกรุณาบนพระพักตร์ของฮ่องเต้ ฮองเฮาประทับนั่งบนพระแท่นสูง ทอดพระเนตรมองบรรดาลูกชายลูกสาว หลานชายหลานสาวของนาง รู้สึกปลื้มปีติยินดีจนเกินจะบรรยาย
ราชวงศ์ทั้งหมู่เหล่า ล้วนมีความสุขสมัครสมานสามัคคี
ชั่วขณะหนึ่ง ฉากที่มีชีวิตชีวาของผู้คนจำนวนมากที่มารวมตัวกัน กินและดื่มอย่างรื่นเริงสุขสันต์ หมุนเวียนจากแก้วเป็นไหไม่หยุดนิ่ง
เนื่องจากหยู่เหวินเห้ามีภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ หลายคนจึงมาดื่มอวยพรให้ คำอวยพรก็พากันหลั่งไหลเข้ามาต่อเนื่องไม่ขาดสาย ฟังจนเขาผ่อนคลายสบายใจ ดีใจเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ เขาชนแก้วทุกใบแล้วดื่มรวดเดียวจนหมดแก้วทุกแก้ว
งานเลี้ยงสิ้นสุดลง ตอนที่ออกจากวัง รอยเท้าของหยู่เหวินเห้าก็ปัดเป๋ซวนเซจนแทบจะเขียนออกมาเป็นเลขแปดได้อยู่แล้ว
อ๋องฉีไม่ได้ดื่มมาก จึงไปช่วยพยุงเขาออกไป หยวนชิงหลิงจึงถามว่า “ทำไมแม่นางอี้ถึงไม่มาด้วยล่ะ?”
“ขาของนางได้รับบาดเจ็บ”
“บาดเจ็บได้อย่างไรหรือ?” หยวนชิงหลิงประหลาดใจ
อ๋องฉีส่ายหน้า “เมื่อวานนางออกไปข้างนอกกับสาวใช้ ถูกม้าตื่นตัวหนึ่งชนใส่ ม้าตัวนั้นแตกตื่นสุดขีด จนเหยียบลงไปบนขาของนางอย่างบ้าคลั่ง”
หยวนชิงหลิงตกใจมาก “สวรรค์ ทำไมถึงน่ากลัวเช่นนี้? คนอื่นไม่ได้รับอันตรายใช่หรือไม่?”
อ๋องฉีพูดด้วยท่าทางที่ยังคงหวาดกลัวว่า “ไม่ แต่ตอนที่กลับมายัยอี้ยังพูดเลยว่า ถ้าไม่เพราะมีคนมาช่วยดึงม้าไว้ให้ น่ากลัวว่ามันอาจจะเหยียบเข้าที่หัวของนางตรง ๆ เลยก็เป็นได้”
“เป็นเจ้าของม้าใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่ เป็นจอมยุทธที่บังเอิญผ่านทางมา หาตัวเจ้าของม้าไม่พบ เรื่องนี้พี่ห้าคงจะรู้ เมื่อวานสั่งให้คนไปรายงานเรื่องนี้ยังที่ทำการปกครองแล้ว”
แม้ว่าหยู่เหวินเห้าจะเมาเกือบเจ็ดแปดส่วนแล้ว แต่เขาก็ยังมีสติรับรู้ราวสองสามส่วน เจ้าตัวโบกมือทันที “ไม่ ข้าไม่รู้”
“เช่นนั้นคงเป็นช่วงที่เจ้าออกไปแล้ว” อ๋องฉีเอ่ย
“ทำไมเจ้าถึงไม่มาพูดเรื่องนี้ล่ะ?” หยู่เหวินเห้าถาม
อ๋องฉีพยุงตัวเขา “อาการบาดเจ็บไม่ได้รุนแรงนัก แต่ไม่สะดวกเดินเหินไปไหนมาไหน”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” หยู่เหวินเห้าพูด
ทุกคนต่างก็ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ เป็นไปได้ว่าบางที เจ้าของม้าอาจเห็นว่าม้าตัวเองได้ทำร้ายพระชายารองของจวนอ๋องฉี จึงไม่กล้าออกมายอมรับผิด คนที่ไร้ความรับผิดชอบแบบนี้ มีอยู่ทุกหนทุกแห่งจริง ๆ
หลังจากออกจากวังไป แต่ละคนต่างก็ขึ้นรถม้าของตัวเอง หยวนชิงหลิงนึกได้ว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ จึงคิดจะไปจวนอ๋องฉี เพื่อไปเยี่ยมเยียนแม่นางหยวนเสียหน่อย
เมื่อกลับมาถึงจวน นางก็เหนื่อยจนแทบไม่ไหวแล้ว จึงแค่ไปล้างหน้าง่ายๆ แล้วเข้านอนทันที
ในความงัวเงียนั้น ยังจำได้ว่านางต้องถามเจ้าห้าประโยคหนึ่ง “เสด็จพ่อเรียกให้เจ้าไปทำอะไรในห้องทรงพระอักษรหรือ?”
