บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 430
หยู่เหวินเห้าถูกปลุกโดยคนของกรมการพระนครกลางดึก เขาสวมเสื้อผ้าอย่างระมัดระวังแล้วออกไปพยายามไม่ให้รบกวนหยวนชิงหลิงที่กำลังหลับลึก
หลังจากรู้ว่าอ๋องฉีถูกลอบสังหาร เขาจึงสั่งให้คนปิดประตูเมือง แล้วทำการค้นหาอย่างเข้มงวด
จากนั้นเขาก็พาสวีอี ทังหยาง และหมอหลวงเฉาขี่ม้าตรงไปที่ลานข้างๆของจวนอ๋องฉี
อ๋องฉีได้รับบาดเจ็บสาหัส จะพูดว่าเขาเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายแล้ว ก็นับว่าไม่เกินจริง มีคนเข้าวังไปขอยาเม็ดจื่อจินจากองค์ชายแปด แต่คนยังไม่กลับมา
หยวนหย่งอี้เฝ้าไข้อยู่ข้างเตียงทั้งที่ยังบาดเจ็บ นางร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้งไม่มีเหลือจะให้ไหลแล้ว อ๋องฉีนอนนิ่งอยู่บนเตียงราวกับตุ๊กตาไร้ชีวิต น้ำร้อนที่ยกเข้ามาใช้ทำความสะอาดแผล ล้วนกลายเป็นน้ำเลือดสีแดงฉานยามที่ยกออกไป
ลมหายใจของเขาดูราวกับว่าจะไม่มีหลงเหลือแล้ว หากไม่ใช่เพราะชีพจรของเขายังตรวจวัดได้ ก็แทบจะไม่มีร่องรอยสัญญาณชีวิตใด ๆ ให้รับรู้ได้อีก
“ท่านอ๋อง” หมอหลวงเฉาดึงตัวเขาออกไป สีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง “ อ๋องฉีมีรอยแผลจากดาบถึงแปดรอยบนร่าง ที่มือและเท้าอย่างละสามรอย ที่ท้องและหน้าอกอย่างละหนึ่ง บาดแผลที่หน้าอกนั้น ห่างจากหัวใจไปเล็กน้อย จึงยังสามารถมีชีวิตอยู่รอดมาได้จนถึงตอนนี้ แต่ทุกบาดแผลเข้าลึกถึงกระดูก สถานการณ์ไม่อาจมองในแง่ดีได้แม้แต่น้อย หม่อมฉันไม่มีความสามารถเพียงพอ หรืออย่างไร พวกเราควรเชิญพระชายามาดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
หยู่เหวินเห้าได้ฟังประโยคนี้ หัวใจก็พลันหนักอึ้งจมดิ่ง แต่ก็ไม่มัวลังเล หันหน้าไปเรียกสวีอีกับทังหยางให้ไปรับพระชายามาที่นี่ ไม่ลืมสั่งให้นำกองทหารรักษาพระองค์ทั้งหมดที่มีร่วมทางไปด้วย
คนที่พบเห็นการลอบสังหารครั้งนี้เป็นคนจาก ค่ายทหารเมืองตระเวรพวกเขารีบเข้าวังไปทูลรายงานต่อฮ่องเต้ทันที แล้วสั่งให้คนไปที่กรมการพระนคร ดังนั้น เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกรมการพระนคร จึงสามารถตรงมาแจ้งหยู่เหวินเห้าได้อย่างรวดเร็วทันท่วงที
แต่ตอนนี้ คนของค่ายทหารเมืองตระเวรยังคงเฝ้ายามอยู่ในลางข้างๆของจวนอ๋องฉี เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่ว่าอาจจะมีมือสังหารบุกเข้ามาอีก
หยู่เหวินเห้าเดินขึ้นหน้าไปถามว่า “จับมือสังหารได้หรือไม่ ? มีกี่คน? ใช้อาวุธอะไร?”