“เลือกบางเรื่องกับจัดฉากการต่อสู้ระหว่างพ่อลูก” หยู่เหวินเห้าเอื้อมมือออกมา ปิดตาของนางไว้ “นอนเถอะ รีบนอนซะ”
ที่จริงหยวนชิงหลิงก็ไม่สามารถลืมตาได้ไหวอีกต่อไปเช่นกัน จึงผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่แยกกันตรงหน้าประตูวัง อ๋องฉีก็ขึ้นรถม้าเพื่อกลับไปที่จวน
เขาใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอดทั้งคืน เอาแต่เป็นห่วงหยวนหย่งอี้ ดังนั้นหลังจากกล่าวลาพี่ห้าและพี่สะใภ้แล้ว เขาก็รีบสั่งให้คนขับรถรีบบังคับรถกลับจวนอย่างรวดเร็ว
เขาไม่ได้พาผู้ติดตามมามากนัก ในระยะนี้โดยพื้นฐานแล้ว เขามักไปไหนมาไหนกับหยวนหย่งอี้ นางจะรับบทเป็นคนคอยอารักขาให้เขา จึงค่อย ๆ ลดจำนวนทหารอารักขาลงไปจนเหลือไม่มาก
อากาศหนาวเหน็บ ลมเหนือพัดหวีดหวิว เขามีลางสังหรณ์ถึงความไม่สบายใจบางอย่าง
หลังจากที่จวนอ๋องฉีถูกไฟไหม้ เขาก็ไปพำนักอยู่ที่จวนอ๋องซุนช่วงหนึ่ง จนท้ายที่สุดก็ย้ายไปยังลานข้างๆแต่ที่นั่นไม่ใช่ที่ที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางกำแพงสูงใหญ่ มันง่ายที่จะทำให้พวกโจรขโมยนักย่องเบาเข้าใจผิด คิดว่าเป็นบ้านของเศรษฐีที่ร่ำรวยได้
อันที่จริง เจ้าอ้วนเองก็ขี้ขลาดเหมือนกันล่ะนะ เกิดไปทำให้ตกใจกลัวเข้า คงไม่ค่อยดี
จริงๆ แล้วเขาเองก็รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจอยู่บ้าง เป็นเพราะตอนที่ออกไปข้างนอกวันนี้ เขามีเรื่องทะเลาะกับนางนิดหน่อย
ขาของนางได้รับบาดเจ็บแล้ว ตระกูลหยวนจึงเรียกคนให้มารักษา นางบอกว่าหมอที่มารักษามีฝีมือที่เก่งฉกาจนัก จึงเรียกหมอมาตรวจดูอาการให้เขาด้วย เขามีรึจะเต็มใจ? เดิมทีเขาก็ไม่ได้ป่วยเสียหน่อย แค่อยากกล่อมนาง ไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้นเอง
หากยอมให้หมอตรวจชีพจรจริง ๆ จะต้องรู้แน่ว่าเขาพูดโกหก
เขาปฏิเสธทุกวิถีทาง นางจึงโกรธ เขาเองก็โกรธ จึงพูดกับนางไปว่าความเป็นความตายของเขาไม่เกี่ยวอะไรกับนาง
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมาจากปาก นางก็เงียบสนิท ไม่เอ่ยคำใดออกมาอีก
เขาเสียใจภายหลังเหลือเกิน แต่ชั่วขณะนั้น กลับไม่อาจยอมเสียหน้าเอ่ยคำขอโทษออกไป
จะว่าไปก็เป็นเรื่องแปลกมากจริง ๆ เมื่อก่อนตอนที่อยู่กับฉู่หมิงชุ่ย ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายผิด เขาก็จะเป็นฝ่ายขอโทษอย่างรวดเร็วก่อนเสมอ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ยิ่งเสียใจมากขึ้นเรื่อย ๆ คิดแค่ว่าจะรีบกลับไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วไปขอโทษนาง จากนั้นค่อยสารภาพเรื่องที่เขาไม่ได้ป่วยจริง
มีเสียงเกือกม้าดังสนั่นขึ้นมา ทันใดนั้น ก็มีบางอย่างพุ่งผ่านอากาศตรงดิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ม้าเชิดหัวยกกีบเท้าขึ้นอย่างแตกตื่น เสียงร้องดังฮี้ ๆ ลากยาว ขาทั้งสี่ทรุดฮวบลงไป ล้มแล้วกระตุกอยู่บนพื้น ทั้งที่ส่วนท้องของม้า หัว และดวงตา ล้วนมีลูกธนูปักติดอยู่
รถม้าพลิกคว่ำ ได้ยินเสียงของคนขับรถม้า กับเสียงทหารอารักขาร้องตะโกนขึ้นว่า ” มีคนร้ายลอบสังหาร คุ้มครองท่านอ๋อง คุ้มครองท่านอ๋อง!”
อ๋องฉีตะเกียกตะกายปีนออกจากรถม้าได้อย่างยากลำบาก ก็พลันเห็นกลุ่มชายชุดดำกลุ่มหนึ่ง กำลังร่อนลงมาจากกลางอากาศ
ในมือของชายชุดดำถือดาบโค้งคมกริบ สาดประกายวาววับท่ามกลางราตรีอันหนาวเหน็บ
ทั้งหัวและใบหน้าของชายชุดดำถูกปิดคลุมทั้งหมด เหลือเพียงดวงตาคู่หนึ่งเท่านั้นที่เปิดอยู่ ดวงตาของเขาดุร้ายโหดเหี้ยม แดงก่ำดูกระหายเลือด อ๋องฉีเหลือบมองเพียงแวบเดียว หัวใจของเขาก็แทบจะกระดอนออกมาเพราะความหวาดกลัวอยู่แล้ว
ชายชุดดำโหดร้ายอย่างยิ่ง ลงมือแต่ละครั้งคือการหมายชีวิต
แม้ว่าทหารอารักขาเหล่านี้ จะไม่ใช่ยอดฝีมือชั้นหนึ่ง แต่พวกเขาก็ไม่ใช่ทหารอารักขาธรรมดาๆ แต่แค่ไม่ถึงสิบกระบวนท่า พวกเขากลับถูกฆ่าอย่างง่ายดายโดยชายชุดดำ ทั้งหมดต่างล้มลงจมกองเลือดไปจนหมดสิ้น
อ๋องฉีตัวสั่นงันงก มือไขว่คว้าไปเจอดาบเล่มหนึ่ง แต่เขาก็รู้ดีว่าด้วยวรยุทธของเขา ย่อมไม่ใช่คู่มือของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน จึงถือดาบหันหลังแล้ววิ่งหนีไป
เสียงลมหวีดหวิวในหูของเขา เขาวิ่งจนสุดชีวิต แต่ยังได้ยินเสียงลูกธนูอันคมกริบที่พุ่งทะยานมาจากด้านหลังเขาได้ เสียงแหวกอากาศดังกึกก้องนั้น ลอยเข้ามาใกล้อย่างชัดเจน
เขากระโจนไปข้างหน้า ลูกธนูพุ่งเฉียดเหนือหัวเขาไป ชายชุดดำตามมาถึงตัวอย่างรวดเร็ว แล้วตวัดดาบโค้งฟันลงมา เขายกดาบในมือขึ้นต้าน เอนตัวนอนลงไปบนพื้นอย่างรวดเร็ว ถอยหลบออกไป แต่ชั่วเวลาเพียงครู่เดียวสั้น ๆ ชายชุดดำทั้งหมดก็ตามมาทันแล้ว โดยไม่เปิดโอกาสให้เขาทันได้ถามหรือทันได้หายใจ ดาบโค้งในมือของชายชุดดำก็ฟันลงมาทันที
เขาฝืนต้านอย่างสุดกำลัง เพิ่งมานึกเสียใจเอาตอนนี้ ที่ไม่เรียนวรยุทธ์ให้มันมากกว่านี้
แขน ขา และท้องล้วนถูกดาบแทง เขาฝืนต้านทานมันอย่างยากลำบาก ในท้ายที่สุด เขาไม่มีแม้แต่แรงจะยกดาบขึ้นแล้ว ร่างกายของเขาเจ็บปวดมากจนหายใจไม่ออก เขารู้สึกเพียงว่าเลือดอุ่น ๆ เอาแต่ไหลหลั่งพรั่งพรูออกไปอย่างต่อเนื่อง
ชายชุดดำนั้นโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง ยกดาบขึ้นแล้วแทงเข้าที่หน้าอกของเขา
เสียงกีบม้าดังกุบกับ ๆ ดังแว่วมาแต่ไกล แสงจากคบไฟส่องสว่างสาดเข้ามา ได้ยินเสียงคนร้องถามดังลั่น: “นั่นใครน่ะ?”
ชายชุดดำหายตัวไปอย่างรวดเร็ว