“เรียนท่านอ๋อง ตอนที่ข้าไปถึง มือสังหารก็หนีไปแล้ว แต่พอจะเห็นได้ว่ามือสังหารใช้ดาบโค้ง ม้าถูกธนูยิงตายหมด ส่วนทหารอารักขาก็ไม่มีใครมีชีวิตรอดเลยแม้แต่คนเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
“ดาบโค้ง?” หยู่เหวินเห้าเงยหน้าขึ้นด้วยความโกรธแค้น เมื่อย้อนนึกถึงเรื่องตุ๊กตา พี่ใหญ่ล้อมเขาในจวนเมื่อคราวนั้น พวกคนในยุทธภพพวกนั้น ต่างก็ใช้ดาบโค้งด้วยเช่นกัน
“ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ มือสังหารน่าจะมีราวหกถึงเจ็ดคน ทั้งหมดต่างใช้ดาบโค้ง” ทหารเมืองตระเวรกล่าวตอบ
“เก็บอาวุธในที่เกิดเหตุมาได้บ้างหรือไม่?” หยู่เหวินเห้าถาม
“ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ มือสังหารล่าถอยได้รวดเร็วมาก ” ทหารอารักขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีเรื่องบางอย่าง ไม่ทราบว่าควรพูดดีหรือไม่”
“พูดมา!” หยู่เหวินเห้าพูดด้วยแววตาสาดประกายวาววับคมกริบ
ทหารอารักขาลดเสียงลงแล้วพูดว่า “ หม่อมฉันเคยดื่มกับหัวหน้าฝึกฝนของจวนอ๋องจี้คนหนึ่ง เมื่อคืน หม่อมฉันเห็นเงาหลังคนราง ๆ เงาแผ่นหลังนั้นดูเหมือนเขามากจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ แต่หม่อมฉันไม่กล้ายืนยันอย่างแน่ชัด”
หยู่เหวินเห้าจ้องเขาเขม็ง “มีลักษณะเด่นอะไรเกี่ยวกับเงาแผ่นหลังที่ว่านี้หรือไม่?”
ทหารอารักขาตอบว่า “คนผู้นี้หลังค่อมงองุ้ม ค่อมในแบบที่ค่อนข้างหนักหนาทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ แต่วิชาตัวเบาของเขาดีมาก หม่อมฉันเคยเห็นเขาใช้วิชาตัวเบามาก่อน”
“หลังค่อม?” หยู่เหวินเห้าหรี่ตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อันที่จริงแล้ว วันนั้นตอนที่เขาลงมือ มีคนหลังค่อมอยู่คนหนึ่ง ที่ไม่เพียงเก่งในเรื่องวิชาตัวเบาเท่านั้น แต่ยังเก่งเรื่องวรยุทธ์หมัดมวยการเตะการต่อยอีกด้วย กระทั่งถูกล่ามโซ่ที่ขาก็ยังโดดเด่นเป็นพิเศษ
เป็นคนของจวนอ๋องจี้อย่างนั้นหรือ?
พี่ใหญ่เลือกลงมือในเวลานี้ ถ้าไม่ใช่เพราะบ้าคลั่งไปแล้ว ก็คงจะรีบร้อนอยากชิงตำแหน่งรัชทายาทมาให้ได้โดยเร็วที่สุด เมื่อกำจัดลูกที่เกิดจากเมียหลวงไปได้ ก็จะเหลือแค่เขาที่เป็นลูกชายคนโต ซึ่งเรียกได้ว่ามีสถานะสูงสุดเพียงคนเดียวแล้ว
แต่ทว่า การเคลื่อนไหวนี้ไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือ?
ทหารอารักขาพูดว่า “ท่านอ๋อง คำพูดเหล่านี้หม่อมฉันไม่กล้าทูลต่อฝ่าบาท จึงทำได้เพียงมาพูดกับท่านอ๋องเป็นการส่วนตัวเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ เพราะถึงอย่างไร สุดท้ายหม่อมฉันก็ไม่อาจยืนยันว่ามันถูกต้อง ส่วนที่ว่าท่านอ๋องจะทูลต่อฝ่าบาทหรือไม่ หรือท่านต้องการตรวจสอบต่อไป ขอท่านอ๋องโปรดพิจารณา”
หยู่เหวินเห้ายกมือขึ้น เป็นสัญญาณให้เขาถอยออกไป
เขาหันไปมองทังหยาง ทังหยางก้าวขึ้นมาข้างหน้าพลางประสานมือ “ท่านอ๋องโปรดวางใจ หม่อมฉันจะหาคนไปคอยจับตาดูเขาเองพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้คนของเสี้ยวหงเฉิงไปคอยจับตาไว้” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างเย็นชา
“เข้าใจแล้ว” ทังหยางหันหลังแล้วเดินออกไปทันที
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งฮ่องเต้และฮองเฮาก็มาด้วยองค์เอง พร้อมกับยาเม็ดจื่อจินสองเม็ด
เมื่อฮองเฮาได้เห็นอ๋องฉีในสภาพนี้ นางก็ร้องไห้ปานใจจะขาด กระทั่งฮ่องเต้หมิงหยวนก็ยังถึงกับขอบตาแดงเรื่อ รับสั่งด้วยความโกรธกริ้ว ให้หยู่เหวินเห้าต้องควานหาตัวมือสังหารออกมาให้จงได้ มิฉะนั้นจะปลดออกจากตำแหน่งและดำเนินคดี
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “เสด็จพ่อโปรดวางใจ หม่อมฉันได้สั่งให้คนทำการค้นหาทั่วทั้งเมืองแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนตรัสอย่างโกรธกริ้ว: “แล้วเจ้ายังมายืนทำหน้าเซ่ออะไรอยู่ที่นี่ ? พาคนออกไปค้นหาด้วยตัวเองสิ ไอ้พวกมือสังหารพวกนี้ ถ้าอยู่ข้าต้องได้เห็นคน ถ้าตายข้าต้องได้เห็นศพ”
เดิมทีหยู่เหวินเห้าอยากจะรอให้หยวนชิงหลิงมาถึงก่อน แต่ภายใต้ความโกรธกริ้วของเสด็จพ่อ เขาจึงไม่กล้าโต้แย้งเหมือนอย่างที่เคยทำในอดีต จึงรีบพาทังหยางออกไปตามรับสั่งอย่างรวดเร็ว
พูดถึงด้านสวีอี ทันทีที่เขากลับมาถึงจวน ก็รีบเรียกหมันเอ๋อให้ช่วยไปปลุกพระชายา แล้วเชิญนางมาทันที
หยวนชิงหลิงนอนหลับอยู่ในความสะลึมสะลือ ได้ยินว่าอ๋องฉีถูกลอบสังหาร ได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงตกใจตื่นขึ้นมาทันที ถึงค่อยรู้ว่าเจ้าห้าออกไปก่อนแล้ว
นางลากร่างกายที่แสนอึดอัดเทอะทะให้ลุกขึ้น สวมเสื้อผ้าหนา ๆ สองชั้น เปิดกล่องยาเพื่อตรวจดู พบว่ามีอุปกรณ์และยาครบถ้วน นางจึงสั่งให้หมันเอ๋อถือกล่องยาแล้วออกเดินทางทันที
รถม้าเตรียมไว้พร้อมแล้ว ในคืนที่มืดมิดเช่นนี้ นอกจากลมหนาวที่พัดโชย ก็มีแค่เสียงหมาเห่าดังแว่วอยู่ไกล ๆ ตอเป่าเดินตามไปอย่างระมัดระวังจนถึงหน้าประตู แล้วกระโดดขึ้นไปบนรถม้า
หยวนชิงหลิงพยายามพูดเกลี้ยกล่อมให้มันลงมา แต่ตอเป่ากลับดื้อรั้นไม่ยอมท่าเดียว หยวนชิงหลิงไม่อาจชักช้าเสียเวลาได้ จึงทำได้เพียงต้องพามันไปด้วย
ทหารจวนเปิดทาง กองทัพทหารรักษาพระองค์เดินตาม สวีอีขับรถ หมันเอ๋อนั่งอยู่ข้างหน้า แม่นมสี่กับตอเป่าอยู่เป็นเพื่อนหยวนชิงหลิงในรถม้า นี่ก็เพื่อการป้องกันไม่ให้พระชายาประสบกับอันตรายที่ไม่คาดคิด เรียกได้ว่านางมีการดูแลคุ้มกันที่ดีมาก
หยวนชิงหลิงร้อนใจอย่างมาก เปิดม่านออกไปถามสวีอีที่ขับรถอยู่ว่า “อาการบาดเจ็บของอ๋องฉีร้ายแรงมากจริง ๆ หรือ?”
สวีอีพูดด้วยสีหน้าหนักอึ้ง: “มีรอยดาบแปดรอยบนร่าง ที่มือและเท้าอย่างละสาม ที่ท้องกับหน้าอกอย่างละหนึ่ง บาดแผลลึกมาก ทั้งยังเสียเลือดมาก ตอนนี้การหายใจอ่อนแอ ชีพจรสับสน บ้างมีบ้างไม่มี อีกทั้งยาเม็ดจื่อจินก็ยังไม่ได้ส่งมาพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนชิงหลิงได้ยินประโยคนี้ ก็สูดลมหายใจเย็น ๆ เข้าไปเฮือกใหญ่
หวังว่าอาการบาดเจ็บที่มือและเท้า จะเป็นเพียงการบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่ใช่ที่หลอดเลือดแดงใหญ่
แต่ที่ท้องและหัวใจก็น่าสยดสยองมากเช่นกัน
นางเปิดกล่องยา มีทั้งยาที่ใช้ห้ามเลือด ยาชา ยาฉุกเฉิน หมอนออกซิเจนสองใบและมีดผ่าตัด เห็นได้ชัดว่า กล่องยาได้จัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับการผ่าตัดไว้อย่างครบครัน
แต่ไม่มีห้องผ่าตัดปลอดเชื้อ แล้วการผ่าตัดนี้จะทำอย่างไรดีล่ะ?
กล่องยามีอุปกรณ์ครบครัน เห็นได้ว่าอาการบาดเจ็บจะต้องร้ายแรงและเร่งด่วนมากอย่างแน่นอน
อ๋องฉีจะสามารถรอดจากคราวเคราะห์ครั้งนี้ไปได้หรือไม่นะ?
หยวนชิงหลิงรู้สึกเป็นกังวลไม่หยุด
ที่น่ากังวลไปกว่านั้นคือ ความแข็งแกร่งทางร่างกายของนางเอง ต่อให้มีเงื่อนไขในการผ่าตัดครบถ้วนหมดทุกข้อจริง ๆ นางก็ไม่มีกำลังกายมากพอที่จะทำการผ่าตัดได้ไหวอยู่ดี
ในขณะที่หยวนชิงหลิงกำลังเป็นกังวล นางก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนของสวีอีดังลั่นขึ้นมาประโยคหนึ่ง “หยุดก่อน มีมือสังหาร คุ้มครองพระชายา!”
รถม้าหยุดลงในขณะที่วิ่งด้วยความเร็วสูงอย่างกะทันหัน ร่างของหยวนชิงหลิงถึงกับทิ่มไปข้างหน้าแล้วหงายไปข้างหลังอย่างรุนแรง แม่นมสี่รีบเข้ามากอดนางไว้แน่น
สวีอีกับหมันเอ๋อถือดาบในมือ จ้องมองไปทางซ้ายในความมืดมิด พอเห็นนักธนูโจมตี ทั้งสองก็ทะยานร่างขึ้นไปฟันลูกธนูที่พุ่งมา ทหารจวนกับกองทหารรักษาพระองค์เฝ้าคุ้มกันรอบรถม้า ร้องเตือนไม่ให้หยวนชิงหลิงออกมาอย่างเด็ดขาด
หยวนชิงหลิงได้ยินแค่เสียงของดาบและง้าวฟาดฟันกันอยู่ด้านนอก รถม้าสั่นสะเทือนหลายครั้ง ได้ยินเสียงลูกธนูอันแหลมคมพุ่งแหวกอากาศเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในเวลานี้ การได้ยินของนางฟื้นคืนกลับมารับรู้ได้ไวเป็นพิเศษแล้ว
หูของตอเป่าตั้งชัน มันยอบตัวลงครึ่งหนึ่ง กางเหยียดเล็บที่อุ้งเท้าหน้า อยู่ในท่าที่พร้อมจะกระโจนออกไปได้ทุกเมื่อ
กองทหารรักษาพระองค์ที่อยู่ด้านนอก ฟันธนูที่ยิงเข้ามาจนร่วงลงพื้นไปอย่างไม่ขาดสาย
สวีอีโกรธจัด “การเอาแต่ป้องกันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา เหลือคนไว้จำนวนหนึ่งคอยให้ความคุ้มครองพระชายา ส่วนคนที่เหลือ ตามข้าไป”
มีแต่ต้องฆ่าหรือไม่ก็กำราบนักธนูลงให้ได้เท่านั้น ถึงจะสามารถคลี่คลายวิกฤตนี้ได้
สวีอีนำทหารจวน กับทหารรักษาพระองค์สองนายไปซุ่มโจมตีนักธนู แล้วทิ้งคนไว้หกคน รวมถึงหมันเอ๋อกับแม่นมสี่ให้อยู่คุ้มครองหยวนชิงหลิง
ทั้งหกคนวางกำลังเป็นวงกลมล้อมรถม้าไว้ เพื่อป้องกันลูกธนูที่จะพุ่งเข้ามา ในขณะที่หมันเอ๋อคุ้มกันอยู่ที่ด้านหน้ารถ
“พระชายาไม่ต้องกลัวเพคะ ไม่เป็นไรหรอก” แม่นมสี่สงบนิ่งและหนักแน่น นางใช้ร่างตัวเองไปบังอยู่ข้างหน้าหยวนชิงหลิงจนแทบมิด ไม่ลืมพูดปลอบใจนางไม่หยุด